สนุกไปกับการแข่งขัน
หวงเสี่ยวเหวินที่เคยให้ความสำคัญกับการแพ้ชนะเป็นอย่างมาก ก็ได้รับการชี้แนะจากหลิวจงไท่จนสามารถรับรู้ได้ถึงความสนุกจากการชกมวย
ก่อนการแข่งขันครั้งหนึ่ง ซึ่งหวงเสี่ยวเหวินจะต้องขึ้นชกกับคู่แข่งที่เคยคว้าเหรียญเงินโอลิมปิก หลิวจงไท่ส่งข้อความไปหาเธอบอกว่า “ต้องเป็นนักกีฬาที่เยือกเย็น เธอจะต้องมีความมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง โค้ชเชื่อมั่นในตัวเธอมาก” และแม้ว่าในการชกครั้งนั้น หวงเสี่ยวเหวินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เธอกลับรู้สึกว่า “หนูรู้สึกสนุกกับการแข่งขันมาก คู่แข่งไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่หนูเป็นคู่ชกของเขาได้ แล้วยังได้มีโอกาสใช้ทุกสิ่งที่เรียนมาอย่างเต็มที่ แถมในยก 2 ยังได้คะแนนเต็มสิบจากกรรมการถึงสองคน ถือเป็นการยอมรับที่กรรมการมีให้”
การแข่งขันไฟต์สำคัญในโตเกียวโอลิมปิกของหวงเสี่ยวเหวิน คือ ไฟต์ที่ขึ้นชกกับ Buse Naz Cakiroglu จากตุรกี ซึ่งเป็นมือวางอันดับ 1 ของรุ่น และเคยคว้าแชมป์จากศึกยูโรเปียน แชมเปียนชิปมาแล้ว “ตอนที่ดูการชกของเขาจากการแข่งขันครั้งก่อนๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะประมือด้วย เพราะคิดว่าตัวเอง “สู้ได้” แต่ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ชกที่น่าเกรงขามมาก โดยเฉพาะการทำให้คู่แข่งรู้สึกประหม่าในตอนที่ก้าวขึ้นสู่เวที ถือเป็นสิ่งที่เธอสามารถเรียนรู้จากคู่ชกคนนี้ได้” หวงเสี่ยวเหวินจำคำพูดของโค้ชได้ขึ้นใจว่า “กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์ที่ออกมา หากแพ้ก็หมายความว่าเรายังไม่ดีพอ ก็ต้องไปปรับปรุงแก้ไขทำให้ตัวเองดีขึ้น” และก็เป็นคำพูดที่คอยอยู่เคียงข้างหวงเสี่ยวเหวินบนเส้นทางของการชกมวยมาโดยตลอด
โค้ชคือพ่อคนที่ 2
หลังจากคว้าเหรียญรางวัลจากโตเกียวโอลิมปิกมาครองได้สำเร็จ ก็พอดีกับที่เป็นช่วงของวันพ่อในไต้หวัน หวงเสี่ยว เหวินได้โพสต์ข้อความขอบคุณโค้ชหลิวจงไท่ที่เป็นเสมือนพ่อคนที่ 2 ของเธอ
หวงเสี่ยวเหวินกล่าวว่า “หากไม่มีท่าน คิดว่าตัวเองคงมีแต่ความคิดที่จะออกจากวงการมวยอย่างแน่นอน” หลิวจงไท่คือคนที่คอยดึงเธอให้กลับมาขึ้นเวทีได้อย่างไม่รู้เบื่อ และบอกกับเธอเสมอให้ควบคุมตัวเองให้ดี และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
ในปีที่ขึ้นเรียนในชั้นม. 4 หวงเสี่ยวเหวินประสบความพ่ายแพ้ในการแข่งขันรายการหนึ่ง โดยแพ้คู่ชกเพียงคะแนนเดียว สำหรับเธอซึ่งแทบจะไร้คู่ต่อกรในการชกระดับมัธยมต้น ถือเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกช็อกเป็นอย่างมาก จนทำให้เธอหลีกหนีจากสนามซ้อมและเวทีมวยไปเกือบๆ หนึ่งปีเต็ม และก็เป็นหลิวจงไท่ที่เป็นคนดึงเอาหวงเสี่ยวเหวินที่พยายามหนีจากการชกมวยให้กลับคืนสู่วงการมวย ขอร้องให้เธอกลับเข้าสู่สนามซ้อม และลงแข่งคัดตัวนักกีฬาทีมชาติ ก่อนที่ในปี 2013 เธอจะกลายเป็นนักกีฬาทีมชาติอย่างเต็มตัว จนทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
หลิวจงไท่คือคนที่ห่วงใยเธอที่สุด ในปี 2018 ขณะลงแข่งในกีฬาเอเชียนเกมส์ที่จาการ์ตา ระหว่างการชกในยกที่ 3 ของรอบ 8 คนสุดท้าย กระดูกฝ่าเท้าขวาของหวงเสี่ยวเหวินแตก แต่เธอก็ฝืนชกจนจบและได้เข้ารอบตัดเชือกพร้อมคว้าเหรียญทองแดงแน่นอนแล้ว หลิวจงไท่จึงได้ประเมินสภาพร่างกายของหวงเสี่ยวเหวิน ก่อนจะตัดสินใจขอยอมแพ้ไม่ลงแข่งขันต่อ และยอมทิ้งโอกาสในการเข้าชิงเหรียญทอง ซึ่งหวงเสี่ยวเหวินเล่าให้เราฟังว่า “โค้ชเห็นว่าหนูยังอายุน้อย ยังมีโอกาสในครั้งหน้า ท่านคิดถึงอนาคตของหนูในการชกมวย หากวันนั้นโค้ชไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสลงแข่งในโอลิมปิกครั้งนี้หรือเปล่า?” ในช่วงครึ่งปีที่หวงเสี่ยวเหวินพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บนั้น หลิวจงไท่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ เริ่มตั้งแต่การค่อยๆ ทำกายภาพเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายใหม่ จนหนึ่งปีให้หลัง ในปี 2019 หวงเสี่ยวเหวินที่มีร่างกายแข็งแรงและสมบูรณ์ดีก็สามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จจากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลกที่รัสเซีย
