แสงแดดที่ทางไต้หวันได้รับจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงไต้ของประเทศนั้น ทำให้เมืองเจียอี้และไถหนาน มีข้อได้เปรียบในการทำนาเกลือ โดยส่วนใหญ่แล้วไถหนานถือเป็นเมืองที่มีหมู่บ้านนาเกลือซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยครอบคลุมบริเวณพื้นที่ของ เจี่ยหลี่ เสวียเจี่ย ซีกั่ง ชีกู่ เจียงจวินและเป่ยเหมินเป็นต้น ซึ่งผิดกับเมืองเจียอี้ที่น้อยคนนักที่จะรู้จัก ซึ่งทั้งที่ตัวเมืองนั้นห่างจากเมืองไถหนานเพียงแม่น้ำกั้นเท่านั้น้
แต่หลังจากที่ไต้หวันได้ยกเลิกการทำนาเกลือในปี 2545 เมืองปู้ไต้กลับพลิกฟื้นการทำนาเกลือกลับมาอีกครั้งโดยพลังของคนในชุมชน ทำให้นาเกลือโจวอยางได้ถูกฟื้นฟูขึ้น และก่อเกิดเป็นรากฐาน "วัฒนธรรมเกลือ" กลายเป็นนาเกลือที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยี่ยมชมและสัมผัสการทำนาเกลือ การทำนาเกลือนั้นได้เป็นจุดริเริ่มก่อนที่จะมีการทำการเกษตรและการประมงปลอดสารพิษในเวลาต่อมาโดย กลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ซึ่งรักสิ่งแวดล้อมและมีความพยายามที่จะรักษาชื่อเสียงของปู้ไต้สืบต่อไป
“ฉันจะสัมผัสนำ้ทะเล แผ่นดิน ฤดูกาลและดวงอาทิตย์ด้วยใจ และนำภูมิปัญญาของผืนแผ่นดินีมาจดจำให้ขึ้นใจ เป็นชาวนาเกลือด้วยใจที่มีสุข” เสียงท่องของคำขวัญนักเรียนประถมหกสิบคนที่เข้าร่วมโครงการของการสอนนอกโรงเรียนได้ดังขึ้น ก่อนที่จะเดินเท้าเปล่าลงไปนาเกลือ ซึ่งเป็นคำขวัญของนาเกลือโจวหยาง ปู้ไต้ ตามคำแนะนำของมัคคุเทศน์
ปู้ไต้จุ้้ยคือชื่อเดิมของปู้ไต้ ซึ่งตั้งอยู่ทางายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเจียอี้ โดยบริเวณทางทิศใต้ติดกับเมืองไถหนานโดยมีแม่น้ำปาจ่างกั้นไว้ระหว่างเมือง ตั้งแต่ปลายหลังสมัยราชวงศ์ชิงจนถึงปี 2544 ซึ่งเป็นปีที่ไต้หวันได้หยุดการผลิตเกลือ ปู้ไต้ถือว่าเป็นนาเกลือที่สำคัญของไต้หวันตลอดมา
ร่วมแรงร่วมใจ ทั้งยามมีเกลือและไม่มีเกลือ
อุตสาหกรรมเกลือของไต้หวันเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลาที่ถูกปกครองโดยเนเธอร์แลนด์
โดยในปี 2191 บริษัทอินเดียตะวันออกของชาวเนเธอร์แลนด์ ได้เริ่มทำนาเกลือแห่งแรกที่นาเกลือไล่โค่ว เมืองไถหนาน
ปี 2204 เจิ้งเหอได้นำทหาร ขึ้นเกาะไต้หวัน และได้เพิ่มพื้นที่การนาเกลือโจวจีเหว่ย อำเภอหย่งคัง เมืองไถหนานและ นาเกลือต๋าโก่วอำเภอเอี๋ยนเฉิงเมืองเกาสงขึ้น ต่อมาหลังจากที่ราชวงศ์ชิงได้เข้าปกครองไต้หวัน จึงได้ก่อตั้งนาเกลือเพิ่มขึ้นอีกหกแห่งอันได้แก่ ไล่ตง ไล่ซี โจวเป่ย โจวหนาน
แต่เนื่องจากลมพายุและคลื่นทะเลที่มีการเปลี่ยนทิศทางอยู่เสมอ จึงทำให้นาเกลือบางแห่งมีการ โยกย้าย สร้างใหม่ ซึ่งนาเกลือโจวหยางซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่ที่อำเภอหย่งคัง เมืองไถหนาน ได้ถูกย้ายไปยังอำเภอชีกู่ เมืองไถหนาน จนกระทั้งในปี 2367 ได้ย้ายมาที่ชินชั่วจี ปู้ไต้ เมืองเจียอี้จนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่ไต้หวันได้รับการคืนสิทธิ์การปกครองากญี่ปุ่น นาเกลือได้ถูกแบ่งเขตใหม่เป็น 6 แห่งได้แก่ ลู่กั่ง ปู้ไต้ เป่ยเหมิน ชีกู่ ไถหนาน เกาสง โดยที่ปู้ไต้ เมืองเจียอี้ ซึ่งรวมนาเกลือโจวหยางไว้ด้วย มีพื้นที่มากที่สุด 1,800 เฮกตาร์ ครอบคลุมพื้นที่ เขตตงสือและเขตอี้จู๋
การทำนาเกลือเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานของคน ดังนั้นตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมานาเกลือทั้ง 6 แห่ง จึงค่อยๆ ทยอยปิดตัวลง ในเดือนพฤษภาคมปี 2545 หลังจากนาเกลือชีกู่ปิดตัวลง จึงถือเป็นการปิดฉากประวัติศาสตร์ 355 ปีของนาเกลือไต้หวันอย่างเป็นทางการ นาเกลือที่ปู้ไต้ ได้ปิดตัวลงในปี 2544 และเจ็ดปีต่อมาสมาคมวัฒนธรรมปู้ไต้จุ่ย ได้ฟื้นฟูการตากเกลือของนาเกลือโจวหนาน ซึ่งถือเป็นการต่ออายุของการตากเกลือที่ปู้ไต้
เรียนรู้วัฒนธรรมในนาเกลือ
นายไช่โจ่งเฉียวเป็นคนพื้นที่ปู้ไต้ หลังจบการศึกษาจากวิทยาลัย ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เป็นเวลาสามปี และทำข่าว
ในท้องที่ชายฝั่งเจี่ยอี้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เขาเข้าใจบ้านเกิดเมืองนอนอย่างถ่องแท้ หลังจากที่ลาออกจากงานหนังสือพิมพ์์ เขาได้เข้าร่วม “หน่วยงานวัฒนธรรมปู้ไต้จุ่ย” โดยก่อนที่การทำนาเกลือจะถูกยกเลิก คนในชุมชนได้ถามเขาว่า หน่วยงานวัฒนธรรมจะทำอะไรได้บ้าง
นายไช่โจ่งเฉียวบอกว่า “ในขณะนั้นก็รู้สึกหมดหนทาง ซึ่งสิ่งที่เข้าจะสามารถทำได้มีเพียงแต่การถ่ายภาพ และเขียนบทความเท่านั้น และยังได้เคยพูดติดตลกไว้ว่า "ถ้ามีแรงกดดันน่าจะหาทางออกได้" ซึ่งในเวลานั้นก็ยังไม่สามารถหาทางออกได้จริงๆที่จริงก็ยังหาทางออกไม่ได้ หลังจากสมาคมวัฒนธรรมปู้ไต้ก่อตั้งขึ้น และได้ขอเข้าเป็นผู้ดูแลนาเกลือโจวหยาง โดยได้เขียนโครงการเสนอไปยังี่กระทรวงวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมนาเกลือ แต่เนื่องจากนาเกลือถูกทิ้งร้างมาหกปี ดินสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ การรั่วไหลของน้ำทะเล ดินเปลี่ยนสภาพ ได้เปิดเป็นศูนย์ลายเป็นดินจืด ทำให้ไม่เหมาะแก่การทำนาเกลือ ด้วยเหตุนี้ทางสมาคมฯ จึงได้ซื้อเกลือหยาบ 300 ตัน โรยกลับไปที่พื้นดิน ทำให้ดินกลับมาเค็มเช่นเดิม
ไช่ จ่ง เฉียวในที่สุดก็มีคำตอบให้กับคำถามที่ถูกถามมาเมื่อตั่งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งสมาคมแล้วคือ ฟื้นฟูนาเกลือโจวหยางให้เป็นการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิด “วัฒนธรรมเกลือ” และต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ถึงจะมีคุณค่าต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม นาเกลือโจวหยางถือว่าองค์ประกอบของการตากเกลือ
น้ำทะเล ที่ดิน ลมมรสุม แสงแดดและที่สำคัญที่สุดคือ “คน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของนาเกลือนั้นประกอบไปด้วย
