คณุ เคยสงั เกตเหน็ ผคู้ นรปู รา่ งหนา้ ตาแบบชาวเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ตามท้องถนนที่คุณเดินผ่านอย่าง แน่นอน พวกเขามาทำงานในไต้หวัน ก็เพื่อความหวังใน ชีวิต ต้องจากบ้านเกิดและทนกับความทุกข์ยาก ก็เพื่อ ความหวังและชีวิตที่ดีกว่านั่นเอง
เพื่อสร้างความหวังของพวกเขาให้เป็นจริง คุณเฉิน ไข่เสียง (陳凱翔) และคุณอู๋จื้อหนิง (吳致寧) สอง วัยรุ่นไฟแรงไต้หวัน จับมือก่อตั้งองค์กร NGO ที่มีชื่อว่า "One-Forty" บุกเบิกแผนการให้การศึกษาแก่แรงงาน ข้ามชาติเหล่านี้ ภายใต้หลักสูตร "สถาบันบริหารธุรกิจ แรงงานข้ามชาติ" และ "วันอาทิตย์เอเชียตะวันออก เฉียงใต้" เพื่อช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติที่ต้องจากบ้าน เกิดมิให้มีความรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในต่างแดน สร้าง โอกาสความหวังของพวกเขาให้เป็นจริง
คุณ ViVi สาวอินโดนีเซีวัย 30 เศษๆ ปรากฏโฉมใน ภาพยนตร์สารคดีที่ One-Forty ถ่ายทำเพื่อนักเรียน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และชี้ไปที่ภาพวาดร้านขาย ของ เปล่งเสียงดังกังวานว่า "ฉันจะเปิดร้านขายเสื้อผ้า" ส่วน Supianto สาวอินโดนีเซียบอกว่า ความฝันของ ฉันคือ จะเปิดร้านขายน้ำผลไม้ สำหรับหนุ่มไทยที่ใช้ นามแฝงอย่าง อาตัง (Ahtang) จากเมืองไทยบอกว่า จะกลับไปซื้อที่และสร้างบ้านที่บ้านเกิดของตน......ใน ไต้หวันมีแรงงานจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบบนี้อีกจำนวนไม่น้อย ตั้งความหวังเก็บเงินเก็บทอง สักก้อนแล้วกลับไปตั้งตัวเป็นเถ้าแก่หรือเปิดร้านขาย ของที่บ้านเกิดของตน
ความฝันของพวกเขาเหล่านี้ คุณเฉินและคุณอู๋ สองสามี- ภรรยา วัย 20 ต้นๆ ได้ยินและเข้าใจดี เมื่อคุณเฉินจบการศึกษา จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิ้งจื้อ (國立政治大學) ปลายปี 2557 จึงได้จัดตั้ง One-Forty ในฐานะ องค์กร NGO ขึ้นและก่อตั้งสถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้าม ชาติ โดยจับมือกับคุณอู๋ ซึ่งจบการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติสานฝัน ให้เป็นจริง
รู้จักสังคมนานาชาติ เริ่มต้นจากเพื่อนแรงงานข้าม
ชาติที่อยู่ใกล้ตัว
ก่อนเริ่มโครงการ ทั้งสองมีประสบการณ์เกี่ยวกับเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ไม่มากนัก คุณอู๋มีโอกาสสัมผัสกับวัฒนธรรมเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ One-Forty ส่วน คุณเฉินเคยไปท่องเที่ยวที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับคุณพ่อ คุณ แม่ ตอนเด็กๆ และเคยไปเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ที่ฟิลิปปินส์ ตอนจบการศึกษาใหม่ๆ เท่านั้น
การไปท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ในคราวนั้น ทำให้คุณเฉินได้ซึมซับ ความอบอุ่นในต่างแดน นำความประทับใจเต็มเปี่ยมกลับไต้หวัน บางช่วงยังใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อกับเพื่อนฝูงที่นั่นด้วย แต่ต่อมา เป็นเพราะต้องมัววุ่นกับภารกิจการงานมากขึ้น จึงขาดการ ติดต่อไป เมื่อคุณเฉินซึ่งรักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ คิดว่าใน เมื่อไม่มีโอกาสที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบเหมือน สมัยเป็นนักศึกษา และไม่มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศได้ การ ทำความเข้าใจกับโลกนานาชาติ และเชื่อมประสานกับโลกแห่ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำไมเราไม่เริ่มต้นกันที่เพื่อนๆ ที่เป็น แรงงานข้ามชาติรอบๆ ตัวเราเล่า
