ลีลาท่วงท่าในการตีระนาดฝรั่ง (ไซโลโฟน) และเครื่องกระทบอื่นๆ อย่างพริ้วไหว ขณะร่วมบรรเลงเพลงอยู่กลางเวทีของหนุ่มร่างท้วมอารมณ์ดีที่ชื่อ จูจงชิ่ง (朱宗慶) ผู้ก่อตั้ง “วง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป (朱宗慶打擊樂團) เป็นภาพที่คุ้นเคยกันดีในสายตาของผู้ชม
30 ปี ผ่านไป ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของจูจงชิ่งจนอาจเรียกได้ว่าเป็น “ความคลั่งไคล้” ของเขานั้น ทำให้กลุ่มคนที่หลงใหลในเสน่ห์ของเพอร์คัชชันรอบข้างเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขากับนักดนตรีมืออาชีพและมือสมัครเล่นอีก 3 คน ร่วมกันก่อตั้งวง Ju Percussion Group (朱宗慶打擊樂團 อ่านว่า จูจงชิ่งต่าจี๋เยว่ถวน) ซึ่งเป็นวงดนตรีที่บรรเลงเพลงด้วยเครื่องกระทบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องตี เครื่องเคาะ เครื่องเขย่า การแสดงโชว์อันน่าประทับใจของวง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป สะกดใจผู้ชมกว่าหลายล้านคน ใน 20 กว่าประเทศทั่วโลก ไม่น่าเชื่อว่า เสียงที่เกิดจากการตีหรือเคาะเช่นนี้ จะสามารถสร้างให้เกิด ท่วงทำนองจังหวะดนตรีที่ไพเราะทรงพลังมาจนถึงทุกวันนี้
ย้อนกลับไปในปค.ศ.1986 คำว่า “ดนตรีเพอร์
คัชชัน” คืออะไรนั้น คงมีชาวไต้หวันไม่กี่คนที่จะเข้าใจความหมาย จูจงชิ่งเป็นชาวไต้หวันคนแรกที่ได้รับประกาศนียบัตรด้านดนตรีเพอร์คัชชัน โดยหลังจบการศึกษาจากประเทศออสเตรียและเดินทางกลับไต้หวัน เขาได้ปลุกกระแสดนตรีเคาะจังหวะให้เป็นที่รู้จักในไต้หวันในปีเดียวกันนั้นเอง
ผู้หลงใหลในดนตรี
จูจงชิงหลงใหลในเสียงดนตรีมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และเพื่อที่จะทำตามความฝันในเส้นทางดนตรี ช่วงที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาถึงขั้นไปขอยืมเงินจากอาจารย์ 2,500 เหรียญไต้หวัน เพื่อนำไปซื้อแตรทรัมเป็ต (trumpet) และสามารถสอบเข้าศึกษาในวิทยาลัยศิลปะไต้หวันแห่งชาติ (國立臺灣藝術專科學校 (National Academy of Arts) หรือ 國立藝專) สาขาดนตรีศึกษา (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศิลปะไต้หวันแห่งชาติ 國立台灣藝術大學 National Taiwan University of Arts) ได้ในที่สุด
อาจารย์สื่อเหวยเลี่ยง (史惟亮) หัวหน้าสาขาดนตรีศึกษาในขณะนั้น (เทียบเท่ากับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชา) สังเกตเห็นว่าจูจงชิ่งเป็นคนที่ชอบการเล่นจังหวะตีๆ เคาะๆ จึงแนะนำให้เขาฝึกฝนพัฒนาต่อในสายเครื่องเพอร์คัชชัน ด้วยเหตุนี้ หลังจากทำงานเป็นนักดนตรีในวงซิมโฟนีออร์เคสตราของมณฑลเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อที่ เดอะ คอนเซอร์วาโทรี่ ออฟ เวียนนา (Vienna Conservatory) สถาบันการดนตรีที่มีชื่อเสียงแห่งกรุงเวียนนาในออสเตรีย ด้วย “อายุที่ค่อนข้างมาก” ในวัย 25 ปี ซึ่งเขาสามารถจบการศึกษาหลักสูตรสี่ปีได้โดยใช้ระยะเวลาแค่เพียงสองปีครึ่งเท่านั้น และยังเป็นผู้ทำสถิติใช้เวลาในการเรียนที่น้อยที่สุดที่เคยมีคนทำได้ในสาขาเพอร์คัชชันด้วย
