ไต้หวันในมุมมองจากภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในการอ่านวรรณกรรมมาเลเซียเชื้อสายจีน หรือวรรณกรรมอื่น ๆ ของนักเขียนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในไต้หวัน เราควรจะใช้เนื้อความและเทคนิคในการเขียน มาเป็นตัวตัดสินว่าผลงานดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ตัดสินจากหัวข้อหรือประเด็นที่ใช้ในการเขียน ก็เหมือนกับการมีสภาพแวดล้อมที่ไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมา และเป็นสังคมซึ่งอ้าแขนยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลาย จึงจะทำให้ผู้อื่นมีความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านของตัวเอง
ในระหว่างให้สัมภาษณ์จางกุ้ยซิงยังบอกกับเราอีกว่า กำลังจะลงมือเขียนหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหลินวั่ง ช้างชื่อดังที่เป็นดาวเด่นของสวนสัตว์ไทเป ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นช้างจากเมียนมาที่เคยถูกใช้สำหรับทำสงคราม และผ่านความเป็นความตายมาแล้วในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้นวนิยายของจางกุ้ยซิงจะพูดถึงประเด็นที่ค่อนข้างกว้างและซับซ้อนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และกลุ่มชาติพันธุ์ แต่เขามีความมั่นใจมากว่า “คิดโครงเรื่องไว้นานแล้ว พอลงมือเขียนก็จะเร็วมาก”
หลีหยิ่วเฉิงเพิ่งจะเกษียณอายุจากการทำงานที่สภาวิจัยแห่งชาติเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็ได้กลับมาหยิบปากกาแต่งบทกวีอีกครั้งเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม บทกวีของเขาในชุด “กลับสู่หมู่บ้านชาวประมงยามราตรี” กล่าวไว้ว่า ความรักของบุพการีกับบุตร ก็เหมือนกับหนังสือเก่า ๆ ที่ถูกอ่านซ้ำไปซ้ำมา แต่กลับทำให้ฉันค้นพบความหมายใหม่ ๆ เหมือนกับใบชาที่ถูกเด็ดจากกิ่งแก่ ๆ แต่เมื่อถูกนำไปอบก็จะเกิดกลิ่นหอมที่ห่างหายไปนาน
บางที สำหรับเหล่านักเขียนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนที่ถือว่ามีบ้านเกิดสองแห่งแล้ว ไต้หวันก็คงจะเหมือนกับ “หนังสือเก่า” เล่มนั้น และก็เป็นอะไรที่สอดคล้องกับนวนิยายเรื่องใหม่ที่จางกุ้ยซิงกำลังจะเริ่มเขียน “คุณปู่หลินวั่ง” ก็พาเราให้พ้นจากสวนสัตว์ไทเปอันแสนสงบในยุคปัจจุบัน กลับไปสู่สงครามแห่งทะเลใต้ที่แทบจะถูกลืมไปแล้วอีกครั้ง การเปิดหนังสือขึ้นอ่านใหม่อีกครั้งจากมุมมองของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ทำให้ความหมายใหม่ ๆ ของไต้หวันถูกค้นพบและเสริมสร้างให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยมีนัยสำคัญที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าจะถูกเด็ดมาจากกิ่งแก่ ๆ เหมือนกัน แต่กลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอันหอมหวน ซึ่งแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยจางหายไป