เปลี่ยนความสิ้นหวังให้เป็นพลัง
ในปี ค.ศ.2014 ขณะที่กัวซิ่งฉุนกำลังฝึกซ้อม เธอประสบอุบัติเหตุถูกบาร์เบลที่มีน้ำหนัก 141 กิโลกรัม ทับที่ต้นขาขวา จนทำให้กล้ามเนื้อ 70% ฉีกขาด แต่เธอก็พยายามทำกายภาพบำบัดอย่างเต็มที่ หลังจากใช้เวลาพักรักษาตัวนานถึง 4 เดือน กัวซิ่งฉุนได้กลับมาลงแข่งกีฬาเอเชียนเกมส์ที่อินชอนของเกาหลีใต้ และสามารถคว้าอันดับ 4 มาครองได้สำเร็จ
กัวซิ่งฉุนได้พูดถึงตัวเองในช่วงหลังจากได้รับบาดเจ็บว่า มันกลับทำให้เธอมองโลกในแง่ดีมากขึ้น เพราะเมื่อต้องพบกับแรงกดดัน ก็จะช่วยปรับเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกให้ดีขึ้นได้ เธอกล่าวว่า “ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าหรือเส้นเอ็น”
จริงๆ แล้ว ในวินาทีที่เกิดอุบัติเหตุนั้น เธอพบว่าขาของตัวเองขยับไม่ได้แล้ว ในตอนนั้น เธอรู้สึกทั้งเจ็บและหนาวมาก ช่วงที่รอรถพยาบาลอยู่นั้น เธอบอกว่า “ในใจคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ มากมาย” แต่กัวซิ่งฉุนได้นำเอาความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังมาเปลี่ยนเป็นพลัง จนทำให้เธอสามารถกลับมายืนอยู่บนเส้นทางของตัวเองได้อีกครั้ง ในปี ค.ศ.2015 เธอบริจาคเงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันเกือบ 2 ล้านเหรียญไต้หวันให้กับโรงพยาบาลฮุ่ยหมิน (St. Camillus) ซึ่งตั้งอยู่ที่หม่ากงของเกาะเผิงหู เพื่อใช้ในการซื้อรถพยาบาลมาคอยบริการผู้ป่วยฉุกเฉินบนเกาะ โดยหวังว่าจะช่วยลดเรื่องราวอันน่าเศร้าเสียใจให้เหลือน้อยที่สุด
ในตอนนั้น นายเผิงไถหลิน (彭台臨) รองอธิบดีทบวงกีฬา ได้แนะนำให้กัวซิ่งฉุนไปเข้ารับการรักษาที่ศูนย์ปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายและจิตใจของบริษัทฉางเกิงไบโอเทคโนโลยี ทำให้เธอมีโอกาสรู้จักกับดร.หยางติ้งอี (楊定一) ซึ่งก่อนที่กัวซิ่งฉุนจะออกเดินทางไปเข้าแข่งขันในริโอโอลิมปิกเมื่อปี ค.ศ.2016 ดร.หยางติ้งอีได้ให้กำลังใจเธอว่า ต้องรู้จักแบ่งปันและรู้สึกขอบคุณ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
หลังจากที่กัวซิ่งฉุนคว้าเหรียญทองในโตเกียวโอลิมปิก เธอบอกว่า “ในตอนนั้น ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่ประโยคที่ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว มันทำให้รู้สึกมีพลังมาก และเป็นเหมือนคำบอกเล่าที่ดีที่สุดถึงชีวิตการแข่งขันยกน้ำหนักของฉัน”
ไต้หวันคือพลังที่ช่วยยกมันขึ้นมา
ในการแข่งขันริโอโอลิมปิกเมื่อปี ค.ศ.2016 กัวซิ่งฉุนคว้าได้เพียงเหรียญทองแดง สำหรับอาจารย์และลูกศิษย์ที่ตั้งเป้าหมายจะคว้าเหรียญทองมาครองให้ได้นั้น ถือเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว
เมื่อกลับมาถึงไต้หวัน การฝึกซ้อมก็เริ่มขึ้นใหม่ ซึ่งกัวซิ่งฉุนได้พูดถึงการเตรียมตัวสำหรับศึกใหญ่ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกในปี ค.ศ.2017 ว่า “โชคดีที่มีรุ่นพี่คือหงวั่นถิง (洪萬庭) ฝึกซ้อมด้วยกัน พอเธอเพิ่มน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ฉันก็เพิ่มตาม ในสภาพที่ทั้งเป็นคู่แข่งและเป็นคู่ซ้อม เรียกได้ว่าฝึกซ้อมกันอย่างสนุกมากๆ” แม้ว่าทั้งคู่จะฝึกซ้อมกันจนเหนื่อยล้า และมีแรงกดดันสูงมาก จนทำให้ถึงกับกินข้าวไปร้องไห้ไป แต่ทั้งสองคนต่างก็ช่วยกันปลอบอีกฝ่าย จนทำให้เสียงร้องไห้กลายเป็นเสียงหัวเราะภายในเวลาอันรวดเร็ว
ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลกเมื่อปี ค.ศ.2017 ซึ่งไต้หวันเป็นเจ้าภาพ กัวซิ่งฉุนสามารถสร้างสถิติโลกในท่าคลีนแอนด์เจิร์กด้วยน้ำหนัก 142 กิโลกรัม เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันในระหว่างการแถลงข่าวว่า “ฉันเชื่อว่านั่นคือผลงานที่คนไต้หวันทุกคนช่วยฉันยกมันขึ้นมา” แม้แต่อ.หลินจิ้งเหนิงก็ยังกล่าวชมเธอว่า “ซิ่งฉุนเป็นนักกีฬาไต้หวันคนแรกที่แข่งขันในกีฬาซึ่งมีพิกัดน้ำหนัก และสามารถทำลายสถิติโลกได้บนแผ่นดินไต้หวัน”
