การศึกษาของไต้หวันช่วยบ่มเพาะบุคลากรให้วงการภาพยนตร์
“สำหรับชาวเมียนมาเชื้อสายจีนแล้ว การมีโอกาสได้มาไต้หวัน ถือเป็นความหวังของทุกคน เหล่าคุณครูในโรงเรียน มักจะพูดถึงไต้หวันว่าเป็น 1 ใน 4 เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ตอนที่พวกเราได้ยินก็รู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่เท่มาก” ก่อนอายุ 20 ปี หลีหย่งเชาที่เป็นหนุ่มขี้อาย ไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสกับคอมพิวเตอร์มาก่อนเลย ครั้งแรกที่ได้เล่นคอมพิวเตอร์คือตอนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว และเริ่มเรียนรู้การพิมพ์ตัวอักษร “เพื่อน ๆ ต่างก็เก่ง ๆ กันทั้งนั้น ทั้งการวาดภาพแอนิเมชัน ออกแบบกราฟิก และออกแบบเว็บไซต์ ส่วนผมแม้แต่จะวาดรูปตัวเองก็ยังทำไม่ได้ เลยได้แต่วาดเป็นเส้นกับหัวกลม ๆ”
จากการที่ได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาในไต้หวัน และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ หลีหย่งเชาที่เป็นลูกหลานทหารกองทัพสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) พลัดถิ่นในเมียนมา จึงมีโอกาสได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมา “ผมคิดว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ คนเมียนมาที่มาอยู่ไต้หวันส่วนใหญ่ จะได้แต่หาเช้ากินค่ำ เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวที่อยู่ในเมียนมา แต่ผมกลับมีโอกาสได้อยู่ในความฝันแห่งภาพยนตร์” เมื่อครั้งถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง The Bad Man หลีหย่งเชามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับทหารหนุ่มชาวคะฉิ่นที่ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน ทุกครั้งที่กล้องจับไปบนใบหน้าของเขา ก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัว “ตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกครั้งที่บินไปเมียนมา ผมจะรู้สึกหวาดวิตกเป็นอย่างมาก” ตอนแรกหลีหย่งเชาตั้งใจจะถ่ายทำเรื่องราวของหนุ่มน้อยคนอื่นในสถานบำบัดยาเสพติด แต่หลังจากที่ได้พบกับหนุ่มคะฉิ่นผู้นี้แล้ว หลีหย่งเชาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องราวของเขาใหม่ทันที โดยได้รับความสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสถานีโทรทัศน์ PTS ของไต้หวัน
หลีหย่งเชา ใช้เทคนิคการเล่นแสงและเงา รวมทั้งตั้งกล้องให้จับภาพอยู่กับที่ในการถ่ายทำ เพื่อบันทึกเรื่องราวของคนรากหญ้าในเมียนมา เพื่อที่จะสื่อสารถึงแนวคิดที่ว่ามนุษย์ต่างก็มีสัญชาตญาณของความเป็นคนดี ซึ่งตามระบบการพิจารณาภาพยนตร์แล้ว ผลงานของเขาไม่สามารถเข้าฉายในเมียนมาได้ แต่สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและยอมรับความเห็นที่แตกต่างของไต้หวัน ทำให้เขาสามารถถ่ายทำผลงานตามความต้องการของตัวเองได้ จนสามารถถ่ายทอดสภาพของเมียนมาได้ตามความเป็นจริง และเป็นกระบอกเสียงในอีกรูปแบบหนึ่งให้แก่เมียนมาบนเวทีโลก พร้อมเป็นประจักษ์พยานแห่งยุคสมัย
สภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างและอิสระในการถ่ายทำของไต้หวัน
หวังจวินฉี (王君琦) ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติเห็นว่า “สภาพแวดล้อมในการสร้างสรรค์ผลงานของไต้หวัน มีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือ สภาพแวดล้อมที่มีเสรีภาพและประชาธิปไตย ทำให้มีโอกาสที่เปิดกว้างในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ ซึ่งรวมถึงสภาพแวดล้อมในการถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย” สภาพแวดล้อมเช่นนี้เอง ที่ทำให้ไช่หมิงเลี่ยง เหอเว่ยถิง ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน และจ้าวเต๋ออิ้ง (Midi Z) มีโอกาสได้แสดงฝีมือเมื่อมาอยู่ในไต้หวัน
ในปี ค.ศ. 2018 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไต้หวันมีมูลค่า 224,730 ล้านเหรียญไต้หวัน ทั้งอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์และอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ต่างก็มีการขยายตัวจากปีก่อนหน้า เฉพาะปี ค.ศ. 2018 มีภาพยนตร์ไต้หวันจำนวน 323 เรื่องที่ไปเข้าร่วมในเทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก และมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นภาพยนตร์ซึ่งเป็นความร่วมมือแบบข้ามชาติ นอกจากการผลิตและถ่ายทำจะมีความคึกคักแล้ว รัฐบาลและนโยบายด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่เปิดกว้าง ก็ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการหาความร่วมมือและเงินทุนจากต่างประเทศมาใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์
ภาพยนตร์เกี่ยวกับเลสเบี้ยนของเหอเว่ยถิง รวมไปจนถึงการศึกษาเรื่องราวแห่งความเป็นคนรากหญ้าของหลีหย่งเชา แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างและยอมรับต่อประเด็นอันหลากหลายของไต้หวัน “ภาพยนตร์ไต้หวัน” ที่เติบโตขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมด้านการเมืองและเศรษฐกิจอันพิเศษในช่วงแรก ๆ ได้กลายมาเป็นจุดหมายที่เหล่าคนทำหนังจากทั่วโลกเดินทางมาตามหาความฝัน ที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับการสร้างสรรค์ มีบุคลากรชั้นเลิศ มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย จึงทำให้เหล่าผู้กำกับระดับนานาชาติต่างก็สามารถมาแสดงฝีมือของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทั่วโลก