บนเวทีที่ต้องยืนหยัดต่อสู้เพียงลำพัง ท่ามกลางเสียงรบกวนโหวกเหวกที่ดังอยู่รอบตัว หวงเสี่ยวเหวินสามารถได้ยินคำชี้แนะของโค้ชอย่างชัดเจนจนสามารถออกหมัดให้เข้าเป้าได้ตามแผน นี่คือความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างครูมวยและลูกศิษย์คู่นี้ เพราะการชกบนเวทีทุกๆ ครั้ง คือการชกที่ทั้งสองคนขึ้นชกร่วมกัน
เป้าหมายต่อไปกับปารีสโอลิมปิก 2024
ในส่วนของการเตรียมตัวลงชิงชัยในศึกโตเกียวโอลิมปิกครั้งนี้ ทั้งหวงเสี่ยวเหวินและหลิวจงไท่ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แผนการเตรียมตัว Gold Plan ของทบวงกีฬามีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก ประการแรกคือ การมีเจ้าหน้าที่พยาบาลแบบส่วนตัวซึ่งสามารถช่วยป้องกันและให้ความช่วยเหลือนักกีฬาได้อย่างทันท่วงที ประการที่ 2 คือ การสนับสนุนในการจัดหาคู่ซ้อม เพราะการจะหาคู่ซ้อมที่เหมาะสมสำหรับหวงเสี่ยวเหวินที่มีส่วนสูงและมีพละกำลังอันแข็งแกร่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลิวจงไท่จึงต้องอาศัยความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ตัวเองมี เพื่อหาคู่ซ้อมที่เป็นผู้ชายจากในไต้หวันมาช่วย อีกทั้งจากข้อมูลของคู่แข่งที่มีอยู่ พบว่า ในรุ่น 51 กก. ที่หวงเสี่ยวเหวินจะลงแข่งนั้น คู่แข่งส่วนใหญ่เป็นคนถนัดซ้าย เมื่อได้รับการสนับสนุนจากแผนการฝึกซ้อมของทบวงกีฬาในครั้งนี้ ทำให้หวงเสี่ยวเหวินได้ย้ายสถานที่ฝึกซ้อมไปอยู่ที่อื่น และช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการขึ้นซ้อมกับคู่ชกที่แตกต่างกันไป
หลิวจงไท่ย้อนรำลึกถึงประสบการณ์ในสมัยที่ตัวเองยังเป็นนักกีฬาว่า “ตามมีตามเกิด” ถือเป็น 4 คำที่อธิบายถึงช่วงเวลาในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี “ส่วนใหญ่เน้นการฝึกซ้อมสภาพร่างกาย ไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกฝนด้านเทคนิค รูปแบบการฝึกซ้อมก็ไม่หลากหลาย ทำให้นักกีฬาได้รับบาดเจ็บง่าย อีกทั้งยังทำให้ยิ่งซ้อมยิ่งไม่มีแรง” หลิวจงไท่อธิบายว่า ไม่ใช่ว่าวิธีการฝึกซ้อมในแบบดั้งเดิมจะไม่สำคัญ แต่การจะแย่งชิงเหรียญรางวัลบนเวทีระดับนานาชาติในทุกวันนี้ การซ้อมในลักษณะดังกล่าวควรลดสัดส่วนลงเหลือเพียงแค่ 30% ก็พอ ส่วนอีก 70% ต้องอาศัยเทคนิคและความรู้สมัยใหม่มาช่วย ในการสู้ศึกครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือในการวิเคราะห์ข้อมูลจากทีมวิทยาศาสตร์การกีฬา ทำให้ได้รับประโยชน์ไม่น้อย เช่น มีการวิเคราะห์ว่าในแต่ละยกคู่แข่งชกที่ลำตัวหรือออกหมัดกี่ครั้ง รวมถึงทิศทางและความคุ้นเคยในการออกหมัด ซึ่งสามารถใช้การวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้ามาช่วยในการกำหนดแผนการชกได้ เพื่อรับมือกับคู่ชกในแต่ละแบบ ทำให้นักกีฬามีความมั่นใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ
หลังกลับจากโตเกียวโอลิมปิกแล้ว หวงเสี่ยวเหวินได้ใช้เวลาในการพักผ่อนอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะรีบเข้าสู่การฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นในทันที เพื่อเข้าร่วมลงแข่งในการแข่งขันกีฬาแห่งชาติช่วงเดือนตุลาคม และเตรียมความพร้อมสำหรับการลงแข่งในเอเชียนเกมส์ 2022 ซึ่งเป้าหมายระยะยาวของเธอก็คือศึกปารีสโอลิมปิกที่จะจัดขึ้นในปี 2024 ต่อไป
“เธอทำได้แล้ว เธอทำได้” นี่คือคำพูดที่หลิวจงไท่บอกกับหวงเสี่ยวเหวิน และเป็นคำพูดจากทุกคนเพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจหวงเสี่ยวเหวินเช่นกัน