ฤดูร้อนปี 2557 คุณเฉินได้ติดต่อไปยังคุณจางเจิ้ง ผู้ก่อตั้ง “ฉ่านล่านสือกวง” หรือห้วงเวลาแห่งความโชติช่วงชัชวาลย์ และสมาคมแรงงานนานาชาติไต้หวัน (TIWA) ซึ่งเป็นองค์กร เอน็ จโี อทบี่ กุ เบกิ งานเกยี่ วกบั เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตม้ าคอ่ นขา้ ง ยาวนาน และเป็นจิตอาสาสมัครรางวัลวรรณกรรมแรงงานข้าม ชาติรุ่นแรกด้วย รวมทั้งช่วยเหลือรายการ “ร้องสี่ฝั่ง” ของสถานี โทรทัศน์เพื่อสาธารณะ และจัดตั้งร้านหนังสืออิสระ “ฉ่านล่าน สือกวง” ขึ้น
ในตอนเริ่มแรก คุณเฉินเพียงแต่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ข้างๆ เท่านั้น จนรับหน้าที่ครูสอนภาษาจีนให้แก่ TIWA ซึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสัมผัสกับแรงงานข้ามชาติ โดยตรงเป็นครั้งแรก และเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ มีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น คุณเฉินจึงขอให้ทุกคนเล่าถึง ความฝันของตัวเอง ซึ่งก็พบว่า หลายคนตั้งความหวังไว้ที่การ กลับไปเปิดร้านที่บ้านเกิด นอกจากจะรู้สึกตะลึงแล้ว คุณเฉินยัง วิตกว่า หากไร้ประสบการณ์แล้ว มุทะลุเปิดกิจการเป็นของตัว เอง จนเพลี่ยงพล้ำประสบกับการขาดทุนถึงกับต้องปิดกิจการไป เงนิ เกบ็ กวา่ ครงึ่ กอ็ าจสญู สลายไปเสมอื นลอ่ งลอยไปตามกระแส น้ำ ไม่หวนกลับคืนมาอีก
เมื่อเปรียบเทียบกับการสอนภาษาจีนแล้ว คุณเฉินคิดว่า ความ รู้ด้านการทำมาค้าขายของตน น่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่า จึง เริ่มมีความคิดที่จะจัดตั้งสถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติขึ้น
ในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณเฉินจะไปปรากฏตัวที่สถานีรถไฟ ไทเป แหล่งชุมนุมของบรรดาแรงงานข้ามชาติ พูดคุยกับพวก เขา ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องหน้าแตกออก มา เพราะในยามปกติพวกเขาต้องทำงาน นอกจากจะได้พูดคุย กับนายจ้างและเพื่อนสนิทแล้ว จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับชาว ไต้หวันสักเท่าไรนัก เมื่อมาเจอกับคุณเฉินที่ไฟแรงเช่นนี้ พวกเขา ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า น่าจะเป็นพวกแก๊งมิจฉาชีพที่หลอกลวง ต้มตุ๋นแน่ๆ
เมื่อหานักเรียนไม่ได้ คุณเฉินก็หันกลับไปรับสมัครนักเรียน เรียนภาษาจีนแทน และบอกข่าวนี้ผ่านเพื่อนฝูงไปยังครอบครัว ที่ว่าจ้างแรงงานข้ามชาติ ในขณะที่มี TIWA และ “ฉ่านล่าน สือกวง” เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ของตนด้วย ข่าวคราวเกี่ยวกับ การสอนภาษาจีนฟรีให้แก่แรงงานข้ามชาติ ก็กระจายไปอย่าง รวดเร็วในหมู่คนงานข้ามชาติ จนเป็นที่สนใจสอบถามกันไปทั่ว
อย่างไรก็ดี สถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติ ใช่ว่าจะ รับสมัครแรงงานข้ามชาติทุกคนที่เข้ามาสมัครโดยไม่มีการคัด เลือก เพื่อใช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ คุณเฉินจึงได้ตั้งมาตรฐานในการรับสมัคร เช่น ต้องพูดภาษา จีนได้บ้าง กำลังเตรียมตัวกลับบ้านเกิดภายใน 1 ปี และต้องมี แผนการที่จะเปิดกิจการเป็นของตนเองด้วย จึงจะรับเข้าเป็น นักเรียน หลักสูตรคอร์สแรกประมาณ 2 เดือนเศษ 8-10 คาบ รับนักเรียนจากไทย และอินโดนีเซียจำนวน 15 คน ซึ่งมีอาสา สมัครผ้เู ช่ยี วชาญด้านการเงินและวงการศิลปะสนใจมาขอเข้า ร่วมด้วย
หลักสูตรแรก ศึกษาการเป็น "เถ้าแก่" จากเกมส์
หลักสูตรการเปิดกิจการเป็นของตนเอง โดย One-Forty ไม่ ได้เริ่มต้นด้วยประเด็นที่ยากนัก หรือความรู้ทางทฤษฏีที่น่าเบื่อ แต่เป็นหลักสูตรที่เรียกว่า “แผนที่แห่งชีวิต” ที่ออกแบบโดยคุณ อู๋จื้อหนิง (吳致寧) ผู้คร่ำหวอดในการวางหลักสูตรกิจกรรม ต่างๆ และเคยทำงานที่เว็บไซต์สตรีที่มีชื่อว่า “เสน่ห์สตรี” อาศัย การเล่นเกมส์วาดแผนที่ที่น่าสนุกตื่นเต้น ให้นักเรียนแต่ละคน วาดภาพช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ในชีวิตของตน
“พระเอก” ของสถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติก็คือ หลักสูตรบริหารกิจการ คุณเฉิน คุณอู๋และบรรดาจิตอาสาที่มา จากสถาบันการเงินในไต้หวัน จะเป็นผู้ริเริ่มทำเป็นตัวอย่างก่อน แม้แต่เพื่อนฝูงและรุ่นน้องของตัวเอง ก็ถูกเกณฑ์ให้มาช่วยเป็น ครูสอนด้วย
เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจเทคนิคการบริหารด้านการเงิน และต้นทุนกิจการที่ตนก่อตั้งขึ้น หลักสูตรหนึ่งของสถาบัน บริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติก็คือ การเล่นเกมส์“ซองจดหมาย 5 ฉบับ” โดยให้นักเรียนแต่ละคนจะต้องนำรายได้ที่ได้ในแต่ละ
เดือน ใส่เข้าไปในซองที่มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เพื่อ เป็นการฝึกการจัดสรรทรัพย์สินของตน และเพื่อให้นักเรียนที่มี
ความจำกัดทางด้านภาษาเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น คุณเฉินและคุณอู๋จึง ต้องอุตสาห์ถ่อสังขารไปถึงเมืองจีหลง เพื่อขอให้ร้านจำหน่าย อุปกรณ์การเล่นเกมส์ “อาผู่วา” (Wa’s UP Studio) ซึ่งห่วงใย และเอื้ออาทรต่อสังคมเช่นเดียวกัน ออกแบบวิธีการซื้อ-ขาย การหาสถานที่เปิดร้าน ให้เป็นเกมส์เล่นในรูปแบบของเกมส์ เศรษฐี และออกแบบในสถานการณ์ต่างๆ ด้วย
นักเรียนรุ่นแรกของสถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติ จบหลักสูตรไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2557 บางส่วนคาดว่า ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แต่บางส่วนยังไม่ได้ดำเนิน การตามแผนการที่วางไว้ คุณเฉินจะเชิญเจ้าของร้านค้าย่อย เปิดหลักสูตรการสอนเคล็ดลับแห่งความสำเร็จในการประกอบ ธุรกิจหรือไม่ก็นำนักเรียนตระเวนภาคสนาม แต่เนื่องจากปัญหา กำลังคน และเวลา จึงยังไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้ การให้ความ รู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจแก่แรงงานข้ามชาติ ก็ถูกจำกัดจาก เรื่องภาษาด้วย ประกอบกับยังไม่ได้กลับไปประกอบธุรกิจของ
ตัวเอง จึงยังไม่มีประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม
บางครั้งการสอนก็เจอปัญหาหนักอกเหมือนกัน คือคนสอน ไม่รู้สภาพความเป็นจริงของท้องถิ่นนั้นๆ ViVi จากอินโดนีเซีย ซึ่งมีอายุค่อนข้างมากกว่าคนอื่นๆ และมีประสบการณ์ประกอบ ธุรกิจเป็นของตนเองมาบ้างแล้ว เพราะเธอเคยเปิดร้านขาย ของทางอินเตอร์เน็ตที่อินโดนีเซีย แต่เพื่อหาเงินทุนสำหรับการ ศึกษาของลูกๆ เธอจึงต้องกลับมาทำงานที่ไต้หวันอีกครั้ง และ จากการถ่ายทอดประสบการณ์ของ ViVi นี่เอง ที่ทำให้คุณ เฉินฯ ได้รับรู้เรื่องราวประสบการณ์ที่น่าสนใจมากมาย
คุณเฉินเล่าให้ฟังว่า สังคมไต้หวันค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จึง ไม่ค่อยมีสภาพซื้อก่อนผ่อนทีหลัง แต่แรงงานข้ามชาติมาจาก ชนบท จึงมักจะเจอปัญหาลูกค้าเซ็นก่อนจ่ายทีหลัง ไม่รู้ว่าจะแก้ ปัญหาอย่างไรดี และเนื่องจากคนส่วนใหญ่จะรู้จักกันเป็นอย่าง ดี มีความใกล้ชิดกัน หากกิจการค้าขายคึกคัก ก็มักมีเสียงนินทา ลับหลังเหมือนกัน.......สภาพการณ์แบบนี้ คุณเฉินยอมรับว่า ยัง ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผล
หลักสูตรธุรกิจจากประสบการณ์ ยังต้องอาศัยเวลาเป็น เครื่องพิสูจน์ การสอนในลักษณะของการจุดประกายความ คิดให้แก่นักเรียน ได้ทำให้ภาวะจิตใจของนักเรียนเกิดการ เปลี่ยนแปลง คุณอู๋บอกว่า ชีวิตประจำวันของแรงงานข้ามชาติ จะมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก และเวลาส่วนใหญ่จะอยู่กับเพื่อนๆ ลักษณะร่วมกันของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ก็คือ ขี้อาย และ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
หลังจบหลักสูตรแล้ว สถาบันบริหารธุรกิจแรงงาน ข้ามชาติได้จัดนิทรรศการแสดงผลงานของนักเรียน ซึ่งก็จะ พบกับความร่าเริงท่หี าพบยากในยามปกติของนักเรียนเหล่านี้ อย่างเช่น Yuuny ที่เพื่อนๆ บรรยายไว้ว่า เป็นคนฉลาดมีไหว พริบและดวงตาสดใสแพรวพราว จะเก็บตัวเงียบในชั้นเรียน และไม่ค่อยเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ผู้อื่นฟังมากนัก
ในวันงาน เธอในฐานะตัวแทนนักเรียน ได้ปลดเปลื้องความ ในใจของตัวเอง เล่าเรื่องราวที่เธอต้องจากบ้านเกิดมาทำงาน ในไต้หวันตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 20 ปี ในอดีต Yunny เกรงกลัว สายตาของผู้คน จึงไม่อยากเล่าให้ใครฟังว่า เธอเคยเปลี่ยน นายจ้างมาแล้ว 4-5 ราย แต่ในงานแสดงผลงานการเรียนครั้ง นี้ เธอได้เล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือก
คุณอู๋เล่าให้ฟังว่า แม้จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างครูกับ นักเรียนก็ตาม แต่นักเรียนในชั้นเรียนทั้ง 15 คน มาจาก อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม ต่างก็เปรียบเสมือนเป็นครูให้แก่ กันและกัน ตอนที่เข้ามาร่วมงานที่นี่ คุณอู๋เพิ่งลาออกจากงาน มาสดๆ ร้อนๆ และยังไม่รู้ว่าจะวางอนาคตของตัวเองอย่างไร รามทั้งยังอยู่ในภาวะท้อแท้ แต่ชีวิตของเธอกลับมามีกำลังใจ อีกครั้ง จากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตของบรรดาเพื่อน นักเรียนที่เข้าเรียนในคอร์สของ "สถาบันบริหารธุรกิจแรงงาน ข้ามชาติ" แห่งนี้
บางคนต้องประสบกับชะตากรรมเลี้ยวลดคดเคี้ยวมาตั้งแต่ เด็ก บางคนเจอการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวตอนเข้าสู่วัยรุ่น บางคนพบว่า คุณพ่อที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยมาอย่างยาวนาน ไม่ใช่ พ่อแท้ๆ ตอนโตแล้ว แต่เรื่องราวละครแห่งชีวิตก็ไม่เคยทำให้พวก เขาต้องยอมแพ้หรือล้มลงเลย
เรื่องราวที่เล่าออกมาจากปากของพวกเขา เต็มไปด้วยสาระ แห่งชีวิต และเป็นกำลังใจอย่างดีให้แก่คุณอู๋ชุบชีวิตวัยเรียนของ เธอให้กลับคืนมาอีกครั้ง เป็นผู้ให้กำลังใจและปลุกขวัญให้พวก เขากล้าที่จะเล่าความทรงจำอนาคตของตนเองออกมา สิ่งที่ เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าเปลี่ยน พระเอกมาเป็นแรงงานข้ามชาติเท่านั้น “ความฝันไม่มีการแบ่ง ชั้นวรรณะ ทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหาชีวิตที่สวยสดงดงามได้” คุณอู๋กล่าวอย่างแน่วแน่
สถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติกำหนดบทบาทของตน อย่างชัดเจน ทั้งสองต้องแบกรับความรับผิดชอบไว้บนบ่าไม่น้อย ทีเดียว คุณเฉินบอกว่า หลักสูตรที่สอนเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต เมื่อนักเรียนเดินทางกลับบ้านเกิดแล้ว หากให้คำแนะนำแบบ ง่ายๆ โดยไร้ความรับผิดชอบแล้ว ก็อาจทำให้ความขยันหมั่น เพียรเป็นแรมปีของพวกเขาต้องมลายหายสิ้นไปในพริบตา
ด้วยเหตุนี้ สถาบันบริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติ จึงได้ อาศัยประสบการณ์การให้ความช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ ของประเทศต่างๆ เช่น องค์การแรงงานสากล หรือ ILO ซึ่ง เป็นองค์กรที่มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็ง และบริหารงานอย่างมี ประสิทธิภาพ สันทัดในการนำเอาความคิดสร้างสรรค์ ประสม ประสานกับการเปลี่ยนแปลงการออกแบบเพื่อสาธารณะ ประโยชน์และสังคมเป็นต้น อย่างไรก็ตาม คุณเฉินก็ยอมรับว่า เพื่อจัดหลักสูตรเรียนฟรี เขาทั้งสองต้องควักกระเป๋าเอง ทำให้ ถูกจำกัดทั้งกำลังคน และกำลังทรัพย์ ส่งผลให้หลักสูตรและสาระ การเรียนการสอนของตน ยังคงอยู่ในสภาพทำไปเรียนรู้ไป
ทำความรู้จักกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มต้นที่ แรงงานข้ามชาติ
เมื่อหลักสูตรและกิจกรรมของปีที่แล้ว (2558) ตลอดทั้งปีได้ เริ่มต้นขึ้น แผนการในปีนี้ของ One-Forty ก็พร้อมที่จะก้าวต่อ ไป นอกจากจะยังคงมีหลักสูตรของสถาบันบริหารธุรกิจแรงงาน ข้ามชาติแล้ว ยังได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใช้ระบบการสอนแบบ ออนไลน์เพื่อให้สอดคล้อง กับวันหยุดที่ไม่ประจำ ของแรงงานข้ามชาติด้วย นอกจากนี้ One-Forty ยัง ได้เตรียมหลักสูตรท้าทาย ความคิดสร้างสรรค์ของ ผู้เรียนด้วย โดยตั้งชื่อว่า “Migrant for Migrant”
หลักสูตรนี้จะขอให้ แรงงานข้ามชาติที่เข้า ร่วมอบรม หาเรื่องใหญ่ น้อยที่เป็นปัญหาหนักอก ในชีวิตประจำวันของพวกเขา ซึ่งรวมถึงปัญหาความสัมพันธ์กับ นายจ้าง หรือปัญหาอ่านเครื่องหมายจราจรไม่รู้เรื่อง ก็สามารถ หยิบยกขึ้นมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ จากนั้น จึงนำเอา ปัญหาต่างๆ เหล่านี้มารวบรวมขมวดปม แนะนำให้นักเรียนช่วย กันเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาร่วมกัน
คุณเฉินอธิบายให้ฟังว่า ที่ผ่านมา หากแรงงานข้ามชาติต้อง เจอปัญหาหนักอก ก็มักจะบอกผ่านชาวไต้หวัน แต่หลักสูตร “Migrant for Migrant” เป็นการย้อนกลับไปที่ตัวของแรงงาน ข้ามชาติเอง หมายความว่า “ปัญหาของตัวเอง ก็ต้องแก้ไขด้วย ตัวเอง”