เพราะความคลั่งไคล้ในเพอร์คัชชัน หลังจบการศึกษาและเดินทางกลับถึงไต้หวัน จูจงชิ่งตอบรับคำเชิญจากศาสตราจารย์หม่าสุ่ยหลง (馬水龍) อาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไทเป (台北藝術大學 Taipei National University of the Arts) เพื่อช่วยทำงานเผยแพร่เกี่ยวกับดนตรีเพอร์คัชชัน เขาจัดทำร่าง “โครงการดำเนินงานระยะเวลา 15 ปี” ด้วยตัวเอง เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ผู้คนส่วนใหญ่หาว่าเขาบ้าไปแล้ว “ตอนนั้นผมรู้สึกว่า 15 ปี เป็นเวลาที่ยาวนานมาก แต่สุดท้ายแค่พริบตาเดียวก็ผ่าน 15 ปี มา 2 รอบแล้ว” จูจงชิ่งกล่าว
หลังจากจูจงชิ่งกลับมาไต้หวันไม่นานนัก เขาก็ประกาศก่อตั้ง “วง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป” ขึ้น ในช่วงเวลาที่การพัฒนาดนตรี
เพอร์คัชชันยังเปรียบเสมือนเป็นดินแดนทะเลทรายที่ไม่มีใครรู้จักในไต้หวัน หลังประกาศฟอร์มวง บรรดาสมาชิกในวงพากันไปฉลองที่ร้านสุกี้ที่โรงแรมยูไนเต็ดโฮเทล (United Hotel) หรือ 國聯飯店 (อ่านว่า กั๋วเหลียนฟั่นเตี้ยน) แม้เขาจะจดจำชื่อร้านไม่ได้ แต่ภาพแห่งความสุขที่ทุกคนมีร่วมกันในครั้งนั้น ยังอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ
สมาชิกในวงที่เป็นวัยรุ่นซึ่งอยู่ในร้านด้วยกันขณะนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมา ทยอยออกไปข้างนอกทีละคน แล้วโทรศัพท์เข้ามาที่ร้านอาหาร จนได้ยินเสียงประกาศของทางร้าน ดังว่า “คุณจูจงชิ่ง แห่งวง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป กรุณามารับโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ด้วยค่ะ” อยู่ตลอดเวลา เท่ากับเป็นการโฆษณาให้กับวงดนตรีที่เพิ่งฟอร์มวงขึ้นใหม่แบบฟรีๆ นั่นเอง
การกินสุกี้จึงกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของวงไปโดยปริยาย จูจงชิ่งเลือกที่จะไปฉลองครบรอบการก่อตั้งวงที่ร้านสุกี้ร่วมกับบรรดาสมาชิกในวงเป็นประจำทุกปี แม้ว่าจะงานยุ่งจนปลีกตัวไปไม่ได้ ก็จะต้องเตรียมสุกี้ไว้รับประทานร่วมกันหม้อหนึ่ง ก่อนหน้านี้เพื่อนฝูงในวงการดนตรีที่อยู่ต่างประเทศมาเยี่ยมเยืยน ก็เจาะจงว่าจะต้องไปสังสรรค์ที่ร้านสุกี้ด้วยเช่นกัน “การได้กินสุกี้ ทำให้นึกถึงความรู้สึกดีๆ ที่เราอยากจะแบ่งปันกับเพื่อนครับ” จูจงชิ่งกล่าวอย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นวงหรือตัวจูจงชิ่งเอง มักจะแผ่พลังที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง หลังจากก่อตั้งวงไม่นานนัก หลินไฮว๋หมิน (林懷民) แดนเซอร์และนักออกแบบท่าเต้นชื่อดังของไต้หวัน ได้บรรยายคุณลักษณะของจูจงชิ่งว่า “ถ้าหากว่าพวกศิลปินจะต้องดูเซอร์ๆ แล้วล่ะก็ จูจงชิ่งดูไม่เหมือนคนเป็นศิลปินเลยสักนิด แต่เขาจะดูเหมือนพวกข้าราชการที่นั่งทำงานในสำนักงานมากกว่า หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนชุดที่สวมใส่ เขาก็จะดูเหมือนเถ้าแก่ร้านขายของชำในซอย ดูใจดีกับเด็กและคนแก่อะไรประมาณนั้น”
