เข้าใจดิน ก็จะเข้าใจดินฟ้าอากาศ ประเพณีและวัฒนธรรม
บนเกาะไต้หวันแห่งนี้ นอกจากจะมีดินที่มีความหลากหลายแล้ว ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคน 4 ชนชาติด้วยกัน แต่ละชนชาติก็จะมีวิธีการใช้ดินที่แตกต่างกันไป เช่น ชาวฮั่นได้นำเอาวิธีการทำนาเข้ามา ทำให้เกิดภาพของบ่อน้ำอันดาษดื่นที่มีอยู่ทั่วพื้นที่ของเถาหยวน
“ฟงถู่ (風土) หมายถึง ดินฟ้าอากาศของพื้นที่แห่งหนึ่งที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมและประเพณีนิยมของผู้คนในแถบนั้น” ดินที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะไต้หวันคือดินที่อยู่บนที่ราบสูงหลินโข่ว เนื่องจากมีอายุยาวนาน ทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ ภายในดินถูกชะล้างไปจนหมด เหลือแต่เพียงสีแดงของสนิมเหล็ก ทำให้ดินมีสีแดง และมีความเป็นกรดสูง “ดินพวกนี้คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ไต้หวันก้าวขึ้นสู่เวทีโลก” ดร. สวี่ฯ กล่าวขึ้นอย่างลึกลับ การที่ชาของไต้หวันมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ดินถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ดร. สวี่ฯ ได้ยกตัวอย่างพื้นที่ซึ่งมีดินสีแดงที่มีชื่อเสียงในไต้หวัน ตั้งแต่หลินโข่วไปจนถึงเถาหยวน ซินจู๋ ในอดีตต่างก็เป็นแหล่งเพาะปลูกชาที่สำคัญ ที่ราบสูงปากั้วมีชาอูหลงขึ้นชื่อที่ถูกเรียกเป็น “ชาซงปั๋วฉางชิง” ในแถบอู่เห้อของภาคตะวันออกก็มีชาอัสสัม พื้นที่ในแถบลู่เหย่ไฮแลนด์ก็ถือเป็นแหล่งปลูกชาตั้งแต่สมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน “เพราะว่าต้นชาชอบดินที่มีความเป็นกรด ที่ราบสูงจะมีภูมิประเทศอยู่ในระดับสูง ทำให้มีเมฆหมอกที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นชา นี่ก็คือความเชื่อมโยงระหว่างใบชากับดิน และถือเป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนของวัฒนธรรมไต้หวัน”
“เมื่อเราเข้าใจดิน เราก็จะเข้าใจประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่น” ดร. สวี่ฯ กล่าว ในทุกวันนี้ ผู้คนเรียกที่ราบลุ่มเจียหนานว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของไต้หวัน แต่ในอดีต ดินของพื้นที่ในแถบนี้ถูกเรียกว่าเป็นดินที่ต้องแล้วแต่ฟ้า แม้จะมีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ แต่ขาดแคลนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ทำให้ยากแก่การพรวนดิน จึงได้แต่หวังว่าจะมีฝนตกลงมา ทำให้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งต้อง “หากินกับฟ้าฝน” โดยแท้
จนกระทั่งฮัตตะ โยอิจิ วิศวกรชาวญี่ปุ่น ได้ออกแบบและสร้างระบบคลองชลประทานเจียหนานขึ้น ทำให้คุณภาพของดินในพื้นที่แถบนี้ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น จนทำให้ที่ราบลุ่มเจียหนานได้กลายมาเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของไต้หวันเช่นในปัจจุบัน “จริง ๆ แล้วสิ่งที่ฮัตตะ โยอิจิ ต้องการทำก็คือการปรับปรุงลักษณะเฉพาะของดินในแถบนั้น” ดร. สวี่ฯ กล่าว
เมื่อมองโลกจากมุมมองของนักวิชาการเกี่ยวกับดิน ก็จะมีเรื่องสนุก ๆ อยู่เบื้องหลังไม่น้อย ในขณะที่ ดร. สวี่เจิ้งอี ชมการแข่งขันเทนนิสเฟรนช์โอเพ่น เขากลับครุ่นคิดว่า บนพื้นที่ที่อยู่ในสภาพภูมิอากาศเขตอบอุ่นจะมีดินสีแดงอยู่น้อย การออกแบบและสร้างสนามเทนนิสที่เป็นคอร์ทดินถึง 10 แห่ง ต้องลงทุนเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อย้อนคิดไปถึงหมู่เกาะญี่ปุ่น ซึ่งมีภูมิประเทศในแบบหินภูเขาไฟ เชื่อว่าทุกคนยังจำกันได้ว่า ทีมเบสบอล Kano ของไต้หวันเคยไปเล่นที่สนามโคชิเอ็ง ซึ่งที่นี่ก็ใช้ดินดำจากเถ้าภูไฟเขาในการก่อสร้าง หากได้ชมการแข่่งขันเบสบอล MLB ของสหรัฐฯ ถ้าเป็นการแข่งขันที่ฟลอริดา ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิอากาศเขตร้อน ดินในสนามก็จะเป็นสีแดง แต่หากเป็นการแข่งขันทางเหนือที่ซีแอตเทิล ซึ่งภูมิประเทศอยู่ในพื้นที่ภูเขาไฟ ดินในสนามก็จะเป็นสีดำ ดร. สวี่ฯ ได้อธิบายถึงความเชื่อมโยงของที่มาที่ไประหว่างดินกับวัฒนธรรมและชีวิตประจำวันให้เราเข้าใจ
เมื่อเรามาถกเถียงกันในประเด็นเกี่ยวกับดินจากมุมมองของทั่วโลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ประชากรโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิกฤตด้านการขาดแคลนอาหารจึงเป็นปัญหาที่ยังคงมีอยู่ ตามเป้าหมายแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals) 17 รายการนั้น คือ “การยุติความยากจนและความหิวโหย” ถือเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ดินมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ประเด็นเกี่ยวกับ “Net Zero” หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ ก็มีดินเป็นกุญแจสำคัญ “ปลูกต้นไม้ลดคาร์บอน โดยดินมีความสามารถในการดูดซับคาร์บอน ดังนั้นประสิทธิภาพในการดูดซับกว่าร้อยละ 60 เกิดจากดิน”
พื้นที่ชุ่มน้ำซื่อเฉ่าที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไถเจียง นอกจากจะช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญด้วย