เริ่มต้นจากการหาปัญหาไปจนถึงค้นหาวิธีการแก้ปัญหา ไม่ เพยี งแตต่ อ้ งการใหแ้ รงงานขา้ มชาตมิ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจในการ มีปฏิสัมพันธ์ในสังคมในไต้หวันมากขึ้นเท่านั้น ทว่า ท่ามกลาง การระดมสมองเพื่อหาวิธีแก้ปัญหา ก็จะกลายเป็นว่า ช่วยเหลือ ตัวเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นเอง
หลักสูตรในปีใหม่นี้ กำลังเร่งเตรียมการอย่างขะมักเขม้น กิจกรรมต่างๆ ก็กำลังเริ่มต้นขึ้น คุณเฉินได้สังเกตเห็นว่า ปัญหา ที่แรงงานข้ามชาติกำลังประสบอยู่ในตอนนี้ หนีไม่พ้นเรื่องเวลา การทำงานที่ยาวเกินไป ไม่มีสิทธิเปลี่ยนนายจ้างอย่างเสรี ซึ่ง ล้วนเป็นสิทธิประโยชน์ของแรงงานทั้งสิ้น หรืออาจจะเข้าไม่ ถึงข้อมูลข่าวสาร ทำให้สิทธิประโยชน์ของแรงงานข้ามชาติถูก ลิดรอน หรืออาจจะเป็นปัญหาการไม่สามารถหลอมรวมเป็น ส่วนหนึ่งของสังคมในไต้หวันได้ แม้จะทำงานในไต้หวันมานาน หลายปีแล้วก็ตาม
คุณเฉินเล่าว่า ปัจจุบันในไต้หวันมีแรงงานข้ามชาติเกินกว่า 600,000 คน เดินไปที่ไหน ก็จะพบแรงงานหรือผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ที่เป็นชาวฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนามหรือไทย อย่างน้อย 1 คน ในทุก 40 คน แม้จะมีจำนวนมากมายขนาดนี้ก็ตาม แต่ แรงงานข้ามชาติจำนวนมากท่มี าทำงานในไต้หวันหลายปีแล้ว รู้จักคุ้นเคยกับชาวไต้หวันเพียง 5-6 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่า แปลกใจจริงๆ ด้วยเหตุนี้ One-Forty นอกจากจะจัดตั้งสถาบัน บริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติแล้ว ยังได้วางหลักสูตร “วัน อาทิตย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” และ “ท่องเที่ยวยามว่าง”เพื่อ ทำความรู้จักซึ่งกันและกันให้มากขึ้น
“วันอาทิตย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” จัดให้มีขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน โดยเชิญบรรดาคู่สมรสต่างชาติหรือผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หรือแรงงานข้ามชาติ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และวัฒนธรรม ประจำชาติของตน ประสมประสานกับการจัดสัมมนาแบบง่ายๆ ทำอาหารรสเด็ดของแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย เวียดนาม หรือฟิลิปปินส์ คุยกันในเรื่องสบายๆ ส่วนกิจกรรม “ท่องเที่ยวยามว่าง” ก็จะให้นักเรียนที่เข้าร่วมอบรมในสถาบัน บริหารธุรกิจแรงงานข้ามชาติทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ พาเพื่อนๆ ชาวไตห้ วนั ไปเฟน้ หาความลบั ทเี่ ตม็ ไปดว้ ยบรรยากาศแหง่ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหลบตัวอยู่ตามซอกซอยต่างๆ ในไทเป หลัง สถานีรถไฟจะมีอินโดนีเซียทาวน์ วัฒนธรรมอิสลามที่ชาวไต้หวัน ไม่คุ้นเคยนัก ก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวสู่โลกแห่งเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ของชาวไต้หวัน
“แรงงานข้ามชาติ เป็นแหล่งความรู้ที่ดีที่สุดในการรู้จักกับ สังคมโลก” นี่คืออุดมคติที่ One-Forty เขียนไว้ในเว็บไซต์ของตน รู้จักโลกใบนี้ ก้าวสู่ประชาคมโลก ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่อยู่รอบกาย ของคุณนั่นเอง ค้นพบได้จากเพื่อนๆ ที่มาจากเอเชียอาคเนย์ ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม