“ละครเรื่องนี้สมกับที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในละครยอดเยี่ยมระดับโลก และเมื่อมาแสดงในนิวยอร์คที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งละคร ยังสามารถทำให้ละครบรอดเวย์ถูกบดบังรัศมีไปเลย” (นสพ. The China Press หนังสือพิมพ์ภาษาจีนในนครนิวยอร์ค)
“ผลงานที่ได้รับความนิยมในหมู่คนเชื้อสายจีนมากที่สุด” (นสพ. นิวยอร์คไทม์)
การแสดงชุด “แอบรักธารดอกท้อ《暗戀桃花源》” ซึ่งดัดแปลงมาจากวรรณกรรมจีนชื่อดังเรื่องบันทึกธารดอกท้อหรือ 〈桃花源記〉ของกวีชื่อดังแห่งยุคอย่างเถายวนหมิง (陶淵明) โดยผสมผสานเนื้อหาของวรรณกรรมคลาสสิกเข้ากับศิลปะการแสดงสมัยใหม่ ไม่น่าเชื่อว่าการแสดงชุดนี้จะมีอายุครบ 30 ปีแล้ว ละครเรื่องนี้ที่มีทั้งความโบราณและทันสมัย ความเศร้าและความสุขผสมผสานเข้าด้วยกัน ได้เปิดแสดงทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1,000 รอบ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือการแสดงที่ถือเป็นงานละครชิ้นเอกในหมู่คนเชื้อสายจีนทั่วโลก
คุณไล่เซิงชวน (賴聲川 หรือ Stan Lai) กล่าวว่า “เมื่อ 30 ปีก่อน ผมไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ละครเรื่องนี้จะสามารถแสดงอย่างต่อเนื่องได้นานถึง 30 ปี หากตอนนั้นมีใครมาบอกกับผมว่าละครเรื่องนี้สามารถแสดงได้นานถึง 30 ปี ผมคงจะต้องบอกว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ”
เมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.2015 การแสดงชุดแอบรักธารดอกท้อนี้ ก็ได้มีโอกาสพบกับผู้ชมชาวอเมริกันอย่างเป็นทางการ ทางชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ในเทศกาลเชกสเปียร์ของออริกอน (Oregon Shakespeare Festival) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 80 ปี
ในการแสดงรอบปฐมทัศน์ บิล ราช (Bill Rauch) เจ้าของรางวัล Tony Award และผู้อำนวยการเทศกาลกล่าวว่า เหตุผลที่เลือกการแสดงชุดนี้ให้มาเป็นหนึ่งในสามการแสดงชุดยาวประจำเทศกาลนั้น นอกจากหวังว่าจะมีโอกาสร่วมงานกับไล่เซิงชวน นักแต่งบทละครชื่อดังแล้ว ยังเป็นเพราะละครเรื่องนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ในหมู่คนเชื้อสายจีนด้วย ดังนั้น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเทศกาลละครที่สำคัญของสหรัฐฯ จึงถือเป็นพันธกิจสำคัญที่จะต้องนำละครเรื่องนี้มาออกแสดงให้ได้
สุขทุกข์ที่พันพัว กับมุมมองอย่างเป็นกลาง
ละครที่ถือว่าเป็น “ผลงานละครชิ้นเอกในแวดวงคนเชื้อสายจีนทั่วโลก” ชุดนี้ ถูกจัดให้แสดงในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเทศกาลละครในครั้งนี้ โดยการแสดงในครั้งนี้ อ.ไล่เซิงชวน เป็นคนแปลและกำกับการแสดงด้วยตนเอง โดยเขาใช้เวลา 1 ปีสำหรับปรับเปลี่ยนแก้ไขบทละครดังกล่าว นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชิญคนเชื้อสายจีนมาเป็นผู้กำกับการแสดง พร้อมกับคัดเลือกนักแสดงจากทั่วสหรัฐฯ ใช้เวลา 50 วัน ในการฝึกซ้อมอย่างขะมักเขม้น โดยเปิดการแสดงถึง 80 รอบ ภายในเวลา 180 วัน ถูกจารึกลงเป็นประวัติศาสตร์ว่า เป็นครั้งแรกที่บทละครจีนก้าวขึ้นสู่ระดับสากล ผลงานชิ้นเอกนี้มีเนื้อหาสามารถสื่อถึงความเป็นมนุษย์และเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก แม้ว่าจะถูกแปลออกมาเป็นฉบับภาษาอื่นๆ แต่ยังคงสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้คนจนเป็นที่กล่าวขวัญออกไปในวงกว้าง
