คณะละครเวทีและนาฏศิลป์ในไต้หวันจะยืนหยัดอยู่ยงคงกระพันเลี้ยงตัวเองให้ได้นานกว่า 30 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่.... “คณะละครตำนานร่วมสมัย” (當代傳奇劇場 : Contemporary Legend Theatre) นำเอาการแสดงละครเวทีสมัยใหม่มาหลอมรวมกับอุปรากรดั้งเดิม พวกเขาทำได้แล้วจริงๆ .....
คุณอู๋ซิงกั๋ว (吳興國) เริ่มต้นจากช่วงแรกในการก่อตั้งคณะฯ จากละครเวทีเรื่องแรก “อาณาจักรแห่งราคะ” (慾望城國) ไปจนถึงผลงานใหม่ “ความฝันคืนกลางคิมหันตฤดู” (仲夏夜之夢) โดยได้พยายามขจัดกรอบจำกัดแห่งการแสดงนานาประการ นำเอาศิลปะการแสดงในรูปแบบของอุปรากรปักกิ่งมาหลอมรวมสู่ยุคสมัยใหม่ จนถึงปัจจุบัน เขายังคงสรรค์สร้างผลงานออกมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก็เพื่อสร้างความประทับใจให้ติดตาตรึงใจผู้ชมด้วยภาพการแสดงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สืบทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานด้วย “ตำนานร่วมสมัย”
ในโอกาสครบรอบ 30 ปี แห่งการนำเอาวรรณกรรมชั้นยอดระดับโลก ผลงานของกวีเอกโลกอย่าง วิลเลียม เชกสเปียร์ “ความฝันคืนกลางคิมหันตฤดู” ของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” นอกจากจะนำแสดงโดยนักแสดงอุปรากรปักกิ่งชาวไต้หวันชื่อดังอย่าง เว่ยไห่หมิ่น (魏海敏) แล้ว ยังดึงนักเขียนชื่อดังในไต้หวันอย่าง จางต้าชุน (張大春) ร่วมการเขียนบทละครหวางซีเหวิน (王希文) นักประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยุคใหม่ และจับมือกับจางอี้จวิน (張逸軍) อดีตสมาชิกคณะละครสัตว์พระอาทิตย์หรือ Circus of the Sun และเมื่อข่าวคราวการเปิดแสดงแพร่สะพัดออกไป บัตรเข้าชมก็ถูกกวาดซื้อเรียบภายในพริบตาทีเดียว
หลังการแสดงจบลง วงการศิลปวรรณกรรมและนักวิจารณ์การแสดงบนเวทีต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปแบบสุดขั้วทั้งชื่นชมและตำหนิ หากสภาพการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้อื่น อาจจะทำให้น้ำตาท่วมเวทีก็เป็นไปได้ แต่สำหรับอู๋ซิงกั๋วแล้ว “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1986 ของเขา เลือกที่จะแหกกรอบการแสดงอุปรากรปักกิ่งแบบดั้งเดิม โดยหลอมรวมแนวคิดสร้างสรรค์ยุคใหม่เข้าไป ทำให้ความตื่นตาตื่นใจและวิจิตรตระการในการแสดงของพวกเขาอยู่คู่กับ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” มานานนับหมื่นวัน
ลูกทรพีแห่งประเพณีนิยม
ด้วยเหตุที่เป็นครอบครัวยากจน อู๋ซิงกั๋วในวัย 11 ขวบ จึงถูกคุณแม่ส่งไปเรียนในโรงเรียนนาฏศิลป์ฟู่ซิง (復興劇校) เข้าร่วมในคณะนาฏศิลป์หลีหยวน (梨園) และด้วยเหตุที่มีผลการเรียนเป็นเลิศ อู๋ซิงกั๋วจึงถูกโรงเรียนส่งไปศึกษาต่อที่ Chinese Culture University : PCCU (文化大學) เมื่อจบการศึกษาแล้ว จึงเข้าเป็นสมาชิกในคณะนาฏศิลป์ “ลู่กวง” ของกองทัพไต้หวัน สาธารณรัฐจีน จากนั้นก็โด่งดังเป็นพลุแตกอย่างรวดเร็วด้วยการแสดงเป็นพระเอกบู๊ และในช่วงที่เขาศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ได้เข้าร่วมการแสดงของคณะนาฏศิลป์หยุนเหมิน (雲門舞集) หรือคณะนาฏศิลป์ Cloud Gate Dance Theatre ที่โด่งดังของไต้หวัน ด้วยบทบาทเดียวกันพร้อมกับความขยันขันแข็งในการฝึกซ้อม ทำให้อู๋ซิงกั๋วโดดเด่นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเขาต้องเต้นไปและร้องไป หุ่นดี เสียงดี จนได้รับคำยกย่องจากปรมาจารย์อุปรากรปักกิ่งอย่างอาจารย์โจวเจิ้งหรง (周正榮) อู๋ซิงกั๋วจึงสมัครเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์โจว กลายเป็นลูกศิษยของปรมาจารย์อุปรากรปักกิ่งผู้นี้
ในยุคทศวรรษที่ 1980 สังคมไต้หวันยังอยู่ภายใต้การใช้กฎอัยการศึก วงการวัฒนธรรมและดนตรีก็อยู่ในยุค “ร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก” พรั่งพรูออกมาด้วยพลังแห่งชีวิต ในขณะที่อุปรากรปักกิ่งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกลับตกอยู่ในสภาพอับเฉา อู๋ซิงกั๋ว ในวัยเพียง 33 คิดอยู่ในใจว่า หนทางเดียวที่จะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของอุปรากรปักกิ่งให้กลับมามีชีวิตชีวาดั่งเดิมได้ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือ “สร้างสรรค์”
“อาณาจักรแห่งราคะ” เป็นผลงานชิ้นแรกของคณะละครของเขา อู๋ซิงกั๋วได้ทดสอบโดยการนำเอาบทประพันธ์ของกวีเอกโลกอย่างเชกสเปียร์ เรื่อง “แม็คเบ็ธ...ผู้ทรยศ” (Macbeth) ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูรู้คุณที่เป็นส่วนหนึ่งของอุปรากรปักกิ่งได้แปรเปลี่ยนไปเป็น “ราคะ” ที่หาที่สุดมิได้ ในการแสดงคราวนี้ อุปกรณ์การแสดงบนเวทีที่ประกอบไปด้วยโต๊ะ 1 ตัว กับเก้าอี้ 2 ตัว ก็ไม่ปรากฏให้เห็นบนเวที แต่เข้าแทนที่โดยการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวของอุปรากรปักกิ่ง นาฏลีลา งิ้วคุนฉวี่ (崑曲) ละครเพลง และนาฏศิลป์ เมื่อนำการแสดงนี้ออกเผยแพร่ให้ประชาชนได้ชม ก็ได้รับคำชมเชยว่าเป็นสุดยอดแห่งจินตนาการ อย่างไรก็ดี คำด่าทออย่างเสียหายจากวงการอุปรากรปักกิ่งก็ดังกระหึ่มขึ้นเช่นเดียวกัน บางท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด่าทอและประณามว่า “ลูกทรพีแห่งประเพณีนิยม” บางคนถึงขนาดด่าตรงๆ ว่า “ลูกนอกคอก” เลยทีเดียว
นับจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นบทประพันธ์เทพนิยายกรีก หรือวรรณกรรมชั้นยอดตะวันตกของ Samuel Beckett หรือ Franz Kafka ได้จุดประกายให้แก่ความคิดสร้างสรรค์ของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ทั้งสิ้น ละครเรื่องแล้วเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “Prince of Denmark” หรือ “The Tempest” และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เป็นเป้าหมายของอู๋ซิงกั๋วที่จะต้องก้าวออกจากกรอบเดิมๆ ให้ได้ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ไม่เคยคิดที่จะวาดกรอบล้อมตัวเอง การสรรค์สร้าง “อาณาจักรแห่งราคะ” เป็นตัวอย่างแห่งการทดสอบถึงพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ของบทละครตอนนี้ว่าจะสามารถก้าวไปได้ไกลสักเพียงใด ความกล้าหาญชาญชัยโดยการนำเอาศิลปะสาขาต่างๆ มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน จนบางครั้งก็ทำให้แฟนๆ ถึงกับปาดเหงื่อลุ้นด้วยความระทึกใจเหมือนกัน แต่เมื่อนำเสนอผลงานต่างๆ อย่างต่อเนื่องแล้ว ในปี 2007 “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ได้นำเอา “ซ้องกั๋ง” 1 ใน 4 วรรณกรรมระดับชาติของจีนมาดัดแปลง ประสมประสานกับดนตรีสมัยใหม่กลายเป็น “ซ้องกั๋ง 108” หลังจบการแสดง มีผู้ชมบางคนถามด้วยความวิตกว่า “อนาคตของคณะละครตำนานร่วมสมัย อาจกลายเป็นวัฒนธรรมย่อยกระนั้นหรือ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้คุณหลินซิ่วเหว่ย (林秀偉) อดหัวเราะไม่ได้
ความกล้าหาญชาญชัยในการท้าทายด้วยการสวนกระแสของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” มิใช่ว่าจะได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมทุกครั้งเสมอไป บางผลงานนำเสนอออกมาได้รับเสียงชื่นชมปรบมือดังกึกก้องทันที แต่ก็มีบางเรื่องต้องรอเวลาให้ผ่านพ้นไปสักระยะหนึ่ง แล้วจึงนำกลับมาแสดงใหม่อีกครั้ง ถึงจะได้รับเสียงชื่นชม “คณะละครตำนานร่วมสมัย ไม่เคยกลัวความพ่ายแพ้ ผลงานทุกชิ้นต้องรอเวลาแห่งการเติบโต”
หากจะแนะนำ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” อย่างง่ายๆ ว่าเป็นอุปรากรปักกิ่งร่วมสมัยก็คงยากที่จะมีคนเชื่อ แต่เมื่อเข้าไปชมในโรงละครแล้ว ก็จะได้ซึมซับบรรยากาศผลงานสร้างสรรค์ยุคใหม่ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งหัวใจแห่งการอนุรักษ์ความดั้งเดิมไว้เช่นเดิม ไม่ว่าบนเวทีจะสอดแทรกศิลปะสาขาต่างๆ ไว้ด้วยกัน หรือเต็มไปด้วยรูปแบบแห่งการสวนกระแสความนิยม และรูปแบบหลากหลายตระการตาก็ตาม แต่การบรรจงด้วยเทคนิคการแสดงพื้นฐานของอุปรากรปักกิ่งไม่ว่าจะเป็นท่าเดิน การร้อง และการพูด แม้กระทั่งฉากต่อสู้ต่างๆ เป็นสิ่งที่อู๋ซิงกั๋วผู้มีพื้นเพมาจากคณะนาฏศิลป์หลีหยวนยืนหยัดมาโดยตลอด
รับบท “จักรพรรดิเลียร์ (คิงเลียร์)” แห่งบูรพาทิศ
อู๋ซิงกั๋วพยายามสรรค์สร้างผลงานใหม่ๆ ออกมา โดยไม่ใส่ใจว่าจะได้รับคำชมหรือถูกตำหนิใดๆ ในปีค.ศ.1998 เขาต้องพยายามหาสถานที่เพื่อเปิดการแสดงละครเวทีชุดใหม่ล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า “การเฝ้ารอเทพเจ้ากอดอร์” (Waiting For Godot) จนขาขวิด และด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวจึงประกาศยกเลิกการแสดงชุดนี้ กระทั่ง 2 ปีต่อมา จึงนำคณะของเขาไปจัดแสดงละครเวทีเรื่องนี้ที่ประเทศฝรั่งเศส
เมื่อ Ariane Mnouchkine ผู้กำกับชื่อดังของคณะละครสัตว์พระอาทิตย์ ทราบข่าวการพักการแสดงของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” จึงเชิญอู๋ซิงกั๋วไปเปิดคอร์สสอนการแสดงละครที่ประเทศฝรั่งเศส และเพื่อให้ชาวตะวันตกมีความรู้ความเข้าใจต่อบทบาทต่างๆ ที่สลับซับซ้อนของตัวแสดงในอุปรากรปักกิ่ง อู๋ซิงกั๋วจึงเลือกสรรบทละครเรื่อง “คิงเลียร์” ที่ชาวตะวันตกคุ้นเคยเป็นอย่างดี มาแนะนำให้ผู้สนใจทำความเข้าใจกับอุปรากรปักกิ่งได้ง่ายขึ้น
ขณะที่อู๋ซิงกั๋วนำเอาบทละคร “คิงเลียร์” มาแนะนำให้กับผู้สนใจ ทำให้เขามีความรู้สึกว่าบรรยากาศในบทละครเหมือนกับสิ่งที่เขากำลังประสบอยู่อย่างไม่ผิดเพี้ยนทีเดียว ความเศร้าโศกทุกข์ระทมและความเคียดแค้นของ “คิงเลียร์” ที่ถูกทรยศโดยบุตรสาวและคนสนิทของตัวเอง ได้สะท้อนถึงความรู้สึกที่อู๋ซิงกั๋วมีต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นทั่วทุกทิศจากการที่เขาพยายามจะฟื้นฟูอุปรากรปักกิ่ง อารมณ์ทุกอย่างได้พรั่งพรูออกมาในหัวสมองของเขากลายเป็นฉากแรกของละครเรื่อง “คิงเลียร์” ของคณะละครตำนานร่วมสมัยของเขา
อู๋ซิงกั๋วเสมือน “คิงเลียร์แห่งบูรพาทิศ” แสดงบนเวทีถึง 12 บท และตีบทแตกในทุกบทบาทอย่างยอดเยี่ยม กระหึ่มไปทั่วทั้งเวที เมื่อการแสดงรอบปฐมทัศน์ที่ฝรั่งเศสยุติลง ผู้กำกับ Ariane Mnouchkine ถึงกับกระชากคอเสื้อของอู๋ซิงกั๋วแล้วขู่ว่า “ถ้าแกไม่กลับไปฟื้นฟูคณะละครของแกอีก รับรองฉันฆ่าแกแน่” ทำให้อู๋ซิงกั๋วมีกำลังใจขึ้นเป็นกอง และนึกอยู่ในใจว่า “แม้จะต้องกลายเป็นเพียงศิลปินพเนจรตามท้องถนน ตนก็จะแสดงต่อไปตลอดชีวิต”
เมื่อละครเวทีเรื่อง “คิงเลียร์ King Lear” ออกสู่สายตาผู้ชม เป็นการเปิดแนวการแสดงแบบใหม่ให้แก่ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ซึ่งอดีตที่ผ่านมาบทละครของคณะ จะต้องใช้นักแสดงอย่างน้อย 7-8 คน แต่ความสำเร็จของละคร “คิงเลียร์” ก็พบว่า นักแสดงคนเดียวก็มีสิทธิขึ้นแสดงบนเวทีของโรงละครเอดินบะระ คุณหลินซิ่วเหว่ย บอกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นบอกได้แต่เพียงว่า มันเป็นหน่ออ่อนที่เกิดขึ้นในแดนมรณะเท่านั้น”
“คิงเลียร์” ได้ชุบชีวิต “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ให้กลับมาโดดเด่นบนเวทีอีกครั้ง และได้กลายเป็นหนึ่งในสามผลงานยอดเยี่ยมของคณะด้วย โดยนำไปตระเวนแสดงตามเมืองต่างๆ ถึง 40 กว่าเมือง ใน 20 กว่าประเทศ รวมนับร้อยรอบทีเดียว
ปีนี้เป็นปีแห่งความท้าทายของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” โดยการดัดแปลงบทประพันธ์ชื่อดังระดับโลกของเชกสเปียร์ “ความฝันคืนกลางคิมหันตฤดู” แม้จะเป็นบทละครของตะวันตก แต่ก็เป็นผลงานที่สรรค์สร้างขึ้นมาให้เพียบพร้อมไปด้วยเอกลักษณ์แห่งความเป็นไต้หวัน คุณหลินซิ่วเหว่ยบอกว่า ไต้หวันได้ผ่านประวัติศาสตร์ต่างๆ มามากมาย สังคมก็ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเนเธอร์แลนด์ และก็ยังมีเอกลักษณ์ในยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวันหลงเหลืออยู่ไม่น้อย วัฒนธรรมผสมพบเห็นได้อย่างดาษดื่น ละครเรื่องล่าสุด “ความฝันคืนกลางคิมหันตฤดู” ก็ได้รวมเอาวัฒนธรรมผสมนี้เข้าไปด้วย คุณหลินซิ่วเหว่ยบอกอีกว่า ผลงานในอดีต แม้จะมีรูปแบบการแสดงอันหลากหลาย แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความสุนทรีย์แห่งบทละคร ในขณะที่ “ความฝันคืนกลางคิมหันตฤดู” ไม่เหลือสิ่งเหล่านี้ให้เห็นอีกต่อไป
ในโอกาสครบรอบ 30 ปี การก่อตั้ง “คณะละครตำนานร่วมสมัย” นอกจากคุณหลินซิ่วเหว่ยจะรู้สึกตื้นตันยินดีแล้ว ก็ยังอดที่จะเป็นห่วงการฝึกฝนนักแสดงอุปรากรรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้
“ในตอนเริ่มแรกที่ก่อตั้ง “คณะละครตำนานร่วมสมัย” มีระเบียบว่า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของคณะได้ ต้องมีอายุ 30 ปี ในตอนนั้นอายุเพียง 20 เศษๆ แต่ตอนนี้อายุก็ปาเข้าไป 50-60 แล้ว และก็ยังไม่พบคนรุ่นใหม่ที่จะสามารถแบกรับภารกิจฟื้นฟูอุปรากรปักกิ่งในยุคนี้ได้สักที” คุณหลินซิ่วเหว่ยระบายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
เพื่อฝึกฝนบุคลากรอุปรากรปักกิ่งรุ่นใหม่ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” จึงได้เริ่มเปิดโรงเรียนตำนานร่วมสมัยขึ้นในปีค.ศ. 2009 โดยเชิญปรมาจารย์อุปรากรไต้หวันจากทั้งในไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ให้แก่ผู้สนใจ และในโอกาสครบรอบ 30 ปี การก่อตั้ง “คณะละครตำนานร่วมสมัย” จึงได้ประกาศเปิดตัว “คณะละครตำนานซิง” (興傳奇)
โดยรับสมาชิกวัย 10 ขวบไปจนถึง 20 เศษๆ วางแผนนำเสนอผลงานเรื่อง “Faust” ในปีหน้า โดยนักแสดงวัยรุ่นเหล่านี้จะรับบทบาทที่สำคัญทั้งหมด
ความลงตัวอย่างเหมาะเจาะระหว่างการมองโลกในแง่ดีกับความพิถีพิถัน
30 ปี ของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” นอกจากอู๋ซิงกั๋วที่รับบทหนักทั้งการสรรค์สร้างและการแสดง ทั้งยังต้องรับผิดชอบภาระน้อยใหญ่ในคณะละครทั้งหมด ส่วนหลินซิ่วเหว่ยที่ทำหน้าที่ทั้งดูแลและงานสรรค์สร้างของคณะนาฏศิลป์ไท่กู่ ก็กลายเป็นบุคคลที่ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” จะขาดไม่ได้อีกด้วย
ในงานแถลงข่าวเปิดตัวการแสดงเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อู๋ซิงกั๋วในชุดตระการตาพร้อมด้วย เว่ยไห่หมิ่น และนักแสดงนำอีกหลายคนยืนให้สัมภาษณ์สื่ออยู่บนเวที ในขณะที่หลินซิ่วเหว่ยยืนฟังอยู่ข้างเวที โดยสองสามีภรรยาคู่นี้ คนหนึ่งยืนอยู่หน้าสปอตไลท์บนเวที ส่วนอีกคนจะอยู่เบื้องหลัง กลายเป็นภาพที่ปกติธรรมดาที่สุดของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย”
กล่าวได้ว่า สามี-ภรรยาคู่นี้ที่ทุ่มเททั้งชีวิตก้าวไปพร้อมๆ กับการเติบใหญ่ขึ้นของ “คณะละครตำนานร่วมสมัย” แต่บุคลิกกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หลินซิ่วเหว่ยเล่าให้ฟังว่า หนังสือเล่มเดียวกันในมือของคนสองคน จะมีชะตากรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเธอจะใช้เวลาเพียง 3 วัน อ่านจนจบเล่ม ส่วนอู๋ซิงกั๋วจะต้องอ่านอย่างละเอียด ตีบททุกตอน ทุกคำพูดให้แตกใช้เวลานานถึง 3 เดือน จึงจะรู้สึกว่าได้ซึมซับอรรถรสของหนังสือเล่มนั้นแล้ว และเมื่อหลายปีก่อน อู๋ซิงกั๋วรับลูกศิษย์ใหม่เป็นเด็กวัย 15 ปี จูป๋อเฉิง (朱柏澄) ที่เพิ่งฝึกการแสดงอุปรากรปักกิ่ง เขาถ่ายทอดวิชาการร้องรำอุปรากรปักกิ่งให้ลูกศิษย์รายนี้ด้วยตนเอง และเพื่อสอนเด็กคนนี้ อู๋ซิงกั๋วพยายามรวบรวมบทแสดงต่างๆ จากเว็บไซต์ แล้วคัดสรรบทละครที่ดีที่สุดฝึกร้องฝึกแสดงด้วยตนเองก่อนที่จะนำไปสอนให้แก่ลูกศิษย์ของตน
ด้วยบุคลิกแห่งความพิถีพิถัน อู๋ซิงกั๋วจึงมักจะมองโลกในแง่ร้ายเสมอๆ ส่วนหลินซิ่วเหว่ยกลับเป็นผู้ที่มีท่าทีมองโลกในแง่ดี และเมื่อเห็นแสงสว่างแห่งความหวังอยู่เบื้องหน้า เธอก็จะบุกลุยไปข้างหน้าโดยไม่สนใจว่าจะมีอุปสรรคขวางกั้นหรือไม่ อุปนิสัยแบบสองขั้วของบุคคลทั้งสอง สะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ของบุคคลทั้งสองได้ไม่ยากนัก หลินซิ่วเหว่ยเปิดเผยว่า เมื่อพบบทละครที่โดนใจเมื่อใด เธอจะเป็นคนแรกที่ตะโกนด้วยเสียงดังว่า “อู๋ซิงกั๋ว เธอต้องทำเรื่องนี้ให้ได้นะ” ในขณะที่อู๋ซิงกั๋วยังคงจดๆ จ้องๆ ลังเลว่าจะเอาไงดีหว่า แต่หากตัดสินใจทำแล้ว ก็จะทุ่มเทอย่างสุดตัวให้ผลงานที่ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด “เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็จะลุยไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อ” หลินซิ่วเหว่ยกล่าว และด้วยความตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ ทุ่มสุดตัวในทุกเรื่อง ทำให้อู๋ซิงกั๋วเป็นที่ประทับใจของผู้ชมทุกครั้งที่เขาปรากฏกายบนเวที
30 ปีมาแล้ว หากเราพลิกแฟ้มประวัติศาสตร์แห่งการแสดงละครเวทีไต้หวัน “คณะละครตำนานร่วมสมัย” ของอู๋ซิงกั๋ว ย่อมต้องปรากฏชื่ออยู่ในนั้นอย่างแน่นอน “คณะละครตำนานร่วมสมัย” เป็นคณะละครที่มีลักษณะพิเศษอย่างไรกันแน่ หลินซิ่วเหว่ยบอกด้วยความหนักแน่นว่า “ที่เรียกว่า คณะละครตำนานร่วมสมัย หมายถึงการแสดงในทุกรูปแบบที่เต็มไปด้วยอรรถรสแห่งยุคสมัยและความสุนทรีย์แห่งอารยธรรม ทำลายล้างทัศนะเก่าๆ ในหัวสมองของผู้ชม ผลงานทุกเรื่องจะเป็นการสืบทอดผลงานแห่งความคิดสร้างสรรค์และเอกลักษณ์ในผลงาน เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หมุนตัวอย่างวิจิตร สวนกระแสด้วยแรงกล้า”