แสงแดดระยิบระยับสะท้อนเป็นประกายอยู่บน ท้องน้ำของแม่น้ำตั้นสุ่ย แม่น้ำสายสำคัญที่อยู่ติดกับ “ต้าเต้าเฉิง” (大稻埕) ดินแดนในตำนานของไทเป ในอดีตต้าเต้าเฉิงเป็นเมืองที่มีความรุ่งเรือง มั่งคั่ง และมีประชากรมากที่สุด จากการเปิดสู่โลกด้วย การเป็นเมืองท่าที่รวบรวมไว้ซึ่งความหลากหลาย ของผู้คน ความมีชีวิตชีวา และอุดมการณ์ จึงดึงดูด ทั้งพ่อค้าคหบดีและประชาชน เข้ามาค้าขายและ อาศัยจำนวนมาก ทั้งหมดนี้คือสัญลักษณ์แห่งความ รุ่งเรืองเฟื่องฟูแต่ครั้งอดีตของเกาะที่สวยงามแห่งนี้
เมื่อเวลาผ่านไป ความเสื่อมโทรม ซบเซาและ ตกต่ำถดถอยผุดเข้ามาแทนที่ เฉกเช่นเดียวกับตึก เก่าแก่ที่ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ผ่านมา ผลจากความร่วม มือระหว่างภาครัฐและเอกชน ด้วยการผลักดัน การอนุรักษ์ชุมชนเก่า กระตุ้นอุตสาหกรรม ตลอด จนการส่งเสริมสร้างสรรค์ทางด้านวัฒนธรรมได้ พลิกโฉมย่านเก่าแก่แห่งนี้ให้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาอีก ครั้ง ภาพของนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้า มา อีกทั้งบรรดาร้านค้าเปิดใหม่มากมาย ได้ร่วมกัน เสกสรรปั้นแต่งจังหวะชีวิตใหม่ให้กับย่านเมืองเก่า ไทเปแห่งนี้อีกครา
กระนั้นก็ตาม สิ่งดั้งเดิมกับนวัตกรรมใหม่จะ สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนได้หรือ ไม่ ในช่วงระยะของการเปลี่ยนผ่าน บางครั้งปัญหา ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในก็ปรากฏออกมาให้เห็น จะถือเป็น โอกาสในการสื่อสารได้ไหม? นำไปสู่ความเข้าใจเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันได้หรือไม่? เสียงสะท้อนและความเห็น ที่ต่างกันจากฝ่ายต่างๆ อาจหมายถึงการแจ้งเตือนอันจะ นำไปสู่การเรียนรู้ครั้งใหม่ก็เป็นได้
สามชุมชนดั้งเดิม ต้นกำเนิดเมืองเก่า
เมื่อเอ่ยถึงต้นกำเนิดของไทเป จะต้องนึกถึงย่านเมือง เก่าและชุมชนดั้งเดิมทั้งสามแห่ง ได้แก่ “ม่งเจี่ย” (艋舺) “ต้าเต้าเฉิง” (大稻埕) และ “เมืองไทเป” (和台北城) ซึ่งถือเป็นต้นแบบการเจริญเติบโตของกรุงไทเปนั่นเอง จุด เริ่มต้นของย่านม่งเจี่ยอยู่ที่u3619 ริมแม่น้ำตั้นสุ่ย (淡水) ในอดีต ม่งเจ่ยี เคยเป็นเมืองท่าการค้าท่มี ีความเจริญร่งุ เรืองมาก จนได้รับการยกย่องให้เป็นหน่งึ ในสามของเมืองท่มี ีความ สำคัญของเกาะไต้หวัน ถึงกับมีคำพูดเปรียบเปรยว่า
「一府、二鹿、三艋舺」 (อ่านว่า อี้ฝู่ เอ้อลู่ ซันม่ง เจี่ย) อี้ฝู่ หมายถึง เมืองไถหนาน (ปัจจุบัน คือ เขตจงซี และเขตอันผิง ในนครไถหนาน) เอ้อลู่ หมายถึง เมืองลู่กั่ง (ปัจจุบัน คือ ตำบลลู่กั่งในจังหวัดจางฮั่ว) และ ซันม่งเจี่ย หมายถึง เมืองม่งเจี่ย (ปัจจุบัน คือ เขตวั่นหัวในกรุงไทเป) เนื่องจากท่าเรือมีสภาพตื้นเขิน ประกอบกับม่งเจี่ยมักต่อ ต้านคนต่างถิ่น ทำให้ต้าเต้าเฉิงเข้ามามีบทบาทแทนที่
จุดกำเนิดของย่านเมืองเก่าต้าเต้าเฉิงเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1853 ขณะนั้นม่งเจี่ยเกิดความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ชาวติ่งเจียว (頂郊人) หรือซันอี้ (三邑) ซึ่งเป็นกลุ่มของชาวจีนที่มาจากจิ้นเจียง ฮุ่ยอัน และหนานอันของเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน กับอีกฝ่ายคือชาวเซี่ยเจียว (下郊人) กลุ่มชาวจีนที่มา จากถงอัน เมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยนเช่นกัน (เขต ถงอันปัจจุบันอยู่ในการปกครองของเมืองเซี่ยเหมิน) ชาว เซี่ยเจียวพ่ายแพ้ในการปะทะต่อสู้ในครั้งนี้ จึงถอยไปตั้งรก รากที่ต้าเต้าเฉิง ส่วนชาวติ่งเจียวยังคงยึดครองพื้นที่ย่าน ม่งเจี่ย ชาวบ้านที่อาศัยในย่านต้าเต้าเฉิง ให้การยอมรับ คนต่างถิ่u3609 นมากกว่าคนในย่านม่งเจี่ย ประกอบกับภาครัฐ เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา และการเข้ามาลงทุนของ ชาวตะวันตก ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองท่าที่มีความเจริญ รุ่งเรืองทางการค้าอย่างมาก และได้รับการยกย่องให้เป็น “ดินแดนแห่งชา”
ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นยุคที่ต้าเต้าเฉิงมีความ เฟื่องฟูเป็นอย่างมากนั้น ได้มีการสร้างถนนสายแรกของ ไทเปที่มีตึกอาคารแบบตะวันตกขึ้น มีการจัดตั้งสถาน ศึกษาหลายแห่ง อาทิ โรงเรียนซีเสวียถัง (西學堂) ซึ่ง เป็นโรงเรียนสอนเกี่ยวกับความรู้สมัยใหม่แห่งแรกของ ไต้หวันในยุคนั้น จัดตั้งโรงเรียนการไปรษณีย์โทรเลข (電報學堂) แห่งแรก สถานีรถไฟแห่งแรกของไต้หวัน และกรมการอุตสาหกรรมทหาร เพื่อผลิตและซ่อมบำรุง อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนเครื่องจักรอุปกรณ์เกี่ยวกับ การรถไฟ นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ได้ทยอยเข้ามาตั้ง สถานทูตขึ้นที่นี่เช่นกัน ในขณะนั้นต้าเต้าเฉิงมีบทบาท เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ขณะที่เมืองไทเปนับว่าเป็น ศูนย์กลางทางการปกครอง ในยุคที่ไต้หวันตกอยู่ภายใต้ การปกครองของญี่ปุ่น มีการค้าสินค้าประเภทใบชา ผ้า ฝ้าย ผ้าไหม ยาจีน รวมทั้งสินค้าอาหารแห้งต่างๆ ที่มา จากทางเหนือและใต้ของไต้หวันที่เรียกว่า “หนานเป่ยฮั่ว (南北貨)” เพิ่มมากขึ้น พ่อค้าวาณิชรายใหญ่ๆ เข้ามา ทำการค้าขายในต้าเต้าเฉิงจำนวนมาก มีการแข่งขันกัน ปลูกสร้างตึกอาคารที่งดงาม เพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็น ที่รู้จัก ญี่ปุ่นซึ่งเข้าปกครองไต้หวันในฐานะเป็นดินแดน อาณานิคม มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ในเขตเมืองหรือ ภายในกำแพงเมือง ส่วนอาณาเขตภายนอกกำแพงเมือง ซึ่งก็คือต้าเต้าเฉิงเป็นที่อยู่ของชาวจีนฮั่น การกำหนดเขต ภายในและภายนอกกำแพงเมืองดังกล่าว ก่อให้เกิดความ ขัดแย้งกันอย่างเงียบๆ
โจวอี้เฉิง (周奕成) ผู้ก่อตั้งสวนศิลปะ Art Yard (小 藝埕 เสี่ยวอี้เฉิง) มองว่า ช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันราว ทศวรรษ 1920 ต้าเต้าเฉิงเฟื่องฟูถึงขีดสุด เจี่ยงเว่ยสุ่ย (蔣渭水) นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวอี๋หลาน ได้ก่อตั้งสมาคมวัฒนธรรมไต้หวัน (台灣文化協會) ขึ้น ในต้าเต้าเฉิง และนับได้ว่าต้าเต้าเฉิงเปรียบเสมือนศูนย์ รวมของวัฒนธรรมไต้หวันและอุดมการณ์ทางการเมือง ที่มีแนวคิดทันสมัยที่สุด มีบุคคลสำคัญเข้ามาเปิดร้าน หนังสือขึ้นที่นี่หลายคน เช่น เหลียนหย่าถัง (連雅堂) นัก กวีและนักประวัติศาสตร์ชาวไถหนาน เซี่ยเสวี่ยหง (謝雪 紅) นักการเมืองชาวจางฮั่ว และเจี่ยงเว่ยชวน (蔣渭川) นักการเมืองชาวอี๋หลานซึ่งเป็นน้องชายของเจี่ยงเว่ยสุ่ย กิจกรรมและการเคลื่อนไหวต่างๆ ของสมาคมวัฒนธรรม พรรค Taiwan People’s Party (台灣民眾黨) ซึ่งเป็น พรรคการเมืองพรรคแรu3585 กของไต้หวัน ตลอดจนสหพันธ์ แรงงานไต้หวัน บุคคลเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากคนท้อง ถิ่นว่าเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตที่เปล่งประกายแวววาว ที่สุด ส่งผลให้ต้าเต้าเฉิงกลายเป็นเวทีแลกเปลี่ยนทาง ความคิดและศูนย์กลางการค้าและธุรกิจ รวมทั้งเป็นแหล่ง ชุมนุมพบปะของผู้มีความรู้ความสามารถในสาขาต่างๆ
โฉมใหม่ “เสี่ยวอี้เฉิง” สวนศิลปะ Art Yard ย่านทิศเหนือของไทเป
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่าเรือตั้นสุ่ยถูกทำลายเสีย หาย ภาพความเจริญรุ่งโรจน์ของต้าเต้าเฉิงมลายหาย ไป ผู้คนพากันอพยพย้ายออก ตึกอาคารแบบฝรั่งที่เคย สวยงามกลายเป็นตึกร้างวังเวง เป็นการปิดฉากความ รุ่งเรืองที่เคยมีในอดีต กระทั่งราวทศวรรษ 1980 และ 1990 เกิดกระแสตื่นตัวและปลุกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ เมืองเก่า ทางการไทเปขณะนั้น จึงรณรงค์ให้ชาวบ้านหัน มาร่วมกันอนุรักษ์บ้านเก่า โดยผลักดันโครงการส่งเสริม ฟื้นฟูชุมชนเมืองเก่า นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการดำเนิน กิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ถนนขายสินค้าตรุษจีนและการบูรณะฟื้นฟูบ้านเก่า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กิจกรรมบางอย่างจำกัดอยู่เพียงวง แคบๆ ในช่วงเทศกาล ทำให้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาท่อง เที่ยวในระยะเวลาอันสั้น ก่อให้เกิดความแออัดวุ่นวาย จนมีแนวโน้มว่าจะแก้ไขได้ยากลำบากในระยะยาว คน จำนวนมากกลับคิดไปว่า การบูรณะฟื้นฟูต้าเต้าเฉิงให้ กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ดูจะเป็นไปไม่ได้เสีย แล้ว
อย่างไรก็ดี สถานที่ที่มีตำนานเล่าขานก็มักเป็นที่ดึงดูด คนที่สนใจในเรื่องราวเหล่านั้น หลายปีที่ผ่านมาคนจำนวน ไม่น้อยเริ่มค้นพบว่า ต้าเต้าเฉิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ แม้จะไม่ใช่เพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว สวีอี๋หง (徐逸鴻) นักศึกษาปริญญา เอก ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิง หัวปักกิ่ง นักวาดภาพประกอบเจ้าของผลงาน “แผนที่ วัฒนธรรมต้าเต้าเฉิง” เปิดเผยว่า “เมื่อก่อนนักท่องเที่ยว หรือวัยรุ่นไม่นิยมเข้ามาเดินแถวนี้กัน ละแวกใกล้ๆ จะ ดูเงียบๆ มืดๆ วังเวงไปหมด” เขาสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา หลังจากที่มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เข้า มาเปิดร้าน เช่น สวนศิลปะ Art Yard ที่นี่จึงค่อยๆ กลับ คืนสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากบ้านหลัu3591 งหนึ่ง ขยายไป สู่ถนนทั้งสายและกลายเป็นย่านการค้า สวีอี๋หงกล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญมากคือ การเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัส กับความงดงามของบ้านเก่า จึงจะส่งเสริมให้เกิดความ ตระหนักถึงคุณค่าในประเพณีวัฒนธรรมของตนเอง”
จากร้านเล็กๆ หนึ่งร้าน สวนศิลปะ Art Yard ก็ ขยับขยายเพิ่มสาขา และมีร้านลักษณะเดียวกันเปิดขึ้น มากมาย จนกลายเป็นแหล่งของการสร้างสรรค์ทาง วัฒนธรรม เช่น ร้านหมินอี้เฉิง (民藝埕) ร้านจ้งอี้เฉิง (眾藝埕) ร้านเสวียอี้เฉิง (學藝埕) และร้านเหลียนอี้เฉิง (聯藝埕) ครอบคลุมทั้งโรงน้ำชา ร้านกาแฟ ร้านเซรามิก ร้านผ้า ร้านสินค้าพื้นเมือง ร้านหนังสือ ร้าน ผลไม้ ร้านสินค้าหัตถกรรมและโรงละครขนาดเล็ก โจวอี้ เฉิงกล่าวว่า “ในตอนแรกเริ่มจากการกำหนดว่า ควรเป็น สิ่งที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่นซึ่งมีอยู่ 5 รายการ ได้แก่ ชา ผ้า สินค้าเกษตร (ยาจีนและสินค้าอาหารแห้งจากทางเหนือ และใต้ของไต้หวัน) งิ้วหรืออุปรากรจีน (สมัยใหม่และ ดั้งเดิม) และสิ่งก่อสร้าง (ท่องเที่ยวและการออกแบบ) ที่ นจี่ ะไมม่ ธี รุ กจิ ใดทไี่ มเ่ คยปรากฏอยใู่ นตา้ เตา้ เฉงิ ในชว่ งกวา่ 150 ปีที่ผ่านมา”
ความคกึ คกั บนถนนสายวฒั นธรรมแหง่ นเี้ ปน็ ทปี่ ระจกั ษ์ ไปทั่ว ร้านดีไซน์ร่วมสมัยตั้งอยู่คู่กับร้านเก่าแก่ดั้งเดิม กลายเป็นทัศนียภาพที่แปลกตาบนถนนเก่า ที่นอกจาก จะได้รับเสียงชื่นชมแล้ว ยังดึงดูดให้ร้านค้ากลับเข้ามา เปิดร้านใหม่ และคนรุ่นลูกเองก็เต็มใจที่จะกลับมาช่วย และดูแลร้านต่อ ยกตัวอย่างถึงสิ่งที่เราสังเกตได้ การเข้า มาลงทุนเปิดร้านของผู้ประกอบการรายใหม่ กระตุ้นให้ ร้านเก่าแก่ที่ขายเครื่องจักสานหรือร้านเครื่องมืออุปกรณ์ ทางการเกษตร มีการปรับปรุงร้าน เช่น ปรับแสงสว่าง ภายในร้าน การจัดวางและการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอย ผล คือได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวu3617 มาก โดยเฉพาะนัก ท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะในสายตาของพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้คือเอกลักษณ์ความเป็นไต้หวันที่แท้จริง
โจวอี้เฉิงย้ำว่า คุณค่าของเมืองเก่าต้าเต้าเฉิง คือสถาน ที่ที่บอกเล่าเรื่องราวในยุคสมัยหนึ่ง เป็นคุณค่าทางจิต วิญญาณ คือช่วงบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความมุ่งมั่น และอุดมการณ์ เขาตั้งความหวังไว้ว่าจะสามารถสร้าง พื้นที่สาธารณะให้กับไต้หวันขึ้นมาใหม่บนถนนที่มีความ หมายที่สุดสายนี้ อาศัยการสร้างธุรกิจขนาดเล็กในการ บริหารจัดการอย่างยั่งยืน เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการ สร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมควบคู่กับคุณค่าสาธารณะ แนวคิดเช่นนี้อาจจะเกินความจริงไปบ้าง แต่กลุ่มคนที่มี อุดมการณ์เดียวกันได้มารวมตัวและพยายามร่วมกัน และ การกระทำเท่านั้นที่จะเป็นบทพิสูจน์ที่ดีที่สุด
พลิกโฉมวัฒนธรรมย่านเมืองเก่าเฉิงหนาน
ออกจากพื้นที่ต้าเต้าเฉิง เรามาพูดคุยกันต่อเรื่อง “เฉิง หนาน” (เฉิงหนานเป็นชื่อที่ใช้เรียกกรุงไทเปอย่างไม่เป็น ทางการในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน โดยหมายถึงพื้นที่ ทางตอนใต้ในเขตกำแพงเมือง) ช่วงที่ไต้หวันถูกปกครอง โดยญี่ปุ่น รัฐบาลจักรวรรดิญี่ปุ่นขณะนั้นได้วางแผน พัฒนาและวางผังเมืองอย่างมีระบบ มีการสร้างที่พัก สไตล์ญี่ปุ่น พื้นที่ริมน้ำและสวนสาธารณะ ซึ่งนอกจาก จะสร้างความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้กับชาวญ่ปี ่นุ แล้ว ยังบ่งบอกถึงร่องรอยการพัฒนาของไทเปอีกด้วย ประชาชนทอี่ าศยั ในเฉงิ หนานสว่ นใหญเ่ ปน็ ผมู้ คี วามรหู้ รอื มีอาชีพรับราชการ การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมถูก แสดงให้เห็นผ่านองค์ประกอบของเมือง สิ่งก่อสร้างย้อน ยุคที่สวยงามดึงดูดให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องหยุดมอง
อาทิเช่น “จี้โจวอัน (紀州庵)” ซึ่งเดิมเป็นร้านอาหาร ญี่ปุ่น ปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็น “Kishu An Forest of Literature” แหล่งชุมนุมทางวรรณกรรมในไทเป เพื่อ สืบทอดวิญญาณทางวัฒนธรรมของเฉิงหนานให้คงอยู่ ต่อไป “บ้านชิงเถียนชีลิ่ว (青田七六)” บ้านที่ผสม ผสานระหว่างสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นกับตะวันตกก็อยู่ใน ย่านเฉิงหนานเช่นกัน เดิมเป็นที่พักอาศัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัยหลวงไทโฮะกุ (台北帝大 : Taihoku Imperial University) ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ไต้หวัน บ้านชิงเถียนชีลิ่ว ถูกปรับเปลี่ยนเป็นu3619 ร้านอาหาร ในบรรยากาศของบ้านโบราณที่มักมีการจัดนิทรรศการ ต่างๆ เป็นประจำ ส่วน “ถนนจินหัว (金華街)” ที่อยู่ใน เขตเมืองเก่าเฉิงหนานเช่นเดียวกันนั้น เป็นถนนที่มีอาคาร บ้านเรือนแบบญี่ปุ่น ซึ่งทางเทศบาลกรุงไทเปได้วางแผน ที่จะบูรณะฟื้นฟูบ้านเก่าเหล่านี้ ให้กลายเป็นไฮไลท์ใหม่ ของการอนุรักษ์วัฒนธรรม เพื่อให้คนอีกจำนวนมากได้มี โอกาสสัมผัสและชื่นชมความงดงามของบ้านเก่า
การตกแต่งบูรณะฟื้นฟู “บ้านต้นไม้จินจิ่นติง (金錦町 樹屋)” (ชื่อชั่วคราว) มีหลิวกั๋วชัง (劉國滄) ผู้อำนวย การฝ่ายออกแบบของบริษัท Open Union Cultural & Creative Co., Ltd. (打開聯合設計) เจ้าของผล งาน “Blue Print” ในไถหนานที่มีชื่อเสียง เป็นผู้ควบคุม งาน เขากล่าวว่า อยากให้การพลิกโฉมบ้านต้นไม้ในครั้ง นี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้กับย่านถนนจินหัว ฟื้นฟูให้กลับมี ชีวิตชีวาอีกครั้ง ขอเพียงทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น และเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน ก็จะเป็นการรักษามรดก ทางวัฒนธรรมไว้ได้ทั้งหมด การออกแบบในขั้นตอนนี้ จะ เป็นการนำเอาลักษณะเดิมในแต่ละช่วงเวลามาถ่ายทอด ผ่านวิธีการที่แยบยล เพื่อให้ผู้คนมีความเข้าใจลักษณะที่ เป็นแบบอย่างของไต้หวันในแต่ละยุคสมัยมากที่สุด
สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดระหว่างการบูรณะฟื้นฟูบ้านต้น ไม้จินจิ่นติงกับอาคารสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นอื่นๆ คือการ ปลูกสร้างหอชมวิวที่ดำเนินการภายใต้การตรวจสอบ และกำกับดูแลของทางการไทเป ในอนาคตหอชมวิวแห่ง นี้จะมีลักษณะคล้ายกับนกกำลังกางปีกบินและมองออก ไปยังอาคารเก่าที่อยู่รอบบริเวณ ให้ความรู้สึกกลมกลืน ท่ามกลางต้นลำไยอยู่ภายในสวนอย่างเป็นธรรมชาติ การ ออกแบบพื้นที่ว่างขึ้นใหม่เช่นนี้ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้มีโอกาส สัมผัสและรู้จักกับบ้านเก่าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
จากเรื่องราวของย่านเก่าต้าเต้าเฉิงจนถึงย่านเก่า เฉิงหนานทำให้ค้นพบว่า เรื่องราวระหว่างคนกับกาล เวลาไม่เคยเป็นเรื่องที่เรียบง่ายธรรมดา แนวโน้มที่เกิด ขึ้นในปัจจุบันไม่ได้หมายความถึงแค่การคิดนอกกรอบ แต่ยังรวมถึงการบูรณะฟื้นฟูที่สะท้อนให้เห็นร่องรอย ทางวัฒนธรรม ภายใต้เงื่อนไขของการให้ความเคารพ ประวัติศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ต้องคำนึงถึงการผลักดันทั้ง ชุมชนในภาพรวม เป็นการเสริมสร้างการเชื่อมโยงความ สัมพันธ์ระหว่างบุคคล และไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวของบ้าน หลังหนึ่งหรือถนนสายหนึ่ง แต่หมายถึงทั้งชุมชนหรืออาจ ขยายไปสู่ชุมชนอื่นๆ ด้วยการสร้างเครือข่ายประชาคม สำหรับเป็นช่องทางการพูดคุยสื่อสารระหว่างกัน
ทั้งนี้ เพราะมีเพียงผู้คนเท่านั้นที่สามารถพลิกฟื้นความ มีชีวิตชีวาให้กับอาคารบ้านเรือนเก่า ร่วมกันอนุรักษ์ถนน เก่า พร้อมกับขีดเขียนเรื่องราวต่างๆ และถ่ายทอดผ่าน จากรุ่นสู่รุ่น พิมพ์ทับลงบนร่องรอยของกาลเวลา อาศัย ความเฉลียวฉลาดและภูมิปัญญาของคนร่นุ ก่อนเพ่อื ช่วย ให้คนรุ่นต่อไปได้มีชีวิตที่ดีขึ้น