รสชาติที่มีทั้งเปรี้ยวและเผ็ด ทั้งเค็มและหวาน เป็นเสน่ห์อันน่าหลงใหลของอาหารจากภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ดั่งสำนวนที่ว่า รู้เพียงผลที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของมัน เรารู้เพียงว่ามีรสชาติหลายอย่างผสมผสานกันอยู่ แต่กลับไม่เคยรู้เลยว่ารสชาติเหล่านี้มาได้อย่างไร และข้อมูลด้านนี้มีน้อยมาก จึงเกิดเป็นความรู้สึกที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่กลับไม่รู้จัก
หวังรุ่ยหมิ่น (王瑞閔) หรือที่บนโลกอินเตอร์เน็ตเรียกกันว่า “Fat-Tree” เป็นผู้เชี่ยวชาญพืชพรรณไม้เขตร้อน และมีความรู้เกี่ยวกับประวัติของพืชเหล่านี้ ทั้งผักผลไม้ สมุนไพร และเครื่องเทศ ซึ่งเป็นเหมือนตัวบทนำที่ดึงดูดให้เราไปทำความรู้จักกับอาหารบนโต๊ะ พร้อมกับความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างไต้หวันกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน
การจะพบเห็นคุณหวังรุ่ยหมิ่นท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากนัก เพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่ และมักจะสวมเสื้อเชิ้ตโปโลสีสันสดใสกับรองเท้าหนัง จึงเป็นที่สะดุดตาแม้จะอยู่ในตลาดสดก็ตาม
เรามองเห็นคนตัวสูงๆ ขายาวๆ ก้าวผ่านฝูงชน พร้อมกับโฟกัสอยู่กับการค้นหาสิ่งของที่วางจำหน่ายอยู่ตามร้านค้า คล้ายกับกำลังขุดหาสมบัติล้ำค่า หลายปีที่ผ่านมา การเดินตลาดกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขา เขามีความสนใจเรื่องราวของพืชพรรณและต้นไม้มาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมุ่งเน้นไปที่พรรณไม้เขตร้อน ดังนั้นเพื่อสร้างสวนพฤกษศาสตร์ในฝันให้สำเร็จ หลังจากที่เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทสาขาป่าไม้ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันแล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนไปประกอบอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียนจบมาเลย แต่เพื่อรายได้จำนวนมาก เขาจึงยอมเหน็ดเหนื่อยอยู่เป็นเวลานานหลายปี และนำเงินจำนวนหลายล้านเหรียญไปลงทุนกับพันธุ์ไม้หายากนานาชนิด
ผลจากความมานะอุตสาหะ ในที่สุด เขามีสวนพฤกษศาสตร์ลึกลับของตนเอง ซึ่งมีพันธุ์ไม้กว่า 800 ชนิด นอกจากซื้อพันธุ์ไม้เข้ามาปลูกอย่างต่อเนื่องแล้ว เขายังลงพื้นที่ภาคสนามสำรวจพันธุ์ไม้ ค้นหาเอกสารข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของต้นไม้ จนรู้ถึงรายละเอียดลึกลงไปถึงความเป็นมาของต้นไม้ทุกต้นด้วย
สำหรับเขาแล้ว พืชพรรณและต้นไม้ก็เป็นเสมือนส่วนเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ ความหลากหลายของพรรณไม้ในไต้หวันเกิดขึ้นจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน เช่น ชนเผ่าพื้นเมือง, ชาวดัตซ์, ผู้อพยพที่มาจากตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่, มิชชันนารี, กองกำลังจีนคณะชาติที่ถูกทิ้งไว้ตามพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมา และชาวจีนโพ้นทะเลในเมียนมา เป็นต้น แม้จะเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาในช่วงเวลาที่ต่างกัน แต่เมื่อมาถึงแผ่นดินนี้ก็เกิดการแตกหน่อหยั่งรากลึก ร่วมสร้างวิถีการดำรงชีวิตไปด้วยกัน
นักล่าพันธุ์ไม้ในตลาด
เมื่อปีค.ศ.2013 เพื่อจะตามหาสะตอ คุณหวังรุ่ยหมิ่นเริ่มมีความผูกพันกับผักผลไม้จากภูมิภาคอาเซียน และเพื่อสำรวจส่วนผสมที่หาได้ยากในตลาดทั่วไป เขาจึงก้าวเข้าไปยังศูนย์การค้าอาเซียนสแควร์ (ASEAN Square) จากอาคารร้างที่กลายเป็นแหล่งรวมตัวแห่งใหม่ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ นอกจากจะเป็นการเปิดหูเปิดตาให้กว้างขึ้นแล้ว เขายังได้พบเห็นพันธุ์พืชเขตร้อนมากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย จริงๆ แล้ว นี่ก็เหมือนกับไชน่าทาวน์หรือเอเชียซูเปอร์มาร์เก็ตของชาวจีนในต่างแดน สำหรับไว้มองหาซีอิ๊วกับอาหารแห้งที่รู้สึกโหยหา วัตถุดิบจากอาเซียนที่หาได้ยากเหล่านี้ ช่วยให้แรงงานข้ามชาติที่ต้องห่างไกลจากภูมิลำเนามาทำงาน ได้มีโอกาสปรุงอาหารที่มีรสชาติและกลิ่นไอของบ้านเกิด เพื่อบรรเทาความคิดถึงลงได้บ้าง
เริ่มต้นจากศูนย์การค้าอาเซียนสแควร์ เขาได้กำหนดเป้าหมายเป็นชุมชนของกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ตั้งแต่ภาคเหนืออย่างกงก่วน ย่านมะนิลาบนถนนจงซันเป่ยลู่ในกรุงไทเป จนถึงใต้สุดที่ชุมชนซิ่นกั๋ว ตำบลหลีกั่งในเมืองผิงตง เวลาว่างของเขาถูกใช้ไปกับการเดินตลาดสดในพื้นที่ต่างๆ เพื่อค้นหา ทำความรู้จัก สำรวจ พืชผักผลไม้และเครื่องเทศหน้าตาแปลกๆ จากภูมิภาคอาเซียน เขาบอกว่า “ถึงแม้ว่ามันจะกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว ก็ยังอยากที่จะทำความรู้จักกับมันให้ได้”
พฤกษศาสตร์บนแผงขายผักในตลาดสด
ศูนย์การค้าอาเซียนสแควร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของคุณหวังรุ่ยหมิ่นเป็นสถานที่ที่เขาเดินทางไปบ่อยที่สุด บางครั้งใน 1 สัปดาห์ ไปเยือนที่นี่ถึง 5 วัน ถ้านับแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาไปที่นั่นแล้วกว่า 500 ครั้ง
ศูนย์การค้าสไตล์อาเซียนขนาดใหญ่ที่สุดในไต้หวันแห่งนี้ นอกจากแรงงานข้ามชาติจำนวนเกือบ 200,000 คนในนครไทจงแล้ว เมืองเหมียวลี่ จางฮั่ว และหนานโถว คือกลุ่มผู้บริโภคหลักของที่นี่ จากประมาณการของกองพัฒนาเศรษฐกิจ นครไทจง มูลค่าการบริโภคของศูนย์การค้าแห่งนี้สูงถึงเดือนละ 120 ล้านเหรียญไต้หวันทีเดียว
แผงขายผักบนถนนเฉิงกงลู่ ข้างๆ อาเซียนสแควร์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกับสถานที่แห่งนี้
แม้สถานที่แห่งนี้จะมีร้านค้ามากมาย แต่แผงขายผักใหญ่ที่สุดตั้งอยู่บนถนนเฉิงกงลู่ ซึ่งมีเจ้าของร้านเป็นคนไต้หวันที่เกิดและเติบโตในพื้นที่นี้ โดยมีภรรยาเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวกัมพูชา และลูกจ้างที่มาช่วยขายของในร้านก็มาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในวันธรรมดาลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่ก็มีบางส่วนเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารอาเซียน แม้ราคาผักจะไม่ถูก เริ่มต้นที่กำละ 30-50 เหรียญไต้หวัน แต่ก็มีลูกค้าเดินเข้าออกร้านอยู่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เมื่อมองลึกลงไปที่แผงขายผักซึ่งเต็มไปด้วยสีเขียว นอกจากผักบุ้งและใบโหระพาที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไปแล้ว อื่นๆ ที่เหลือเป็นผักที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่กี่วันหลังจากพายุไต้ฝุ่นพัดผ่านไต้หวัน ภาคกลางและภาคใต้มีฝนตกหนักติดต่อกัน ผักผลไม้ที่วางขายอยู่ตามตลาดทั่วไปมีสภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ที่นี่กลับมีผักจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางชนิดที่ทนน้ำ ยังคงมีสภาพสวยงามวางจำหน่ายอยู่
หลังจากฟังคำอธิบายจากคุณหวังรุ่ยหมิ่นทำให้พวกเราค่อยๆ แบ่งแยกผักเหล่านี้ได้ชัดเจนมากขึ้น นอกจากผักที่พบเห็นได้บ่อยๆ บนแผงอย่างใบสะระแหน่, งาขี้ม่อน และข่าแล้ว ยังมีมะกอก, หัวปลี, และเงาะ เป็นต้น ซึ่งนอกจากผักผลไม้แล้ว พืชสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบในเมนูอาหารอาเซียน อย่างเช่น ผักแพว, ใบสะระแหน่เวียดนาม ฯลฯ ก็มีวางจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
จนถึงเวลานี้ พวกเราจึงได้ทราบว่าผักบุ้งที่เพาะปลูกกันในช่วงฤดูร้อนของไต้หวัน ที่แท้มีต้นกำเนิดมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเมนูอาหารอาเซียน อาทิ กะหรี่, หลักซา, กะเพรา ที่จริงแล้วเป็นชื่อของพืชผักนั่นเอง
หลากหลายรสชาติ รวมอยู่ที่อาเซียนสแควร์แห่งเดียว
เนื่องจากบ้านเกิดของภรรยาเจ้าของร้านคือประเทศกัมพูชา ซึ่งอาหารของกัมพูชาจะมีความคล้ายคลึงกับอาหารเวียดนาม ทำให้ผักที่จำหน่ายอยู่ในร้านส่วนใหญ่ค่อนข้างเหมาะแก่การนำไปใช้ปรุงอาหารเวียดนามมากกว่า แต่หากจะหาวัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงอาหารไทยอย่างใบกะเพราหรือมะเขือเปราะ ก็จำเป็นต้องไปหาที่ร้านขายของไทยซึ่งอยู่บริเวณชั้น 1 ของอาเซียนสแควร์ ขณะที่สะตอซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงอาหารอินโดนีเซีย ก็สามารถหาได้จากตู้แช่เย็นของซูเปอร์มาร์เก็ตที่ตั้งอยู่ภายในตัวห้างอาเซียนสแควร์
10 ประเทศในอาเซียน อาหารการกินจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน เมื่อนำไปปรุงอาหารของแต่ละประเทศก็จะกลายเป็นเมนูที่แตกต่างกันออกไป คุณหวังรุ่ยหมิ่นกล่าวยกตัวอย่างว่า มะเขือเปราะลูกเล็กๆ ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ สำหรับคนไทยจะนำไปรับประทานแบบสด หรือใส่ลงไปในยำสลัดต่างๆ ส่วนคนเวียดนามจะนำไปดอง แต่สำหรับคนเมียนมาจะผสมลงไปในเมนูแกงกะหรี่
ในความเหมือนบนความต่างก็คือ อากาศที่ร้อนอบอ้าวไปทั่วทุกแห่งหน เพื่อจะกระตุ้นให้เจริญอาหาร ทำให้อาหารอาเซียนส่วนใหญ่มีรสชาติเค็มหวานจัดจ้าน และปรุงด้วยสมุนไพรเครื่องเทศอีกมากมาย ก็เหมือนกับความเชื่อของชาวจีนในช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ที่ต้องดื่มเหล้าสงหวงและนำเอาโกฐจุฬาลัมพาจีนไปแขวนไว้ที่ประตูบ้าน สำหรับขจัดความร้อนและขับไล่แมลง
จากการรับประทานอาหาร ไปสู่การทำความรู้จักกับภูมิภาคอาเซียนเชิงลึก
แม้จะแยกแยะภาษาไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือฟิลิปปินส์ไม่ออกก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ง่ายที่สุดคือเริ่มจากอาหารการกิน คุณหวังรุ่ยหมิ่นที่เคยประกอบอาชีพเป็นนายหน้าขายบ้านมาก่อนพบว่า หากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คนมากขึ้น สามารถเริ่มต้นได้จากการรับประทานอาหารหรือพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวของอาหารการกิน
ศูนย์การค้าแห่งนี้มีร้านอาหารน้อยใหญ่ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก มีเมนูหลากหลายให้เลือกสรร ร้านอาหารส่วนใหญ่คือร้านเวียดนามและไทย แต่ก็มี 2-3 ร้านที่เป็นร้านอาหารฟิลิปปินส์ โดยจะตั้งอยู่ที่ชั้น 2 กับชั้น 3 เป็นหลัก ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จึงต้องปฏิบัติตามหลักมาตรฐานอาหารฮาลาลอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาหารปนเปื้อน ร้านอาหารส่วนใหญ่จึงตั้งอยู่รอบนอกของศูนย์การค้าอาเซียนสแควร์
คุณหวังรุ่ยหมิ่นบอกว่า ผมไม่เพียงชอบพืชผัก แต่ยังชอบรับประทานพวกมันด้วย เขาจึงเคยรับประทานอาหารของทุกร้าน และยังพาพวกเราไปทำความรู้จักกับรสชาติอันน่าอัศจรรย์ที่อยู่ในเมนูสะเต๊ะอินโดนิเซีย, ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม รวมถึงกะเพราหมูกับต้มยำกุ้งของไทยด้วย
การค่อยๆ ทำความรู้จักอาหารอาเซียนโดยเริ่มต้นจากพืชผักชนิดต่างๆ ยืนยันว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุด เมนูซุปเนื้ออินโดนีเซีย (Rawon) ซึ่งมีน้ำซุปเป็นสีดำนั้น ได้มาจากเมล็ดถั่วสีดำของอินโดนีเซีย หรือสีเขียวของขนมหวานก็ได้มาจากใบเตย มีทั้งมะพร้าวขูดโรยหน้า และไส้ที่ทำจากน้ำกะทิอยู่ภายในด้วย ต่อมาเป็นเมนูขนมหวานเย็นๆ ที่มีสีสันสดใส โดยสีของขนมเกิดจากการผสมกันของมันม่วง, ลูกชิด, กล้วยหอม และวุ้นกะทิ ยังมีผัดกะเพราหมูที่ใช้ใบกะเพราจริงๆ ลงไปผัดด้วย อีกหนึ่งไฮไลท์คือเมนูบั๊ญแส่ว (Bánh xèo) หรือที่คนไทยเรียกกันว่าขนมเบื้องญวน สีเหลืองของแผ่นขนมเบื้องได้มาจากขมิ้น ส่วนไส้ข้างในนอกจากมีถั่วงอกแล้ว ยังมีงาขี้ม่อนกับใบสะระแหน่เวียดนาม ซึ่งเป็นกลิ่นของสมุนไพรเครื่องเทศที่พวกเราไม่ค่อยคุ้นเคย
แต่ก็ใช่ว่าผักผลไม้อาเซียนทั้งหมดที่เราเพิ่งพบเจอครั้งแรกที่นี่ อย่างเช่นผักบุ้งที่เราพบเห็นกันทั่วไป ก็มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียอาคเนย์ แต่เมื่อนำมาเพาะปลูกในไต้หวันเป็นเวลานาน ก็เลยทำให้ผักชนิดนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไต้หวันไปเสียแล้ว เกษตรกรไต้หวันจำนวนมากเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่นำสายพันธุ์มาจากประเทศเขตร้อน อย่างเช่น มะม่วง ก็เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย แต่ชาวดัตซ์ได้นำสายพันธุ์จากหมู่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซียมาปลูกที่ไต้หวัน
ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราไม่กล้าหยุดอยู่กับที่เท่านั้น ที่แท้ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะประกาศผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่ ไต้หวันกับภูมิภาคอาเซียนมีการหลอมรวมด้านวัฒนธรรมมาแล้วอย่างเงียบๆ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนก้าวข้ามคำว่าความคุ้นเคย และยอมรับในความหลากหลาย รวมทั้งหาโอกาสไปเดินที่ศูนย์การค้าอาเซียนสแควร์ เพื่อเปิดประสาทสัมผัสของการผจญภัยผ่านทางปลายลิ้น