°ßตั้งค่ามือถือไปที่โหมดเซลฟี่นะคะ แล้วนำไปวางไว้ที่กระเบื้องหินอ่อนแผ่นที่ 6 นับจากบันไดขั้นบนสุดลงมา จะได้ภาพหลังคากระจกสีทรงกลมของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันทั้งหมด ขอให้ทุกคนยืนล้อมกันเป็นวงกลมแล้วขยับเข้ามาใกล้ๆ กันหน่อยค่ะ จะถ่ายเซลฟี่กับหลังคาทรงกลมได้°® เจิ่งตู๊เบิ่น (Tran Tu Binh) สวมอ่าวหญ่ายชุดประจำชาติเวียดนามสีแดงสด พร้อมใช้ภาษาเวียดนามบรรยายและสาธิตวิธีถ่ายเซลฟี่กับหลังคากระจกสีของพิพิธภัณฑ์ฯ ให้ผู้เยี่ยมชมซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติชาวเวียดนามได้ฟัง และนี่คือบริการนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ
ด้วยภาษาแม่โดยทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Musuem) ที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ปีค.ศ.2015 โดยใช้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี
เปลี่ยนแผนจากรับมาเป็นรุก
ทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทั้ง 4-5 คนกล่าวเป็นประโยคเดียวกันว่า “มาไต้หวันได้สิบกว่าปีแล้ว เพราะเห็นข่าวประกาศรับสมัครทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน จึงได้ก้าวเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้เป็นครั้งแรก”
สวนสาธารณะเพื่อสันติภาพและรำลึกโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ เป็นสถานที่นัดพบของบรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวนมาก แต่ทางพิพิธภัณฑ์ฯ พบว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เหล่านี้ มีน้อยรายมากที่จะย่างก้าวเข้าไปในตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ฯ ที่ตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ จากการสำรวจคร่าวๆ ของเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์ฯ พบว่าแม้อาคารพิพิธภัณฑ์ฯ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตและสวยงามแต่กลับกลายเป็นเสมือนกำแพงกั้นและทำให้เกิดความรู้สึกว่าพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้เปิดบริการเฉพาะคนท้องถิ่น ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่หรือแรงงานข้ามชาติ
ทำอย่างไรจึงจะดึงดูดผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นกลุ่มชนที่ใหญ่อันดับ 4 ของไต้หวันให้ก้าวเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์ฯ จึงกลายเป็นความรับผิดชอบและโจทย์ใหม่ที่เฉินจี้หมิน (陳濟民) อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันต้องหาคำตอบให้ได้
ปีค.ศ.2014 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันได้จัดนิทรรศการ “ศาสนาอิสลาม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวมุสลิม” ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความสนใจและเสียงชื่นชมในหมู่ชาวมุสลิมได้ไม่น้อย ทางพิพิธภัณฑ์ฯ จึงถือโอกาสนี้ ประกาศรับอาสาสมัครที่สนใจมาทำหน้าที่เป็นทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้รวมอินดราวาติ ตาโนโต (Indrawati Tanoto) สาวอินโดนีเซียคนนี้ด้วย
ช่องทางทำความรู้จักไต้หวัน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ.1908 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อรวบรวมความรู้ด้านชีววิทยาและวัฒนธรรมที่หลากหลาย อีกทั้งกำหนดให้เป็นแหล่งความรู้ที่เกี่ยวกับไต้หวันยุคปัจจุบัน เฉินจี้หมิน อดีตผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน ตั้งเป้าให้พิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ทำให้คนไต้หวันได้รู้จักวัฒนธรรมของตนเองและให้คนต่างชาติได้รู้จักไต้หวันมากขึ้น สำหรับเพื่อนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อาศัยอยู่ในไต้หวัน ซึ่งมีจำนวนเกือบหนึ่งล้านคนนั้น เฉินจี้หมินเปิดเผยว่า “พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันจะเป็นเสมือนช่องทางที่ทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานข้ามชาติได้ทำความรู้จักไต้หวัน”
ด้านหลินหัวชิ่ง (林華慶) รองผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันชี้แจงว่า นับจากยุคที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองไต้หวันก็ได้เกิดคลื่นผู้อพยพหลั่งไหลเข้าสู่ไต้หวันหลายระลอก ซึ่งรวมถึงการอพยพของรัฐบาลสาธารณรัฐจีนภายใต้การนำของพรรคก๊กมินตั๋งในปีค.ศ.1949 และในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมายังเกิดกระแสการอพยพโดยผ่านการสมรสและการเดินทางมาทำงานในไต้หวันของผู้คนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “พวกเราล้วนเป็นสักขีพยานและเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เราคือพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้นผลกระทบของวัฒนธรรมผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่มีต่อวัฒนธรรมไต้หวัน จึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความใส่ใจมากขึ้น”
ด้วยเหตุนี้เอง พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันจึงเริ่มประกาศรับสมัครอาสาสมัครบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่โดยผ่านช่องทางต่างๆ อาสาสมัครรุ่นแรกเปิดรับสมัครในปีค.ศ.2014 หลังผ่านการฝึกอบรมเป็นเวลา 2-3 เดือน ในที่สุดก็ได้อาสาสมัครที่สามารถทำหน้าที่เป็นทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จาก 4 ชาติ คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม พม่าและฟิลิปปินส์ รวมทั้งสิ้น 10 คน เริ่มให้บริการนำชมได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปีค.ศ.2015 เป็นต้นมา
เชื่อมโยงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เพราะระหว่างการฝึกอบรมและเอกสารข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบล้วนเป็นภาษาจีน ดังนั้นต้องมีทักษะภาษาจีนที่ดีมาก จึงจะสามารถอ่านและเข้าใจข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ นี่คือเงื่อนไขขั้นพื้นฐาน” หยวนซวี่เหวิน (袁緒文) เจ้าหน้าที่รับผิดชอบโครงการทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันเผย
ระหว่างการฝึกอบรม ทูตพิเศษฯ เหล่านี้ต้องตั้งใจฟังการบรรยายจากวิทยากรระดับอาวุโสเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา เอกลักษณ์พิเศษของสถาปัตยกรรมและสิ่งที่นำออกมาจัดแสดงเป็นประจำภายในพิพิธภัณฑ์ฯ นอกจากนี้ พวกเธอยังต้องฝึกฝนวิธีการนำชมและการบรรยายจากวิทยากรอาสาสมัครหลายคน อาศัยการฟังบ่อยๆ จะช่วยให้จดจำและมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น รูปแบบการนำชมและการบรรยายที่แตกต่างกันออกไปของวิทยากรแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษามือหรือแผ่นภาพประกอบการบรรยายล้วนเป็นสิ่งที่พวกเธอสนใจเรียนรู้
การนำชมและบรรยายที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ทางพิพิธภัณฑ์ฯ ให้ความสำคัญมากที่สุด หากเจอคำศัพท์เฉพาะต้องค้นหาความหมายที่เป็นภาษาอังกฤษก่อน จากนั้นจึงนำไปเทียบกับคำศัพท์ในภาษาแม่ที่มีความหมายใกล้เคียงที่สุด ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการฝึกซ้อมนำชมและบรรยาย ในการฝึกซ้อม 2-3 ครั้งแรก สตรีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เหล่านี้ต้องใช้ภาษาจีนบรรยายก่อน จากนั้นจึงจะสลับกันฝึกบรรยายโดยใช้ภาษาแม่ นอกจากนี้ ทางพิพิธภัณฑ์จะจัดให้พวกเธอเข้าร่วมการนำชมและฟังบรรยายที่ใช้ภาษาจีนจากวิทยากรอาสาสมัครบ่อยๆ คุณหยวนซวี่เหวินบอกว่า “สตรีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เหล่านี้ มีความมุ่งมั่นสูงมาก หลังจบการนำชมแล้ว พวกเธอมักจะเข้าไปรุมล้อมวิทยากรอาสาสมัครเพื่อสอบถามปัญหาต่างๆ บ่อยครั้งที่วิทยากรอาสาสมัครแทบจะรับมือไม่ไหว”
เดือนมิถุนายน ปีค.ศ.2016 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันเริ่มเปิดฝึกอบรมทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 อย่างเป็นทางการ หยวนซวี่เหวินกล่าวกับทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วยความจริงใจว่า “หวังว่าทุกท่านจะค้นพบความเชื่อมโยงกันระหว่างวัฒนธรรมไต้หวันกับเวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์ อย่างเช่น ช่วงที่มีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน ที่บ้านเกิดของพวกท่านกำลังมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น การเชื่อมโยงกับบ้านเกิดเป็นสิ่งสำคัญเพราะวัฒนธรรมของพวกท่านก็ถือว่ามีความสำคัญมาก” ด้วยเหตุนี้เองระหว่างการนำชม อาสาสมัครชาวเวียดนามได้นำภาพพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์มาเปรียบเทียบกับรูปลักษณ์ภายนอกของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน ขณะที่อาสาสมัครชาวอินโดนีเซียจะชี้ชวนให้ผู้เยี่ยมชมซึ่งเป็นคนชาติเดียวกันดูที่พื้นชั้น 1 ของพิพิธภัณฑ์ฯ ที่เป็นกระเบื้องตาหมากรุกสีขาวสลับดำซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากพื้นในศาสนสถานที่เกาะบาหลีเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านี้ ทางพิพิธภัณฑ์ฯ ได้ริเริ่มจัดพิมพ์แผ่นพับแนะนำพิพิธภัณฑ์ฯ เป็นภาษาอินโดนีเซียและภาษาเวียดนามเป็นครั้งแรกขึ้น ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือในการแปลภาษาจากบรรดาอาสาสมัครที่เป็นทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เหล่านี้นี่เอง
ผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นคือผู้หญิงที่สวยที่สุด
ลินดา จินเดียวาติ อารีฟิน (Linda Tjindiawati Arifin) มาจากอินโดนีเซีย เคยมาเรียนภาษาจีนในไต้หวัน จากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เล่าประสบการณ์การนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ ครั้งแรกของเธอว่า ตอนนั้นเธอรู้สึกว่า เสียงของเธอสั่นระริก ลูกสาวก็สังเกตเห็นว่า เธอเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แม้แต่ในปัจจุบัน ก่อนการนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ หนึ่งคืน ลินดายังต้องทบทวนข้อมูลใหม่ทุกครั้งไป เพราะเป็นคนมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง เธอจึงกลัวว่าตัวเองจะนำชมและบรรยายได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้นักท่องเที่ยวที่มาชมพิพิธภัณฑ์ไม่ประทับใจได้
เลหวูฟี (Le Vu Phi) เป็นสาวเวียดนาม ระหว่างการฝึกอบรมจะเข้าเรียนตรงเวลาทุกชั่วโมง แถมยังพาลูกมาเรียนด้วย เหตุผลก็คือ นี่ไม่ใช่เป็นการเรียนรู้เฉพาะตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการสอนให้ลูกๆ รู้ถึงความพากเพียรของผู้เป็นแม่ จนในที่สุดเธอหลงรักงานนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ โดยไม่รู้ตัว
เจิ่งตู๊เบิ่น เข้ามาอาศัยในไต้หวันเป็นเวลา 16 ปีแล้ว ปัจจุบันเป็นคุณแม่ลูกสาม เธออาศัยเวลาว่างช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ไปเป็นครูสอนภาษาแม่ (ภาษาเวียดนาม) ให้แก่เด็กๆ ในโรงเรียนประถมศึกษาหว่างซี (網溪國小) ในเขตจงเหอ นครนิวไทเป (新北市永和區) เธอมักจะขอให้เด็กนักเรียนที่เธอสอน ชวนคุณแม่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ฯ ในช่วงวันหยุด เพราะนอกจากจะทำให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนภาษาแม่แล้ว ยังทำให้เข้าใจวัฒนธรรมไต้หวันดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นให้คุณแม่ซึ่งเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวนมากที่ไม่ค่อยยอมไปไหน ได้ออกมาทำความรู้จักกับไต้หวันมากขึ้น
มาลี แซ่จ้าว (趙有學) เป็นสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมฝึกอบรมในรุ่นที่ 2 และเป็นทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวไทยเพียงคนเดียวเท่านั้น ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เธอเดินทางมาเยี่ยมญาติในไต้หวัน ไม่นึกว่าตัวเองจะหลงรักที่นี่ เธอจึงตัดสินใจไม่กลับเมืองไทย ก่อนหน้านี้ เคยมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน 2 ครั้ง แต่เป็นเพียงการชมแบบผิวเผิน เธอหวังว่าจะนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมมาแบ่งปันให้เพื่อนชาวไทยได้รับรู้เรื่องราวและความสวยงามของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ในบรรดาทูตพิเศษบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ มีสาวเวียดนามมากที่สุด ช่วงเวลาของการบริการนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ ด้วยภาษาเวียดนาม ผู้ที่มีเวลาว่างจะพร้อมใจกันสวมชุดอ่าวหญ่าย
มาคอยช่วยบริการ ดังนั้นในวันหยุดสุดสัปดาห์มักจะได้เห็นสาวเวียดนามในชุดประจำชาติที่สวยงามแปลกตา เยื้องย่างไปมาอยู่ภายในห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ฯ เหวงถิงอกมาย (Nguyen thi ngoc mai) ยังเล่าถึงตอนที่เธอกับเจิ่งตู๊เบิ่นกำลังสลับกันฝึกฝนการนำชมพิพิธภัณฑ์ฯ บังเอิญเจอกับสามีภรรยาชาวไต้หวันคู่หนึ่ง จะขอเข้ามาฟังการบรรยายด้วยภาษาจีนสำเนียงเวียดนามของพวกเธอให้ได้
ช่วงเวลาบ่ายสามของทุกวันอาทิตย์ จะเป็นการเริ่มนำชมพิพิธภัณฑ์ด้วยภาษาอินโดนีเซีย อินดราวาติจะสวมเกบาย่า (Kebaya) สีฟ้าสด ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของอินโดนีเซีย บอกกล่าวเล่าขานเรื่องราวความเป็นมาของตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ในกรุงไทเปมานานถึงหนึ่งศตวรรษให้ผู้เยี่ยมชมได้รับฟัง ภาพที่อินดราวาติกำลังบรรยายโดยใช้ภาษาอินโดนีเซียที่ชัดเจนน้ำเสียงสดใส บุคลิกที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ตุ้มหูยาวๆ แกว่งไปมาตามท่าทางที่ใช้ประกอบการบรรยาย ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
การเข้ามามีส่วนร่วมในพิพิธภัณฑ์ฯ เก่าแก่อายุนับร้อยปีแห่งนี้ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทำให้อุดมการณ์เรื่องความเสมอภาคทางวัฒนธรรมได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น และพิพิธภัณฑ์ฯ แห่งนี้ยังจะทำหน้าที่เป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวของคนไต้หวันทั้งชาติต่อไป