และในปีนี้ (ค.ศ.2016) “แอบรักธารดอกท้อ” ก็จะกลับมาทำการแสดงบนเวทีของไต้หวันอีกครั้ง ซึ่งไม่เพียงจะทำให้ผู้คนหวนคิดถึง คณะละคร Performance Workshop
(表演工作坊) ขึ้นอีกครั้ง โดยละครเรื่องนี้ได้นำเอาบรรยากาศของยุคสมัยปัจจุบันของไต้หวัน นครเซี่ยงไฮ้หลังสงคราม วรรณกรรมจีนสมัยโบราณ งิ้วปังกิ่ง ความสุนทรีย์แห่งเอเชียตะวันออก และองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งเรื่องเศร้าและสุขนาฏกรรมมาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน สามารถแสดงอย่างต่อเนื่องได้นานถึง 30 ปี เซี่ยหมิงชาง (謝明昌) ผู้จัดการคณะละครได้ประเมินคร่าวๆ ว่าละครเรื่องนี้ได้ไปแสดงแล้วกว่า 1,000 รอบ ทั่วโลก แต่ถ้าจะนับรวมการแสดงที่ไม่ได้ขอลิขสิทธิ์ตามโรงเรียนต่างๆ ด้วย ก็น่าจะเกินกว่า 10,000 รอบ แม้กระทั่งภาควิชาการแสดงและการละครของมหาวิทยาลัยในจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ยังได้เลือกเอาบทละครเรื่องนี้ไปบรรจุอยู่ในแผนการเรียนการสอนเช่นกัน
คุณเซี่ยหมิงชางกล่าวว่า การสร้างสรรค์แต่ละผลงานในอดีตที่ผ่านมาของ Performance Workshop จะมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่ เนื้อหาของบทละครส่วนใหญ่จะมีต้นตอมาจากบริบททางประวัติศาสตร์และสถานการณ์ทางสังคมในสมัยนั้น หรือบรรยากาศบางอย่างในสังคมที่ได้ขาดหายไป โดยหวังให้ผู้ชมได้รับรู้ผ่านการแสดงของตัวละคร ดังตัวอย่างผลงานเช่นเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” และ “หมู่บ้านแห่งเกาะมหาสมบัติ” (寶島一村) เป็นต้น
คุณไล่เซิงชวนหวนคิดไปถึงสมัยที่เริ่มต้นคิดทำบทละครเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” ว่า ขณะนั้นถือเป็นยุคที่ค่อนข้างพิเศษ ซึ่งไต้หวันอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีระยะห่างที่เพียงพอสำหรับคนไต้หวันในการที่จะซึมซับสิ่งที่จะนำมาซึ่งความรู้สึกทั้งยินดี โศกเศร้า เป็นสุข และเป็นทุกข์ แรงบันดาลใจในการเขียนบทละครเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” มาจากความต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปของสถานการณ์ทางสังคมในไต้หวันที่มีการประท้วงและรวมกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อแสดงพลังแห่งประชาธิปไตย ถึงแม้จะก่อให้เกิดความวุ่นวายและความไม่สงบขึ้นบ้าง หากแต่ยังแฝงไว้ด้วยความคาดหวังในระดับหนึ่ง
เนื้อหาของบทละครโดยย่อ เป็นการพรรณนาถึงเรื่องราวของนักแสดงละคร 2 คณะ ที่กำลังแสดงเรื่อง “แอบรัก” และเรื่อง “ธารดอกท้อ” ด้วยความผิดพลาดของผู้จัดการโรงละคร เป็นเหตุให้จัดตารางเวลารอบซ้อมใหญ่ของนักแสดงทั้งสองคณะนี้ไว้ในช่วงเวลาเดียวกัน หลังจากที่สองฝ่ายเกิดการถกเถียงกันพักใหญ่ จึงร่วมหารือและตกลงที่จะฝึกซ้อม โดยใช้วิธีสลับกันขึ้นเวทีเพื่อให้ทันกับกาลเวลา ในที่สุดต่างฝ่ายต่างก็สามารถแสดงได้จนจบอย่างสมบูรณ์
ขณะแสดง นักแสดงและผู้กำกับของละครเศร้าอย่าง “แอบรัก” กับละครตลกอย่าง “ธารดอกท้อ” ต่างก็รบกวนซึ่งกันและกัน จนทำให้เกิดการต่อบทผิดๆ ถูกๆ แต่นักแสดงของทั้งสองเรื่องนี้กลับสามารถต่อบทกันได้ราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ จนกลายเป็นละครที่มีเสียงหัวเราะปนคราบน้ำตาและมีคราบน้ำตาในเสียงหัวเราะอย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนสามารถปลอบประโลมจิตใจของผู้ชมให้สามารถปล่อยวางและปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากความรู้สึกไม่สบายใจต่างๆ นานาที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนาน
สร้างสรรค์แบบเฉียบพลัน สู่ความคลาสสิกนับครั้งไม่ถ้วน
นับตั้งแต่ปีค.ศ.1986 เริ่มทำการแสดงเป็นต้นมา คำค้นหาของละครเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” นอกจากคำว่า “ไล่เซิงชวน” กับ “Performance Workshop” แล้ว ก็ยังมีคำว่า กลุ่มคนที่ร่วมกันสร้างสรรค์งานแบบเฉียบพลัน
ผลงานที่คลาสสิกมักจะทำให้คนอยากรู้ถึงเบื้องหลังของวิธีการสร้างสรรค์ คุณเซี่ยหมิงชางบอกกับเราว่า ต้นแบบของแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานแบบเฉียบพลันนี้ เริ่มจากการที่ผู้กำกับไล่เซิงชวน นำเสนอภาพรวมของบทละครที่เป็นโครงเรื่องไว้ก่อน โดยมีเนื้อหาประมาณสองหน้ากระดาษ จากนั้นผู้กำกับก็เรียกนักแสดงและเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคต่างๆ มาประชุมร่วมกัน เพื่อหารือถึงการฝึกซ้อม พร้อมกับระดมความคิดในการสร้างสรรค์เอกลักษณ์และความโดดเด่นให้กับแต่ละฉากแต่ละตัวละคร การใส่อารมณ์และความรู้สึกในเชิงลึก รวมถึงบทพูดต่างๆ
ในทุกวันหลังมีการเสนอไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน ผู้ช่วยผู้กำกับก็จะรับผิดชอบทำการจดบันทึกรายละเอียดของไอเดียเหล่านั้นไว้แบบวันต่อวัน แล้วส่งต่อไปให้คุณไล่เซิงชวนนำกลับไปทำการปรับปรุงแก้ไขใหม่ และหากวันถัดๆ ไปเหล่าบรรดานักแสดงมีความคิดดีๆ อะไรเกิดขึ้นมาอีก ก็จะทำแบบนี้ซ้ำๆ วันต่อวันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ผลงานที่สมบูรณ์ที่สุดออกมา
การเปิดตัวครั้งแรกของละครเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” ในปีค.ศ.1986 นั้น คุณไล่เซิงชวนเป็นผู้ริเริ่มวางแผน โดยได้รับความช่วยเหลือจากทีมงานอีกหลายคน เช่น หลี่ลี่ฉวิน (李立群) จินซื่อเจี๋ย (金士傑) ติงหน่ายจู๋ (丁乃竺) กู้เป่าหมิง (顧寶明) หลิวจิ้งหมิ่น (劉靜敏 ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น หลิวรั่ว
อวี่ 劉若瑀) จินซื่อฮุ่ย (金士會) กวั๋นกวั่น (管管) เฉินอวี้ฮุ่ย (陳玉慧) โหยวอันซุ่น (游安順) ซือซินฮุ่ย (施心慧) และซูหว่านหลิง (蘇婉玲) ซึ่งทั้งหมดได้ช่วยกันทำให้แผนงานเสร็จสมบูรณ์ที่หยางหมิงซัน คุณเซี่ยชางหมิงกล่าวว่า “ขณะฝึกซ้อม ผู้กำกับไล่เซิงชวนจะให้ความใส่ใจกับการบอกเล่าเรื่องราวของบทมากที่สุด ซึ่งเขามักจะทำการแก้ไขปรับปรุงซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วทำการจัดลำดับใหม่จนกว่าจะลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ถือเป็นการให้ความพิถีพิถันกับผลงานอย่างถึงที่สุดด้วยเช่นกัน”
โครงเรื่องของละครเวทีจำนวนมากมักจะดำเนินเรื่องในแบบที่ผู้ชมถูกดึงดูดให้เข้ามาสู่เรื่องราวตามเนื้อเรื่อง อันจะส่งผลให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปพร้อมกับตัวละคร จนทำให้สามารถเข้าถึงศิลปะแห่งการแสดงได้ แต่เรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” กลับแตกต่าง เพราะใช้วิธีการดำเนินเรื่องแบบละครซ้อนละครอีกที ดังนั้น ในทางตรงกันข้ามถึงแม้ผู้ชมจะมีอารมณ์และความรู้สึกร่วมไปกับละครที่แสดงอยู่ แต่ในระหว่างนั้นผู้ชมก็ยังสามารถดึงความรู้สึกกลับมาได้ว่า นี่เป็นเพียงการแสดงละครเท่านั้น คล้ายกับเรานั่งมองดูเรื่องราวของคนอื่นผ่านกระจกใส ที่นอกจากจะสำรวจสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังเข้าถึงความหมายของการทำงานเบื้องหลังอีกด้วย
คณะนักแสดงได้เดินทางไปทำการแสดงในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และเคยมีการจัดแสดงเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” อย่างเป็นทางการในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวันมากกว่า 8 ครั้ง โดยคุณเซี่ยหมิงชางกล่าวว่า เคยมีการแก้ไขเนื้อหาของบทละครบางส่วนเพียง 3 ครั้ง ซึ่งถือว่าไม่มากเท่าไหร่ เขาคิดว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ละครประสบผลสำเร็จ คือการทำให้ผู้ชมเกิดภาพและความรู้สึกได้ในหลากหลายระดับ แสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของความทุกข์และความสุขที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในเรื่อง “แอบรัก” และ “ธารดอกท้อ” ซึ่งพอหลังจากดูไปจนถึงตอนจบเรื่อง “แอบรัก” กลับจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่เรื่อง “ธารดอกท้อ” กลับจบลงแบบโศกเศร้า ซึ่งผู้ชมที่สามารถเข้าถึงละครเรื่องนี้จะสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกที่เปี่ยมล้นได้อย่างเต็มอิ่ม
คุณเซี่ยหมิงชางได้สังเกตเห็นว่า การแสดงช่วงหลังปีค.ศ.1999 กลุ่มผู้ชมวัยหนุ่มสาวจำนวนมากมักไม่ค่อยเข้าใจถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสองฝั่งช่องแคบไต้หวันเท่าไรนัก แต่กลับให้ความสนใจในส่วนที่มีการหลอมรวมเอาความทุกข์ความสุขเข้าไว้ด้วยกัน นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถึงโลกยุคปัจจุบันมีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนไป แต่ในส่วนของความรู้สึกที่ถูกซ่อนไว้และแก่นแท้อันลึกซึ้งของบทละครคลาสสิกของชาวจีนเรื่องนี้กลับไม่เคยสูญหาย ตรงกันข้าม ยังทำให้หัวใจของผู้ชมรุ่นใหม่ได้สัมผัสถึงประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คิดนอกกรอบ ถ่ายทอดสู่จอเงิน
หนังสือพิมพ์ The New York Times กล่าวถึงเรื่อง “แอบรักธารดอกท้อ” ว่า “ละครเรื่องนี้ถือเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมจากคนเชื้อสายจีนทั่วโลกมากที่สุด” โดยในปีค.ศ.1991, ค.ศ.1999, และปีค.ศ.2006 ถูกนำกลับมาทำเป็นละครเวทีในไต้หวันถึงสามครั้ง ขณะที่ในปีค.ศ.1992 กรอบแห่งละครเวทีก็ได้ถูกทำลายลงและถ่ายทอดออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ จนได้รับรางวัลจากเวทีระดับนานาชาติอีกนับไม่ถ้วนเช่นกัน
เมื่อกล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงหลินชิงเสีย (林青霞) ซึ่งเธอเคยได้เข้าร่วมแสดงในละครเวทีเรื่องนี้เมื่อปีค.ศ.1991 ในขณะที่เธอมีอายุ 39 ปี แต่บทที่ต้องแสดงเป็นหญิงสาวอายุเพียง 18 ปี ที่มีชื่อว่า “หยุนจือฝาน
(雲之凡)” ความเป็นธรรมชาติและความใสซื่อบริสุทธิ์ของหญิงสาวถักผมเปีย เป็นภาพที่ยังติดตราตรึงใจผู้ชมมาจนทุกวันนี้ก่อนที่ในปีถัดมาเธอจะแสดงบทนี้อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลม้าทองคำ (Golden Horse Awards) และจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน, โตเกียว และสิงคโปร์ด้วย ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่เมื่อ 24 ปีก่อน ด้วยการทำรายได้จากการออกฉายได้มากถึง 20 ล้านเหรียญไต้หวันด้วย