จูจงชิ่งผู้ที่มีรอยยิ้มตลอดเวลาคนนี้กล่าวว่า ที่เขาดูเป็นเช่นนั้นคงมาจากการที่เขาเติบโตมากับชนบท ที่เขาให้ความเป็นมิตรกับผู้คนนั้น มาจากคำสั่งสอนของแม่ที่คอยย้ำเตือนเขาอยู่เสมอว่า ให้รู้จักเมตตาผู้อื่น
และด้วยเหตุนี้ ทำให้จูจงชิ่งเต็มใจที่จะแสดงในทุกสถานที่ ตั้งแต่ศาลเจ้าหน้าปากซอยไปจนถึงในโรงดนตรีขนาดใหญ่ที่เป็นทางการ หรือแม้กระทั่งรายการโทรทัศน์ POWER SUNDAY (綜藝百分百 อ่านว่า จ้งอี้ไป่เฟินไป่) วาไรตี้โชว์อันโด่งดังที่มีจางเสี่ยวเยี่ยน (張小燕) เป็นพิธีกรดำเนินรายการในทศวรรษ 1990 เขาก็เคยนำวงไปแสดงมาแล้ว “ไม่ใช่แค่รายการของจางเสี่ยวเยี่ยน ยังมีรายการของพิธีกรชื่อดังอีกหลายท่าน เช่น หูกวา (胡瓜) และจางเฟย (張菲) ผมก็เคยไปออกรายการมาแล้วครับ” จูจงชิ่งเล่า การปรากฏตัวของวง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป ในรายการโทรทัศน์ต่างๆ เป็นการนำเสนอผ่านรายการโทรทัศน์ของคณะศิลปินในไต้หวันเป็นครั้งแรก ทำให้ผู้ชมเห็นแล้วให้ความสนใจ อยากจะตามไปดูการแสดงสดของพวกเขาที่โรงละคร เป็นวิธีที่ได้ผลดีจนทำให้วงดนตรีอื่นๆ เอาอย่างพวกเขาบ้าง
“เป็นเพราะพวกเราเล่นแบบเอาจริง เลยไม่ยึดติดว่าจะต้อง
เล่นที่ไหนและไม่ได้มองผลประโยชน์แค่ในระยะสั้น” คำว่า “เล่นแบบเอาจริง” ออกมาจากปากของจูจงชิ่งอยู่เรื่อยๆ นี่เป็นแนวความคิดที่ทำให้เขาสามารถผ่านอุปสรรคน้อยใหญ่มาได้ นับตั้งแต่ก่อตั้งวงขึ้นมา เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการโปรโมทวงเพอร์คัชชันในยุคแรกๆ ที่มวลชนไม่รู้จักดนตรีเพอร์คัชชัน ทำให้โรงละครส่วนใหญ่กังวลว่า การแสดงเครื่องตีกระทบจังหวะของจูจงชิ่งจะทำให้สถานที่เสียหาย จึงปฏิเสธไม่ยอมให้เช่าสถานที่ เมื่อเขาต้องเจอกับปัญหานี้อยู่บ่อยครั้ง
จึงสัญญากับอีกฝ่ายว่าถ้าหากทำให้สถานที่ได้รับความเสียหาย เขาจะยอมชดใช้ค่าเสียหายเอง เขาจึงได้รับอนุญาตให้แสดงได้
ในปี 1993 จูจงชิ่งต้องการจัดเทศกาลดนตรีเพอร์คัชชันนานาชาติครั้งที่ 1 ขึ้น แต่ไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียว เขาจึงกัดฟันทนเดินทางลงไปภาคใต้ไปหาเพื่อนที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในวันขึ้นปีใหม่ตรุษจีน ขอให้เพื่อนช่วยเป็นสปอนเซอร์ 1 ล้านเหรียญไต้หวันในการจัดงาน แล้วขอกู้ยืมเพื่อนอีก 2 ล้านเหรียญไต้หวัน ท้ายที่สุดเขาสามารถรวบรวมเงินจากทั่วสารทิศมาเป็นกองทุนในการจัดงานดังกล่าว เรื่องนี้ทำให้สื่อมวลชนถึงขนาดเรียกชื่องานนี้แบบเสียดสีว่า “เทศกาลดนตรีเพอร์คัชชันนานาชาติเรี่ยไรบุญของจูจงชิ่ง”
มาจนถึงปัจจุบันนี้ “เทศกาลดนตรีเพอร์คัชชันนานาชาติไต้หวัน” ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี จัดมา 8 ครั้งแล้ว ในช่วง 20 กว่าปีมานี้ นักดนตรีเพอร์คัชชันชื่อดังจากทั่วโลกเกือบทั้งหมด ล้วนเคยมาแสดงที่ไต้หวันแล้วทั้งสิ้น จูจงชิ่งกล่าวอย่างติดตลกว่า “นักดนตรีเพอร์คัชชันชื่อดังระดับโลกที่ไม่เคยมาไต้หวัน ถือว่าไม่ใช่นักเพอร์คัชชันที่ดี”