เกลือนี้มีที่มาอย่างไร
ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา นาเกลือโจวหยาง ได้เปิดเป็นศูนย์การเรียนการสอนและการพักผ่อนหย่อนใจ ในปัจจุบันได้กลายหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่นิยมของปู้ไต้ ในแต่ละปีมีเด็กนักเรียนประถมเกือบ 3,000 คน มาสัมผัสการทำนาเกลือ เด็กเดินตามมัคคุเทศน์ไปยัง “บ่อระเหยใหญ่” “บ่อระเหยเล็ก” “บ่อตกผลึก” ได้เห็นกระบวนการผลิตเกลือในบ่อตกผลึก ได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเก็บเกี่ยวเกลือหยาบ เช่นคราด สุ่มไม้ไผ่ นอกจากนี้ยังได้เห็นดอกผลึกเกลือในนาเกลือ ซึ่งดูเหมือนแผ่นแก้วบางๆ เลือกหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น อมไว้ในปากของคุณ รสชาติความเค็มสดชื่นที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จะแผ่กระจายออกมา
ปัจจุบันสมาคมปู้ไต้เปลี่ยนรูปแบบมาสู่การทำธุรกิจ โดยหวังว่ารายได้ในการขายผลิตภัณฑ์ จะสามารถสนับสนุน นาเกลือให้พัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในที่สุด แบรนด์ฟงเหอลี่ถือว่าเป็นตราสินค้าที่ได้รับความนิยมมาก
และดอกเกลือในฤดูร้อน เกลือน้ำค้างแข็งในฤดูหนาว ก็ถือว่าเป็นที่สินค้าที่ขึ้นชื่อมากของนาเกลือโจวหนาน
ท่องเที่ยวบ่อปลา
นอกจากนี้นาเกลือยังร่วมมือกับเกษตรกรรายย่อยกว่าสิบราย ก่อตั้ง"ภัตตาคารอาหารปู้ไต้ตำรับดั้งเดิม้" รวมกับการพักผ่อนหย่อนใจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวขนาดเล็ก ทำให้สัมผัสถึงเสน่ห์ที่แท้จริงของปู้ไต้ โดยมองเห็นได้จริง สัมผัสได้จริง และลิ้มรสได้จริง
เมื่อเดินเข้าไปในบ่อปลาซึ่งชิวจิ้งเหยา ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขาได้ร่วมกันก่อตั้งกับน้องชาย จะรู้สึกถึงเสน่ห์พิเศษของเมืองเล็กๆชายฝั่งทะเล บ่อปลาของพี่น้องชิว อยู่ที่บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทางหนานปู้ไต้
พื้นที่ชุ่มน้ำอันกว้างใหญ่สุดสายตา ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาเป็นพื้นที่ขาวโพลนของนาเกลือ และปัจจุบันนี้ทุกฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว
จะสามารถพบเห็นากช้อนหน้าดำอพยพหนีหนาวมาที่นี่ ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก
บ่อปลามีพื้นที่ 30 เฮกตาร์ แบ่งออกเป็นสี่สิบกว่าบ่อ โดยรายล้อมไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นสูงกว่าบ่อปลา
ทำให้เห็นสัมผัสถึงความเป็น "ป่า" กับ "ธรรมชาติ"
"ปลาที่ดีที่สุดคือปลาที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ชิวจิ้งเหยาบอกเคล็ดลับในการเลี้ยงปลาของเขา ซึ่งหัวใจสำคัญคือการไม่ใส่สารเคมี (การทำเกษตรปลอดสารพิษ) และเลี้ยงปลาหลายชนิดผสมกัน (การเลี้ยงแบบระบบนิเวศ)