ชนะทุกสนาม ปราบทุกสังเวียน
ความยากของกีฬายกน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนน้ำหนักที่มากขึ้น พร้อมทั้งโอกาสที่นักกีฬาจะประสบอุบัติเหตุก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อ 5 ปีก่อน อ.หลินจิ้งเหนิง หัวหน้าผู้ฝึกสอน ได้นำเอาระบบการตรวจสอบและวิเคราะห์ร่องรอยของบาร์เบลที่ดร.เหอเหวยหัว (何維華) อดีตผู้อำนวยการศูนย์ฝึกซ้อมกีฬาแห่งชาติเป็นผู้พัฒนาขึ้นมาใช้งาน เพื่อปรับเปลี่ยนท่วงท่าของนักกีฬาและเพิ่มความแม่นยำในกีฬายกน้ำหนัก
ปี ค.ศ.2019 ด้วยอานิสงส์จากโครงการพิชิตเหรียญทองโตเกียวโอลิมปิกของกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน ประกอบกับการเข้ามามีส่วนร่วมของเจิ้งอวี้เอ๋อ (鄭玉兒) ผู้ฝึกสอนด้านกายภาพ และโจวอี้หลุน (周詣倫) นักกายภาพบำบัด เมื่อรวมตัวกับโค้ชก็กลายเป็น “ทีมงานในฝัน” เลยทีเดียว การได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ทำให้ทีมงานรู้สึกทึ่งในตัวกัวซิ่งฉุนมาก ที่มีทั้งความทรหดอดทน ไม่ยอมแพ้ และมุมานะที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ จนถึงกับเรียกกัวซิ่งฉุนว่าเป็น “หญิงคลั่ง” เลยทีเดียว
หลังจากพบกับความผิดหวังในริโอโอลิมปิก กัวซิ่งฉุนได้ปรับสภาพจิตใจใหม่เกี่ยวกับเป้าหมายในการคว้าเหรียญทอง โดยหันมาเน้นในการตั้งเป้าหมายว่าจะยกน้ำหนักให้ได้กี่กิโลกรัมในท่าสแนตช์และท่าคลีนแอนด์เจิร์กเป็นการทดแทน ส่งผลให้ตั้งแต่การแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์เอเชียในปี ค.ศ.2017 ไปจนถึงโตเกียวโอลิมปิกในปี ค.ศ.2021 เธอสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้ในทุกสนามที่ลงแข่งขันรวม 10 กว่ารายการ แบบไร้เทียมทานจนส่งผลให้ชื่อเสียงของเธอโด่งดังไปทั่วโลก
การคงอยู่ของเทพธิดา
เคยคิดจะเลิกการยกน้ำหนักบ้างไหม? เธอส่ายหัวพร้อมหัวเราะแล้วบอกกับเราว่า “พูดตามตรง ไม่เคยเลยจริงๆ ไม่มีเหตุผลที่จะเลิกยกน้ำหนักด้วย”
คุณแม่ของกัวซิ่งฉุนคลอดเธอตอนที่อายุ 18 ปี โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอจึงถูกคุณยายเลี้ยงดูตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณแม่ต้องตระเวนทำงานหาเงินไปตามที่ต่างๆ จนทุกวันนี้เธอเพิ่งเคยพบหน้าคุณพ่อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เธอเห็นว่า การเล่นกีฬาทำให้เธอสามารถหันไปโฟกัสในเรื่องอื่น จนไม่ถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมในชีวิตของเธอ
กัวซิ่งฉุนซึ่งเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม จดจำคำสั่งสอนของ อ.หลินซั่งอี๋ผู้ที่พาเธอเข้าสู่เส้นทางการยกน้ำหนักได้อย่างแม่นยำว่า “ขอเพียงเธอได้ดี ทุกคนก็จะดีตาม” ที่ผ่านมา
เธอพบว่า หลายครั้งมากที่แรงกดดันจะไปตกอยู่กับโค้ชผู้ฝึกสอน “ดังนั้นฉันต้องทำให้ดี เพื่อให้โค้ชไม่ต้องมีแรงกดดันมาก” กัวซิ่งฉุนในทุกวันนี้ นอกจากจะนำเงินรางวัลจากการแข่งขันไปบริจาคให้โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ในไถตง รวมถึงมูลนิธิเจเนซิส (Genesis Social Welfare Foundation) แล้ว เธอยังหวังว่าเรื่องราวของเธอจะสามารถกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนด้วยเช่นกัน
สำหรับตัวเธอเองก็อยู่ระหว่างการเตรียมพร้อมเพื่อรับศึกใหม่ ทั้งการแข่งขันเอเชียนเกมส์ในปีหน้า และโอลิมปิกครั้งต่อไปที่ปารีส “ไม่อยากให้สถิติของตัวเองถูกคนอื่นทำลาย และคิดว่าฉันยังทำได้ดีกว่านี้อีก” เราจึงหวังว่า กัวซิ่งฉุนที่บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า “ขอเพียงเธอได้ดี ทุกคนก็จะดีตาม” จะยังคงใช้พลังในการยกน้ำหนักของเธอ นำพาพลังบวกมาสู่ไต้หวันต่อไปอย่างไม่มีวันหมดสิ้น