หน้าที่ความรับผิดชอบหลังวงครบรอบ 30 ปี
ปกติจูจงชิ่งเป็นคนที่ชอบฉลองวันเกิดของตัวเองและชอบจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้เพื่อนด้วย ขณะตัดเค้กฉลองครบรอบ 30 ปี การก่อตั้งวงดนตรีของเขา ในใจเขานั้นเปี่ยมไปด้วยความหวังและความรับผิดชอบในหน้าที่
เขาระลึกถึงบุญคุณที่อาจารย์หม่าสุ่ยหลง หลินไฮว๋หมิน และศิลปินรุ่นก่อนๆ ช่วยปูทางให้สมัยที่เป็นวัยรุ่น จนถึงวันนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าของคณะดนตรี เขาจึงรู้สึกว่าถึงเวลาที่ควรมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ชนรุ่นหลังเช่นกัน
จูจงชิ่งกล่าวว่า ตอนยังวัยรุ่นก่อนที่จะจะไปต่างประเทศนั้น เพื่อนตั้งฉายาให้ว่า “น้องเล็ก” ซึ่งรอบตัวมีแต่รุ่นพี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะมีรุ่นพี่คอยช่วยดูแล สามารถพึ่งพารุ่นพี่ได้ แต่พอไปต่างประเทศแล้ว จะต้องพึ่งพาตัวเองทุกอย่าง ต้องมีความรับผิดชอบสูง สถานภาพก็เปลี่ยนไป “หลังจากกลับประเทศ ผมก็กลายเป็นผู้อาวุโสในวง เป็นทั้งครู เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งเจ้านาย”
มีคณะศิลปินในไต้หวันจำนวนมากที่ใช้วิธีตั้งวงดนตรีวงที่สอง เพื่อบ่มเพาะทรัพยากรคนรุ่นใหม่ขึ้นมา แต่วง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป ไม่ได้มีเพียงวงดนตรีวงที่หนึ่งและวงที่สอง แต่ยังมี “วงเพอร์คัชชันก้าวกระโดด” ซึ่งเป็นวงดนตรีสำหรับสร้างสรรค์การแสดงโชว์ใหม่ๆ โดยเฉพาะ และวงเพอร์คัชชันเยาวชนสำหรับเยาวชนที่มีพรสวรรค์ด้วย วงที่หนึ่งมีอู๋ซือซัน (吳思珊) เป็นหัวหน้าวง เหอหงฉี (何鴻棋) เป็นรองหัวหน้าวง อู๋เพ่ยชิง (吳珮菁) เป็นผู้ควบคุมวง และหวงคุนเหยียน (黃堃嚴) เป็นสมาชิกผู้มีประสบการณ์สูง ทั้งสี่คนได้รับการขนานนามว่า “สี่จตุรเทพ” ประจำวง แต่ละคนมีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมากกว่า 20-30 ปี และแม้แต่สมาชิกในวงเพอร์คัชชันก้าวกระโดดที่อายุยังน้อยก็มีประสบการณ์และเข้าร่วมเล่นกับวงไม่น้อยกว่า 8-9 ปี
ภายหลังก่อตั้งวงดนตรีเป็นปีที่ 11 จูจงชิ่งได้ย้ายตำแหน่งตัวเองจากที่เคยอยู่เป็นจุดศูนย์กลางของเวทีมาอยู่เบื้องหลังแทน เพื่อให้สมาชิกรุ่นใหม่ในวงได้มีโอกาสเจิดจรัสบนเวทีบ้าง โดยตัวเขาได้ใช้แรงกายแรงใจเกือบทั้งหมดในการบริหารจัดการและชี้แนะควบคุมเรื่องดนตรี “ผมหวังว่าวันหนึ่งวงดนตรีของผมจะสามารถท่องโลกเองได้โดยไม่มีผม โดยนำการแสดงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของวงไปแสดงเฉิดฉายทั่วโลก”
ครูที่เข้มงวดในวงการดนตรีเพอร์คัชชัน