เมื่อเราถามคุณไล่เซิงชวนว่า เป็นผู้กำกับละครมานานถึง 30 ปี ชื่นชอบฉากไหนมากที่สุด? คุณไล่เซิงชวนตอบเราว่า คำถามนี้ยากที่จะตอบ แต่ถ้าหากจะต้องเลือกจริงๆ ก็อาจจะเลือกฉากสุดท้ายในห้องผู้ป่วย เพราะในระหว่างที่เขียนบทและในการแสดงนั้น เป็นอะไรที่ทำให้ยากจะลืมเลือนจริงๆ
ช่วงเริ่มต้นของการทำละครเวทีเรื่องนี้ ในฉากที่ติงหน่ายจู๋ (รับบทเป็นหยุนจือฝาน) และหลินซื่อเจี๋ย (ผู้รับบทเป็นเจียงปิงหลิ่ว) ได้แสดงสดแบบคิดบทพูดเองจนจบฉากตามคำแนะนำของผู้กำกับ ปรากฏว่าสามารถสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกแบบเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งคุณไล่เซิงชวนบอกกับเราว่า ปกติแล้วเขาไม่นิยมการดื่มด่ำในผลงานของตัวเองมากนัก แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นฉากนี้ไม่ว่าจะกี่ร้อยรอบ ก็ยังทำให้ต้องหลั่งน้ำตาออกมาเสมอ
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงฉากต่างๆ ในละคร คุณไล่เซิงชวนกล่าวว่า “ฉากอู่หลิงในสมัยก่อน” ก็มีอะไรเด่นๆ หลายอย่าง ฉากของตอน “ห้องผู้ป่วยในไทเป” ก็มีการทำฉากหลังให้เป็นเหมือนความฝัน ส่วนฉาก “ครึ่งครึ่ง” ก็มีบทพูดโต้ตอบต่อกันไปมา ล้วนเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมเช่นกัน จากนั้นใน 30 ปีให้หลัง ในช่วงเดือนสิงหาคม ปีค.ศ.2016 นี้ Performance Workshop ก็จะนำละครเรื่องนี้กลับมาแสดงอีกครั้งในวาระครบรอบ 30 ปี โดยย้อนกลับมาแสดงที่ไทเป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของละครเรื่องนี้ โดยมีติงหน่ายเจิ้ง (丁乃箏) รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ และมีนักแสดงรุ่นกลางอย่าง ฝันกวงเหย้า (樊光耀) จูจื่ออิ๋ง (朱芷瑩) ชวีจงเหิง (屈中恆) และถังฉงเซิ่ง (唐從聖) มารับหน้าที่แสดงนำในครั้งนี้
ไล่เซิงชวนกล่าวว่า “รู้สึกดีใจมากที่ผลงานชิ้นเดียวกันนี้ จะถูกคนรุ่นหลังนำกลับถ่ายทอดอีกครั้ง โดยเฉพาะการที่มีคุณติงหน่ายเจิ้ง ซึ่งเป็นนักแสดงมากฝีมือที่แสดงละครเวทีมาแล้วหลายปี ทั้งยังเคยแสดงภาพยนตร์ และเป็นผู้กำกับในอีกหลายๆ เรื่อง จึงเชื่อแน่ว่า จะต้องมีมุมมองที่แตกต่างเกิดขึ้น บวกกับความสามารถของเหล่านักแสดงละครเวทีในไต้หวัน ก็จะกลายเป็นการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยอรรถรส ทำให้ผมรู้สึกดีใจจริงๆ” คุณไล่เซิงชวนยิ้มอ่อนๆ และเผยว่า คุณชวีจงเหิงเคยพูดเอาว่า อยากแสดงเป็นเถ้าแก่หยวนสักครั้งในชีวิต ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ได้สมใจปรารถนาแล้ว
31 ปีของ Performance Workshop ทำให้เราเกิดข้อสงสัยว่า คุณไล่เซิงชวนมีทัศนคติต่อการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลายหรือไม่? คุณไล่เซิงชวนตอบเราว่า “ทั้งใช่ และไม่ใช่ ที่ว่าใช่ก็คือผมจะพยายามสื่อและแสดงความห่วงใยถึงเรื่องราวอะไรบางอย่างตลอดมา หวังว่าผลงานชิ้นนี้จะเป็นของขวัญแก่ผู้ชม แต่ในส่วนของเนื้อหา จากเริ่มต้นช่วงปี 80 จะเกี่ยวกับการเมืองและสังคมเป็นหลัก แต่หลังจากผลงานเรื่อง “ดั่งฝันในความฝัน” ที่ออกมาในปี 2000 เป็นต้นมา จะเปลี่ยนมาเน้นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจมากขึ้น อันนี้ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เขากล่าวอีกว่า ในกระบวนการเคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยของไต้หวัน โรงละครถือว่ามีบทบาทสำคัญ ผู้คนส่วนใหญ่พูดกันว่า ในยุคที่มีการประกาศกฎอัยการศึก โรงละครเป็นเสมือนสภากาแฟที่ผู้คนมาพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์เรื่องปัญหาการเมืองและสังคมกัน ซึ่ง Performance Workshop ก็เคยผ่านวันเวลาแบบนี้มาแล้ว
จนถึงวันนี้ ในวันที่ประชาธิปไตยในไต้หวันเบ่งบาน คุณไล่เซิงชวนคิดว่าคงไม่สามารถนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการวิจารณ์การเมืองมาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างจากนี้ต่อไป ก็จะเริ่มจากจิตใจของมนุษย์เรานั่นเอง เขาเห็นว่า “ถ้าจะบอกว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลง นี่แหละคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลง”
การสร้างสรรค์ของ Performance Workshop ที่เข้าถึงจิตใจของผู้ชม
คุณไล่เซิงชวนย้ำว่า การดำเนินงานของ Performance Workshop ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแนวความคิดไปจากเดิม ตั้งแต่ในปีค.ศ.1984 ที่ได้ทำการก่อตั้งขึ้นมา พวกเราให้ความสำคัญมากกับแนวคิดในการทำงานคือ การสร้างสรรค์ก็เป็นเรื่องของการสร้างสรรค์ การทำ Production ก็คือการทำ Production ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ควรก้าวก่ายซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระทบกระทั่งกันและกันแต่อย่างใด
การดำเนินงานของ Performance Workshop มีรายได้หลักมาจากการขายบัตร ซึ่งเพียงพอที่จะช่วยให้ยืนหยัดมาได้เป็นเวลากว่า 30 ปี มีการรักษาทั้งปริมาณและคุณภาพของผลงาน สิ่งที่ทำให้เป็นเช่นนี้ได้ อาจจะเป็นเพราะแนวคิดของระบบการทำงานแบบนี้ และการก่อตั้งของ Performance Workshop ในปีนั้น ถือเป็นการยกระดับการแสดงละครในไต้หวันในยุคสมัยค.ศ.1980 ให้มีระดับของงานศิลปะที่หลากหลายมากขึ้น และยังเป็นการกระตุ้นให้มีโรงละครสมัยใหม่เกิดขึ้นมากมายด้วยเช่นกัน
การก่อตั้ง Performance Workshop ในตอนนั้น คุณไล่เซิงชวนหวังเพียงที่จะสร้างพื้นที่ดีๆ และไร้ซึ่งความกดดันสำหรับใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ละครเรื่องแรกของคณะคือ ละครเรื่อง “คืนนั้นเรามาเล่าเรื่องตลกกัน (The Night We Became Hsiang-Sheng Comedians)” ที่ออกแสดงในปีค.ศ.1984 จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เขาต้องสร้างสรรค์ผลงานที่ดียิ่งกว่าออกมาให้ได้ เพื่อจะตอบสนองความต้องการของสังคมที่ต่างก็ตั้งตารอคอยอยู่ และผลงานชิ้นนั้นก็คือ “แอบรักธารดอกท้อ” นั่นเอง
เรื่องราวเล็กๆ ในยุคสมัยนั้น ได้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งบนเวที เริ่มจากการแสดงในไต้หวันก้าวไปสู่การแสดงระดับโลก จนกลายเป็นละครเวทีของคนเชื้อสายจีนที่ถูกนำมาแสดงมากที่สุดในยุคนี้ ทั้งยังกลายเป็นสะพานที่เชื่อมโยงละครเวทีของตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งกุญแจแห่งความสำเร็จนี้อาจจะมาจากการที่คุณไล่เซิงชวนและทีมงาน Performance Workshop ของเขา สามารถกระตุ้นความรู้สึกร่วมของผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วน ให้ติดตราตรึงใจกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้