แรงงานและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ตื่นเต้น เมื่อเห็นหุ่นเชิดไม้จากบ้านเกิดอายุนับร้อยปี
เมื่อพิพิธภัณฑ์ไต้หวันนำเอา “กริช” มาเปรียบเทียบก็พบว่า หุ่นเชิดไม้ที่เก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์ก็มีกริชประจำกาย และเมื่อสอบถามก็ทราบว่า หุ่นเชิดไม้เหล่านี้ คือ Wayang Klitik ที่มาจากเมือง Kediri ในอินโดนีเซีย
“นี่มันคือศิลปะการแสดงดั้งเดิมที่บ้านเกิดของผมนะ ผมโตมากับการชมการแสดงนี้ ผมตื่นเต้นมาก และขอบคุณไต้หวันที่เก็บรักษาวัฒนธรรมของอินโดนีเซียไว้” นั่นเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของคุณ Budi ที่มาจากเมือง Kediri และยังทำให้เขานึกถึง Kondo Brodiyanto เพื่อนบ้านที่เป็นคนเชิดหุ่นเชิดเหล่านี้ด้วย
เมื่อคุณ Kondo ทราบข่าวว่า พิพิธภัณฑ์ไต้หวันได้เก็บสะสมหุ่นเชิดที่ทำจากไม้อายุนับร้อยปีของอินโดนีเซีย จึงรีบติดต่อผู้ใหญ่บ้านและคณะแสดงหุ่นเชิดในหมู่บ้าน เพื่อจัดการแสดงแบบไลฟ์สดบริเวณหน้าโรงพักในหมู่บ้าน โดยเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์สามารถร่วมรับชมการแสดงหุ่นเชิดโบราณของอินโดนีเซียที่มีอายุนับร้อยปี ผ่านรูปแบบการถ่ายทอดสดบนช่องทางออนไลน์
นาฏศิลป์นกยูงรำแพนหน้าสิงห์→กริช→เชื่อมสู่การแสดงหุ่นเชิด
พิพิธภัณฑ์ไต้หวันยังพบอีกว่า มงกุฎบนหัวของหุ่นกระบอกมีรูปทรงคล้ายกับเครื่องประดับของนักแสดงนาฏศิลป์ท่านหนึ่ง ซึ่งหลังจากที่อาจารย์หุ่นเชิดได้ทำการเทียบเคียงกันแล้ว ก็พบว่ามงกุฎชิ้นนี้เป็นหนึ่งในบทบาทของตัวละครในการแสดงชุดนี้ ซึ่งก็คือรุ่นลูกของ Adhipati Klonosewandono (กษัตริย์) การร้อยเรียงเรื่องราวเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งนักแสดง สิ่งของที่สะสมไว้ และเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา ทำให้เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ ต่างรู้สึกตื่นเต้นไปตาม ๆ กัน
พิพิธภัณฑ์ไต้หวันระบุว่า การแสดง Reog Ponorogo ซึ่งเป็นการแสดงของชวาตะวันออก กับการแสดง Barong บนเกาะบาหลี อินโดนีเซีย ล้วนเป็นสัตว์เทพที่สำคัญในวัฒนธรรมตามความเชื่อของอินโดนีเซีย ดังนั้น พิพิธภัณฑ์ไต้หวันจึงได้ขอยืมชุดนาฏศิลป์ Reog Ponorogo ที่คุณ Sri Handini ใช้สำหรับการสอนเด็ก ๆ ในไต้หวัน และนำเอา Barong ที่สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าอินโดนีเซียในไต้หวันบริจาคให้พิพิธภัณฑ์เมื่อปี ค.ศ. 2019 มาจัดแสดงด้วย (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์) ความจริงแล้ว Reog (เรโอก) มีน้ำหนัก 60-70 กก. เป็นหน้ากากที่ใหญ่ที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง โดยผู้แสดงต้องใช้ฟันกัดเพื่อพยุงหน้ากากเอาไว้
คุณ Sri Handini บอกอีกว่า “การแสดง Reog Ponorogo พบเห็นได้ทั่วไปที่บ้านเกิดของเธอ แต่พอมาถึงไต้หวัน กลับรู้สึกว่ามีคุณค่ามากขึ้น” เธอบอกว่า ชุดแสดงที่นำมาจากบ้านเกิดมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้ชม ได้เข้าใจ ทำให้มีความหมายที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก”
ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวฟิลิปปินส์ พบชุดประจำชาติที่ต่างแดน
ในงานนิทรรศการ ยังสามารถพบเห็นชุดประจำชาติของฟิลิปปินส์ (Barong Tagalog) ที่ถักทอมาจากเส้นใยของสับปะรด และมีการปักลวดลามสวยงาม ซึ่งมีอายุเก่าแก่นานนับร้อยปี โดยชุดของสุภาพบุรุษเป็นเสื้อเชิ้ตแบบไม่มีกระเป๋า ส่วนชุดของสุภาพสตรีจะเป็นกระโปรงยาวคอกลมหรือคอเหลี่ยมแขนสั้น แขนเสื้อยกสูง เสมือนผีเสื้อกำลังสยายปีก จึงเรียกชุดนี้ว่า “ชุดผีเสื้อ” ซึ่งอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินาน มาร์กอส ได้มีคำสั่งให้ใช้เป็นชุดประจำชาติของฟิลิปปินส์เมื่อปี ค.ศ. 1975
มาริโอ สุเบลเดีย (Mario Subeldia) นักวาดทรายและเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ชาวฟิลิปปินส์ ยังได้ออกแบบชุดสูทยุคใหม่ของฟิลิปปินส์อีก 3 ชุด ประสานกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มาริโอเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เห็นชุดประจำชาติรู้สึกตกใจมาก เนื้อผ้ายังถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี รู้สึกเหมือนกับย้อนยุคสู่อดีต ปัจจุบันเส้นใยสับปะรดราคาแพงมากและหายากด้วย เพราะฉะนั้น ผลงานของเขาจึงใช้เส้นใยเทียมมาแทนที่ ส่วนแบบก็ยังคงมีการปักลายดอกเช่นเดียวกับชุดประจำชาติ เขาบอกว่า เมื่อผู้ชมงานชื่นชมความงดงามของชุดประจำชาติ ชื่นชมผลงานของเขา เขารู้สึกภูมิใจในความเป็นชาวฟิลิปปินส์ของตัวเอง
แรงงานและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ดีใจและเบิกบาน เมื่อพบสิ่งของสะสมจากบ้านเกิด
หยวนสวี้เหวินบอกอีกว่า การศึกษาค้นคว้าวัตถุจากอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาของพิพิธภัณฑ์ทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นิทรรศการนี้ “ก็คือการร่วมกับแรงงานจากอาเซียนค้นหาสถานะที่แท้จริงของสิ่งที่เก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์เพื่อนำออกมาจัดแสดง”
ผศ. หลินเหวินหลิง จากคณะพิพิธภัณฑ์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย หมาวิทยาลัยฝู่เหริน (Fu Jen Catholic University) เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมพิพิธภัณฑ์นานาชาติที่จัดขึ้นที่กรุงปรากในปี ค.ศ. 2022 มีมติร่วมกันเกี่ยวกับความหมายใหม่ของพิพิธภัณฑ์ ได้แก่ “ใช้สิ่งที่อยู่ใกล้ ความเอื้ออาทร ความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมของกลุ่มชน” เธอเห็นว่า การเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้นของกลุ่มแรงงานต่างชาติเป็นการอัดฉีดความรู้สึกและความหมายใหม่ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นให้แก่สิ่งที่นำมาจัดแสดง และควรที่จะเป็นการเชื่อมต่อความรู้สึกร่วมและความเชื่อมั่นในระยะยาวระหว่างพิพิธภัณฑ์กับแรงงานต่างชาติ ในขณะเดียวกัน ทางพิพิธภัณฑ์ได้เชิญกลุ่มแรงงานจากอาเซียนเข้าร่วมด้วย โดยให้โอกาสพวกเขาได้บรรยายเรื่องราวของวัตถุของสะสมผ่านแง่มุมทางวัฒนธรรมในถิ่นบ้านเกิดของตน การเคารพต่อวัฒนธรรมของกลุ่มชนเช่นนี้ ควรค่าแก่การชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง