ช่วงต้นฤดูร้อนของปี 2016 แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ภายในสวนประติมากรรมรถไฟที่อยู่ในศูนย์ศิลปะ Pier 2 Art Center กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ สื่อให้เห็นถึงความครึกครื้น กลุ่มผู้ใหญ่ต่างเดินเล่นกันอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่เด็กๆ ก็กำลังเล่นว่าวอยู่ที่สนามหญ้าอันกว้างใหญ่อย่างเพลิดเพลิน เหล่านักท่องเที่ยวที่มาจากแดนไกล ทยอยกันเข้าไปในคลังสินค้าต่างๆ เพื่อชื่นชมความงามของงานประติมากรรมโลหะที่จัดแสดงอยู่อย่างตั้งใจ
เมื่อ 30 ปีก่อน ยังไม่มีใครรู้จัก Pier-2 Art Center ซึ่งเดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงแค่คลังสินค้าที่ตั้งอยู่บริเวณท่าเทียบหมายเลข 2 ของท่าเรือหมายเลข 3 ในเขตท่าเรือเกาสง ที่ถูกปิดและทิ้งไว้จนรกร้างเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งในการจุดพลุฉลองวันชาติไต้หวันเมื่อปี 2000 ทำให้ Pier-2 แห่งนี้ ถูกจับตามองในความพิเศษของทำเลที่ตั้ง ที่แม้จะอยู่ไกล หากแต่เป็นพื้นที่กว้างซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอย่างมาก
โชคชะตาที่พลิกผันของ Pier-2 กับจุดเปลี่ยนจากพลุฉลองวันชาติ
ในขณะนั้น แนวคิดที่จะพัฒนาสวนศิลปวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์กำลังแผ่ขยายไปทั่วไต้หวัน นครเกาสงมองเห็นถึงกระแสดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง วางแผนพัฒนาพื้นที่ Pier-2 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ใหม่ และจัดให้เป็นเขตถนนคนเดินที่ผนวกรวมเอาเส้นทางจักรยานซีหลินที่ทอดไปตามแนวท่าเรือเข้าไว้ด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวชมได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มไฟถนนสำหรับให้แสงสว่างยามค่ำคืนในพื้นที่นี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยแล้ว ยังถือเป็นการเพิ่มบรรยากาศแห่งศิลปะให้อบอวลไปทั่วพื้นที่ของคลังสินค้าเก่าแก่เหล่านี้ด้วย
คุณเฉินจวี๋ (陳菊) ผู้ว่าการนครเกาสง ได้จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมขึ้นที่ Pier-2 แห่งนี้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเทศกาล Youth Innovative Design Festival, The Delight of Chinese Character Festival, Steel & Iron Art Festival, Container Arts Festival รวมไปจนถึง City Role Creative Exhibition โดยมีจุดประสงค์ที่จะให้ชาวเกาสงได้มีโอกาสสัมผัสและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่หลากหลายของศิลปะอันหลายหลากเหล่านี้
คุณเหลียงเริ่นหง (梁任宏) นักประติมากรรมโลหะเห็นว่า Pier-2 ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับให้เหล่าศิลปินทั้งหลายได้มีโอกาสแสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่ เพราะไม่เพียงแต่จะมีเนื้อที่กว้างขวาง หากแต่ยังเหมือนได้มีโอกาสทดลองไอเดียของตัวเองในสถานที่จริงๆ ด้วย เช่น งานประติมากรรมโลหะของคุณเหลียงเริ่นหงก็ได้แนวคิดจากสายลมกับทิวทัศน์ในเขตพิเศษ มารวมเข้ากับการใช้วัสดุแบบต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์แห่งพลังและเส้นแสงที่ผสมผสานเข้ากับเสียงได้อย่างลงตัว
ผู้ว่าฯ เฉินจวี๋ ก็เคยกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า นครเกาสงไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินภายในเขตพิเศษเลยแม้แต่แปลงเดียว โดยเป็นการขอเช่าจากหน่วยงานภายนอกทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าทุกฝ่ายต่างให้ความไว้วางใจการทำงานของภาครัฐในการวางแผนเพื่อพัฒนา จนทำให้ Pier-2 แปลงสภาพจากคลังสิน ค้ารกร้างที่ไม่ได้รับความสนใจจากโลกภายนอก ให้กลายมาเป็นแลนด์มาร์คที่สดใสแห่งใหม่ทางวัฒนธรรมของนครเกาสง
สามเหลี่ยมทองคำแห่งวัฒนธรรม กับการท่องเที่ยวด้วยตัวเองในนครแห่งท่าเรือ
ประชาชนทั่วไปต่างก็หลงใหลความรู้สึกของอิสรเสรีที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศอันผ่อนคลายภายในสวนศิลปะอันกว้างขวางภายในเขต Pier-2 ซึ่งกองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง ได้วางแผนจะขยายพื้นที่ของเขตพิเศษนี้ให้กว้างออกไปอีก โดยจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวให้ครอบคลุมไปถึงริมฝั่งของเส้นทางเดินเรือทะเล เลียบไปตามริมอ่าวของท่าเรือเกาสง รวมทั้งสถานกงสุลอังกฤษที่ต๋าโก่วและสวนวัฒนธรรมหงเหมากั่ง กลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวสายใหม่ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยซึ่งใช้ชื่อว่า สามเหลี่ยมทองคำสุ่ยอั้น
คุณจางพร้อมด้วยครอบครัว เป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากเขตฟ่งซานของนครเกาสง ได้ใช้เวลาในช่วงวันหยุดในการท่องเที่ยวตามเส้นทางที่กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง ได้ผลักดันสู่ตลาด นั่นก็คือการโดยสารเรือยอร์ชวัฒนธรรม ซึ่งเริ่มต้นจากบริเวณท่าเรือ ก่อนจะไปแวะเที่ยวชมตามโปรแกรมต่างๆ ทั้งการตามรอย Robert Swinhoe อดีตกงสุลใหญ่อังกฤษประจำไต้หวัน เส้นทางสามเหลี่ยมทองคำสุ่ยอั้นของเกาสง ตระเวนท่องเที่ยวในเขตท่าเรือหงเหมากั่ง รวมถึงเส้นทาง Pier-2 ñ สถานกงสุลอังกฤษ (เส้นทางสุดโรแมนติกชมอาทิตย์อัสดง) โดยเส้นทางท่องเที่ยวตามรอย Robert Swinhoe คือเส้นทางที่กงสุลอังกฤษคนแรกประจำไต้หวันได้ใช้ในการสำรวจพื้นที่แถบต๋าโก่ว ซึ่งระหว่างการล่องเรือ นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้ฟังมัคคุเทศก์อธิบายเรื่องราวต่างๆ ของนาย Swinhoe กับท่าเรือเกาสง
นอกจากนี้ เรือยอร์ชวัฒนธรรมยังมีส่วนทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่น่าสนใจ ตามเส้นทางการเยี่ยมชมวัฒนธรรมเลียบชายฝั่งคือสวนวัฒนธรรมหงเหมากั่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าท่าเรือเกาสงแห่งที่ 2 ถือเป็นท่าเรือประมงที่มีอายุยาวนานนับร้อยปี โดยภายหลังจากที่มีการโยกย้ายประชาชนในแถบหงเหมากั่งออกไปในปี 2007 กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง ได้จับมือกับสมาคมวัฒนธรรมหงเหมากั่งและการรถไฟฟ้าเกาสง ร่วมกันพัฒนาภัตตาคารหมุน 360 องศา บนหออักษรเกา ห้องนิทรรศการ โซนจัดแสดงกลางแจ้ง และทางเดินลอยฟ้า เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวย้อนเวลา และสัมผัสกับวัฒนธรรมประมงในเชิงลึกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับ 400 ปี
หัวใจแห่งวัฒนธรรม ที่สูบฉีดความมีชีวิตชีวาให้กับเหล่าคนเมือง
คุณเจิงกุ้ยไห่ (曾貴海) กรรมการมูลนิธิ Literary Taiwan ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงในพื้นที่แถบเกาสงชี้ว่า ในช่วงหลายปีมานี้ กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง ได้พยายามผลักดันและปลูกฝังแนวคิดด้านวรรณกรรมได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นโครงการอุดหนุนการประพันธ์และจัดพิมพ์วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกาสง หรือการมอบรางวัลวรรณกรรมเยาวชนดีเด่นของเกาสง ต่างก็ช่วยให้สามารถค้นพบนักประพันธ์รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพมากมาย เสมือนเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ซัดเข้ามา จนทำให้มีเลือดใหม่เข้าสู่วงการวรรณกรรมทางตอนใต้ของไต้หวันได้มากขึ้นไม่น้อย
หอสมุดประชาชนนครเกาสง หรือ Kaohsiung Main Public Library (KMPL) ซึ่งตั้งอยู่ในเขต 「Asia New Bay Area」เปรียบเสมือนเป็นหัวใจแห่งวัฒนธรรมห้องสมุดของเกาสง คุณสื่อเจ๋อ (史哲) เห็นว่า งบประมาณในการก่อสร้างหอสมุดดังกล่าวมาจากการจัดสรรของนครเกาสง กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง จึงต้องทำการบ้านหนักมาก และได้มีการเดินทางไปศึกษาดูงานจากประสบการณ์ของ 10 กว่าประเทศ เพื่อทำความเข้าใจถึงหอสมุดขนาดใหญ่ของประเทศต่างๆ จึงสามารถวางแผนการสร้างหอสมุดขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายและได้มาตรฐานระดับนานาชาติแห่งนี้ขึ้น
KMPL ได้สร้างบรรยากาศการอ่านในแบบ ในหนังสือมีคน ในคนมีหนังสือ ขึ้นมา ผู้อ่านสามารถหยิบหนังสือต่างๆ มานั่งอ่านได้ตลอดเวลา โดยภายในหอสมุดมีที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือมากกว่า 1,000 ที่นั่ง กระจายตามจุดต่างๆ เคียงข้างด้วยงานศิลปะสาธารณะที่มีประดับประดาอยู่ทั่วไป ทำให้ประชาชนสามารถเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับการดื่มด่ำความงดงามของงานศิลปะต่างๆ ช่วยให้การอ่านกลายเป็นการยกระดับสภาวะทางจิตใจของผู้คนไปในตัว และเพื่อเพิ่มความปลอดโปร่งให้กับตัวอาคาร KMPL จึงออกแบบให้เป็นอาคารแบบแขวน ด้านข้างทั้งสองข้างมีการปลูกต้นไม้ไว้มากมาย ที่ชั้น 6 ถึง ชั้น 8 มีการปลูกต้นไม้ในอาคารด้วย เพื่อต้องการแสดงให้เห็นถึงการรวมตัวกับธรรมชาติ และกลายเป็นอาคารสีเขียวอย่างเต็มตัว ทำให้ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมแห่งชาติของไต้หวันด้วย คุณสื่อเจ๋อย้ำว่า ภายใน KMPL ทุกชั้น จะมีงานศิลปะสาธารณะเป็นศูนย์กลางแห่งคุณค่า และในทุกสัปดาห์จะมีการจัดงานเสวนา รวมถึงการจัดการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมเป็นประจำด้วย เพื่อเป็นการยกระดับให้วัฒนธรรมกลายเป็นอาหารทางจิตวิญญาณชั้นเลิศในชีวิตประจำวันของชาวเกาสงทุกคน
นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการอ่านในหมู่เด็กๆ KMPL ยังจัดให้มีโซนหนังสือเด็กที่รวบรวมหนังสือจาก 14 ประเทศทั่วโลก พร้อมทั้งมีการจัดตั้งศูนย์หนังสือเด็กอาเซียนขึ้น จนทำให้พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นบริเวณที่เด็กๆ ชื่นชอบมากที่สุดด้วย
ทั้งนี้ คุณเฉินจวี๋ ผู้ว่าการนครเกาสง ก็ได้มีโครงการที่พยายามผลักดันงานวรรณกรรมออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา มีการมอบรางวัลวรรณกรรมต๋าโก่ว (Takau Literature Awards) ให้กับงานวรรณกรรมยอดเยี่ยมที่เกี่ยวข้องกับเกาสงในทุกๆ 2 ปี และหลังจากที่มีการควบรวมนครเกาสงและจังหวัดเกาสงรอบนอกเข้าไว้ด้วยกันในปี 2011 รางวัลนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นรางวัลวรรณกรรมต๋าโก่วฟ่งอี้ (Takau Fong Yi Literature Awards) โดยในเดือนธันวาคม ปี 2015 กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง ได้จัดพิมพ์หนังสือชุด มาจากแสงแดดñปากกาที่มีรสเค็ม (From the SunshineóSalty Words) ซึ่งรวบรวมผลงานของนักเขียนชาวเกาสงที่เกิดหลังปี 1960 จำนวน 30 คน มานำเสนอต่อสาธารณชนด้วย
จากเมืองสู่ภูเขาและทะเล กับอาหารโอชะทางศิลปวัฒนธรรม
คุณหลิวฟู่เหม่ย (劉富美) กรรมการบริหารศูนย์ศิลปะการแสดงแห่งชาติบอกกับเราว่า การใช้ชีวิตในเกาสงเป็นความสุขที่ไม่รู้จะหาอะไรมาเปรียบได้เลยทีเดียว ซึ่งคุณหลิวฟู่เหม่ยเสริมว่า ในช่วงหลายปีมานี้ การพัฒนาทางวัฒนธรรมของนครเกาสงเป็นไปอย่างรวดเร็ว เธอมักจะมาร่วมงานเทศกาลศิลปะผืนหญ้าเป็นประจำทุกปี ทุกคนต่างก็นั่งบนพื้นหญ้า เพื่อจะรับฟังหรือรับชมการแสดงที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติของคณะต่างๆ จากทั้งในและต่างประเทศ เหมือนกับการได้เข้าไปร่วมงานฉลองแห่งจิตวิญญาณอันงดงาม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้ด้วยวิสัยทัศน์และการผลักดันของผู้ว่าฯ เฉินจวี๋ และคุณสื่อเจ๋อ อดีตผู้อำนวยการกองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง กิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมของเกาสง ได้กระจายการจัดงานออกไปจนทั่ว ทั้งในแถบใจกลางเมืองอันคึกคัก ไปจนถึงสถานที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งกองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง ได้มีกิจกรรมดีๆ มาฝากชาวเกาสงอยู่เสมอ ในช่วงครึ่งปีแรกมีเทศกาลศิลปะฤดูใบไม้ผลิเกาสง (Kaohsiung Spring Arts Festival) ที่ถือเอาใจกลางเมืองเป็นเวทีในการแสดง ส่วนครึ่งปีหลังมีเทศกาล Jhuangtou Fringe Festival ที่ย้ายไปจัดตามสถานที่ห่างไกลความเจริญในเขตนครเกาสง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเอาศิลปะและการแสดงต่างๆ ไปแสดงอยู่ที่หน้าบ้านของทุกๆ คน
คุณเฉินจวี๋ ผู้ว่าการนครเกาสง มักจะทำตัวกลมกลืนไปยืนอยู่บนผืนหญ้าร่วมกับประชาชน เพื่อชมการแสดงในเทศกาล Kaohsiung Spring Arts Festival ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา และได้มีการเชิญคณะนักแสดงที่มีชื่อเสียงจากทั้งในและต่างประเทศมาเปิดการแสดง ทั้งที่หอจื้อเต๋อถังของศูนย์วัฒนธรรมเกาสง, ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมต้าตง, โรงละคร Pier-2 Art Center, โรงละครหอสมุดประชาชนเกาสง รวมไปจนถึงเนินสนามหญ้าหน้าหอศิลป์นครเกาสง
ส่วนเทศกาล Jhuangtou Fringe Festival จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยเป็นเทศกาลที่จะแทรกซึมไปตามตรอกซอกซอยในเขตห่างไกลของนครเกาสง เพื่อให้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด ด้วยการแสดงต่างๆ ทั้งงิ้วไต้หวัน งิ้วเหอหนาน การแสดงสำหรับเด็ก และการแสดงดนตรี ซึ่งจะแสดงเป็นประจำทุกปีแต่ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน คณะ Cloud Gate 2 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มากนั้น ได้เปิดแสดงให้คุณน้องๆ หนูๆ ได้ชมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ถือเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งศิลปวัฒนธรรมลงไปในจิตใจของเด็กๆ ที่จะเติบโตงอกงามต่อไปในอนาคตได้
Asia New Bay Area แกนวัฒนธรรมแห่งใหม่
อนาคตแห่งวัฒนธรรมของนครแห่งท่าเรือ คือพื้นที่แถบ Asia New Bay Area ที่ผู้ว่าฯ เฉินจวี๋กำลังพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ โดยพื้นที่เลียบชายฝั่งที่มีความยาวถึง 10 กิโลเมตร ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ใหม่สำหรับการพัฒนาด้านวัฒนธรรมของนครเกาสง โดยมีระบบรถไฟวงแหวนรางเบาเป็นตัวเชื่อมการคมนาคมระหว่างกัน ซึ่งการก่อสร้างในเฟส 1 เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทดลองวิ่ง
ส่วนอีกหนึ่งพิมพ์เขียวทางวัฒนธรรมขนาดใหญ่คือ เกาสงมีแผนจะพัฒนามรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น โดยที่ผ่านมาจะมีการแบ่งเขตของนครเกาสงเป็นเมืองเก่า (จั่วอิ๋ง) และเมืองใหม่ (ฟ่งซาน) ทำให้ผู้ว่าฯ เฉินจวี๋เกิดไอเดียว่า จั่วอิ๋งไม่เพียงแต่จะมีประตูเมืองเก่าแก่ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากแต่ยังมีสถานีรถไฟความเร็วสูง ทำให้มีความได้เปรียบในด้านการคมนาคม จึงมีการวางแผนจะพัฒนาพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียง ทั้งภูเขาเสอซาน กุยซาน รวมไปจนถึงบึงเหลียนฉือถัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่นับร้อยเฮกตาร์ของเขตบ้านพักพนักงานเก่าแก่ของบริษัท CPC (การปิโตรเลียมแห่งไต้หวัน)
สำหรับอีกหนึ่งโครงการที่ดำเนินไปพร้อมกันคือ การพัฒนาเขตเมืองใหม่ฟ่งซาน ซึ่งในขั้นนี้ได้มีการซ่อมแซม Fong Yi Academy จนแล้วเสร็จ และระหว่างจั่วอิ๋งกับฟ่งซาน ได้จัดให้มีรถเมล์วัฒนธรรมวิ่งรับส่งผู้โดยสารระหว่างพื้นที่ทั้งสอง ซึ่งเส้นทางวิ่งที่เชื่อมจุดหมายปลายทางทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันนี้ เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงมรดกทางวัฒนธรรมทั้งสองนี้เอาไว้
ชื่อเสียงของเกาสงดึงดูดผู้คนให้เดินทางไปเยือนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะไปซึมซับกลิ่นอายของการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ความเปลี่ยนแปลงของเกาสงทั้งทางวัตถุที่มีการสร้างสิ่งก่อสร้างทางศิลปวัฒนธรรม ไปจนถึงการผลักดันวัฒนธรรมให้ซึมลึกเข้าสู่จิตใจของผู้คน ต่างก็สามารถช่วยให้เรามองเห็นเค้าลางของความเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่อยู่อีกไม่ไกลแล้ว