ปลานวลจันทร์ทะเลและกุ้งขาวเลี้ยงเพื่อขาย ส่วนปลาเฉา ปลาหัวโต ปลาตะเพียน ปลากระบอก รับหน้าที่เป็นปลาเทศบาล ทำความสะอาดบ่อปลา ชิวจิ้งเหยาบอกว่าปลาหัวโตจะกินสาหร่าย ปลากระบอกจะจัดการกับเศษอาหารที่หลงเหลือที่ก้นบ่อ ในห่วงโซ่อาหารปลาแต่ละชนิดทำหน้าที่ของตน ดังนั้นในแต่ละบ่อล้วนมีระบบนิเวศที่แแยกต่างกันออกไปเพราะไม่มีการใช้ยา ดังนั้นบ่อแต่ละบ่อจะต้องมีความหนาแน่นต่ำ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพสำหรับปลา และการเลี้ยงปลาแบบปลอดสารพิษของพวกเขา ตั่งแต่ปี 2543 เป็นต้นมาพวกเขาได้ร่วมกับสหกรณ์แม่บ้านผู้บริโภค
ในการจัดหาวัตถุดิบให้
นอกจากนี้ปู้ไต้ยังมีการท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งคือ การล่องเรือไปในทะเล เพื่อซื้อปลาที่พึ่งจับขึ้นมาโดยชาวประมงทะเล
ออกทะเลท่องเที่ยวซื้อปลา
ปู้ไต้เป็นท่าเรือประมงเก่า
ชาวประมงนอกจากทำประมงทะเลและทำฟาร์มหอยนางรมแล้ว
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มทำธุรกิจเรือท่องเที่ยวด้วย โดยนำผู้โดยสารออกทะเลชมทิวทัศน์ เที่ยวยังหัวหาดต่างๆ รวมไปถึงบริการจับปลาสดจากทะเล
กัปตันเฉิน หย่ง ชุน อายุหกสิบปี ออกเรือจากท่าเรือประมงปู้ไต้อย่างช้าๆ โดยนำ นำนักท่องเที่ยวสามสิบกว่าคนที่มาจาก ซินจู๋ ร่วมร้องคาราโอเกะ <การเดินทางมีความสุข> ซึ่งเป็นเพลงเก่าแก่และขับร้องด้วยภาษาไต้หวัน
เฉิน หย่ง ชุน เดิมที่เป็นชาวประมง ได้เลิกการทำประมงเมื่อไม่กี่ปีทีผ่านมา และปัจจุบันได้ช่วยเหลือกิจการเดินเรือท่องเที่ยวของลูกชายเฉินกว้านขุย และไปช่วยเหลือกิจการเดินเรือท่องเที่ยวของลูกชายเฉินกว้านขุย
โดยเรือแล่นจากท่าเรือหลงฟ่ง เหมี่ยวลี่ ถึงว้ายสั่นติงโจว เจียอี้ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญของโลมาขาว เฉิน หย่ง ชุน กล่าวว่าถ้าหากโชคดีเราจะเห็นปลาโลมาขาวกระโดดขึ้นมาจากทะเล
หลังจากที่ เฉิน หย่งชุน พูดจบ ก็ได้นำเรือของตนเข้าเทียบกับเรือประมงขนาดเล็กเฉิน หย่ง ชุน พูดจบ ก็นำเรือเทียบชิดเรือประมงขนาดเล็ก นักท่องเที่ยวบางคนได้เห็นการตกปลา กุ้งมังกร และปลาหมึก เป็นครั้งแรก จึงได้ให้ความสนอกสนใจกันเป็นยิ่งนัก และได้ซื้ออาหารทะเลต่อจากชาวประมง ให้พ่อครัวประจำเรือนำไปปรุงอาหาร และนำมารับประทานร่วมกัน
เฉินกว้านขุยกล่าวว่า เรือท่องเที่ยวช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อปลาที่พึ่งจับสดๆจากทะเล ซึ่งนอกจากยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้ชาวประมงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามชายฝั่งทะเล
ภาพลักษณ์เดิมของปู้ไต้คือหมู่บ้านประมง และการทำนาเกลือ แต่เมื่อความเจริญรุ่งเรืองได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว อนาคตของปู้ไต้นั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป การเดินทางท่องเที่ยวมายังปู้ไต้จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงกลิ่นอายดั้งเดิมผสมผสานกับมิติใหม่ๆกว่าที่เคยพบมา