จูงจงชิ่งเป็นคนที่มีความเป็นกันเอง บ่อยครั้งในบทความที่เขาเขียนมักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวงการศิลปะของไต้หวันด้วยถ้อยคำที่ไม่กระทบต่อผู้อื่น แต่ในอีกภาคหนึ่งซึ่งเป็นงานทางด้านดนตรีที่เขาถนัด ยามที่เขาเข้มงวดขึ้นมา ไม่จำเป็นต้องให้ใครเอ่ยปาก เพราะเขาจะใช้คำวิจารณ์ที่ “ดุดัน” ขึ้นเองก่อน แต่อาจจะเข้มงวดอย่างนั้นแต่เฉพาะเวลาทำงาน “เวลาใช้ชีวิตปกติที่จริงก็ไม่ใช่คนแข็งกระด้างขนาดนั้น” จูจงชิ่งกล่าว เวลาว่างเว้นจากการทำงาน เรื่องอื่นๆ ในชีวิตก็ต้องอาศัยคนในครอบครัวหรือผู้ช่วยส่วนตัวคอยช่วยเหลือ คนส่วนใหญ่มักจะคุ้นกับการที่เขามีความกระตือรือร้นและพูดคุยเป็นกันเองกับคนอื่น แต่ก็เพื่อให้งานสำเร็จ ถ้าเสร็จจากเรื่องงานแล้ว เขาจะเป็นคนที่มีนิสัยขี้อาย “ถ้าหากว่าไม่พูดได้ ผมก็จะไม่พูด”
จูจงชิ่งกำลังจะมีอายุย่างเข้าสู่วัย 62 ปีในปลายปีนี้ เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นกว่าสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม ตั้งแต่ลูกสาวเกิด มีบางครั้งที่อารมณ์ของเขากำลังจะระเบิดออกมา แต่พอมานึกดู คนที่อยู่เบื้องหน้าก็เหมือนตัวเขาเอง และก็เหมือนเป็นพ่อของคนอื่นด้วย อารมณ์โกรธก็หดหายไปกว่าครึ่ง แต่อีกสาเหตุหนึ่งอาจจะฟังดูง่ายมาก “นั่นเป็นเพราะผมอายุมากขึ้น เริ่มแก่แล้ว” จูจงชิ่งกล่าวพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
ในช่วง 30 ปีมานี้ วงของเขาได้ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน แต่จูจงชิ่งไม่เคยแสดงความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวว่า ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเข้มแข็งเป็นพิเศษ เขาแค่ไม่ใช่คนปริปากบ่นในยามท้อแท้ ไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากเพียงใด เขาก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ “การเลือกที่จะยอมแพ้นั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด” ตั้งแต่เป็นผู้ก่อตั้งวงดนตรี ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารโรงละครแห่งชาติและโรงดนตรีแห่งชาติ หรือกระทั่งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไทเป เขายึดหลัก “ขอบคุณต่อทุกๆ สิ่ง” เป็นหลักธรรมประจำใจ “ไม่มีเรื่องใดที่สมควรจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เมื่อเราทราบถึงแก่นแท้ข้อนี้แล้ว ก็จะทำให้เราสามารถรับมือกับอุปสรรคน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ” จูจงชิ่งกล่าว
ความพยายามของวง จู เพอร์คัชชัน กรุ๊ป ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้บทบาทของเครื่องดนตรีเพอร์คัชชันที่แต่เดิมเป็นเพียงตัวประกอบหรือเครื่องกำกับจังหวะให้กับวงดนตรีต่างๆ และมักจะแทรกหลบอยู่ตามมุมของวง ก้าวผงาดขึ้นมาอยู่กลางเวที จูจงชิ่งไม่ลืมเจตนารมณ์เดิมที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ดนตรีเพอร์คัชชันได้เฉิดฉายเจิดจรัสอยู่ท่ามกลางแสงไฟบนเวที ด้วยการทำให้ทุกคนประทับใจไปกับความไพเราะของบทเพลงเพอร์คัชชัน