พยายามสุดกำลังในสนามแข่งของตัวเอง
ความพยายามในสนามแข่งขันของตัวเอง ส่งผลให้ในปีค.ศ.2018 หวังฉีหลินและเฉินหงหลินคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขัน BWF World Championships มาครอง พร้อมกับการขึ้นไปเป็นชายคู่มือวางอันดับ 4 ของโลก ขณะที่หลี่หยางและหลี่เจ๋อฮุยก็สามารถคว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ (Asian Games) ซึ่งทั้งสองคนมีอันดับสูงสุดในระดับโลกอยู่ที่อันดับ 7 โดยในปีนั้นทั้งสองฝ่ายต่างไม่เพียงไปถึงยังจุดสูงสุดของตัวเอง แต่ยังเป็นปีแห่งความพลิกผันด้วยเช่นกัน
ช่วงปลายปีค.ศ.2018 นักกีฬาแบดมินตันฝีมือดีล้วนต้องพยายามเก็บสะสมคะแนนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แต่ตอนนั้นเฉินหงหลิน วัย 32 ปี ซึ่งมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังบริเวณช่วงไหล่ถึงต้นคอ เขารู้ตัวเองดีว่าไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน จึงคิดว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะคว้าเหรียญรางวัลในการแข่งขันโอลิมปิก ดังนั้นหลังจากที่ได้ปรึกษากับหลี่ซงหย่วนแล้ว จึงหันไปทาบทามหลี่หยางที่สังกัดอยู่กับทีมสโมสร Taiwan Cooperative Bank เฉินหงหลินวิเคราะห์ว่า หวังฉีหลินมีความสามารถในการบุกจากท้ายคอร์ทได้ดี ส่วนหลี่หยางก็มีทักษะที่ดีในการเล่นหน้าเน็ต ดังนั้นการเล่นของทั้งสองคนจึงเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน แม้ว่าการเกษียณก่อนจะทำให้เงินโบนัสลดลงและมีรายได้น้อยลง แต่เฉินหงหลินกลับคิดว่า “ถ้าสองคนนั้นจับคู่กันแล้วดีขึ้นกว่าเดิม ทำไมจะไม่ทำล่ะ?” ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจละทิ้งเส้นทางนักกีฬาที่จะมุ่งสู่การแข่งขันโอลิมปิก และเกษียณตนเองด้วยใจเด็ดเดี่ยวโดยไม่มีความรู้สึกเสียดายเลยแม้แต่นิดเดียว
ภายใต้การชักนำของเฉินหงหลิน ทีมแบดมินตันจึงเริ่มทาบทามหลี่หยาง แต่สำหรับหลี่หยางแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในการตัดสินใจ เพราะนั่นหมายความว่าเขาต้องเดินออกมาจากทีมแบดมินตันและคู่ตีที่เติบโตบนเส้นทางสายนี้มาด้วยกัน อันดับโลกและคะแนนสะสมทั้งหมดก็จะกลายเป็นศูนย์ ทั้งยังต้องลาออกจากการเป็นพนักงานของ Taiwan Cooperative Bank เพื่อเข้ามาทำการสอบคัดเลือกใหม่ที่ Land Bank of Taiwan โดยไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่า การจับคู่ระหว่างเขากับหวังฉีหลินจะสามารถทำผลงานได้เจิดจรัสแค่ไหน หลี่หยางกล่าวว่า ตอนนั้นต้องแบกรับความไม่แน่นอนและการถูกมองในแง่ลบอย่างมากมาย สำหรับผู้ที่เดินบนเส้นทางสายนี้ด้วยความระมัดระวังมาโดยตลอดแบบเขา ต้องใช้เวลาพิจารณาอยู่นาน 2 เดือน กว่าที่จะตัดสินใจก้าวออกมาจากคอมฟอร์ทโซน เพื่อความก้าวหน้าครั้งสำคัญและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
การรวมตัวที่ให้กำเนิดเหรียญทองโอลิมปิก
เฉินหงหลินซึ่งคุ้นเคยกับแนวทางการเล่นของนักกีฬาทั้งสองคนเป็นอย่างดี จึงเข้ามารับหน้าที่เป็นโค้ชฝึกสอน และเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จของหวังฉีหลินกับหลี่หยาง หลี่ซงหย่วนกล่าวว่า เฉินหงหลินเพิ่งเสร็จสิ้นการแข่งขัน BWF World Championships จึงเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุด มีความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ของผู้เล่นต่างชาติ ใช้ประสบการณ์ของตนเองในการฝึกสอนหวังฉีหลินกับหลี่หยาง และการที่เฉินหงหลินยังคงลงแข่งขันในสนามจริง ก็ถือเป็นคู่ซ้อมที่ดีที่สุดด้วย ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาเป็นนักกีฬาแบดมินตันไต้หวันคนแรกที่ติดท็อปเทนของโลกในประเภทชายคู่และคู่ผสม ดังนั้นหวังฉีหลินกับหลี่หยางจึงให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ในสนามแข่งขันเฉินหงหลินมีความใจเย็นและวิเคราะห์เกมการเล่นได้อย่างแม่นยำ มีการให้คำแนะนำและกลยุทธ์ในการต่อสู้ ถือเป็นพลังอันเข้มแข็งที่สร้างความมั่นใจให้กับหวังฉีหลินและหลี่หยางระหว่างทำการแข่งขันด้วย
การแข่งขันแบดมินตันประเภทคู่ที่ดี จำเป็นต้องมีความเข้าใจในสถานการณ์ของคู่หูของเราอยู่เสมอ เพื่อนำมาปรับให้เกิดความสมดุล หวังฉีหลินกล่าวว่า ทั้งสองคนต้องสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา เมื่อพบจุดที่เป็นปัญหาก็ต้องพูดออกมา ข้อพิพาทหรือความขัดแย้งล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น เพราะพวกเราล้วนต่างคิดหาวิธีที่จะทำทุกอย่างให้ดียิ่งขึ้นไปด้วยกัน
บางทีอาจเป็นเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน จึงมีความเชื่อมั่นว่าคู่ของเราจะพยายามอย่างเต็มที่จนถึงลูกสุดท้าย และนั่นก็ทำให้หวังฉีหลินกับหลี่หยางเข้าอกเข้าใจกันไปโดยปริยาย เดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ.2019 ทั้งสองเปิดตัวในการแข่งขันระดับสากลครั้งแรก โดยคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน Spain Masters Tournament มาครอง หลังจากนั้นยังเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการแข่งขันระดับ BWF Super Series ที่สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ด้วย
ในช่วงต้นปีค.ศ.2020 หลังจากทำการแข่งขันระดับ BWF World Tour ไปได้ไม่กี่สนาม การจัดแข่งขันในระดับนานาชาติก็ต้องหยุดชะงัก เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 หวังฉีหลินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า นั่นกลับทำให้พวกเขามีเวลาในการฝึกซ้อมวิ่งสลับหมุนเวียนรับลูกและเทคนิคการเล่นที่เข้าขากันมากขึ้น ขณะที่หลี่หยางกล่าวว่า ช่วงต้นปีนี้เราลงแข่งขันใน 3 รายการ และสามารถเอาชนะติดต่อกันมาได้ถึง 15 นัด พวกเรารู้สึกว่าเหมือนจะมาถูกทางแล้ว เป็นส่วนผสมที่มีความลงตัวพอดี
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ การจับคู่กันที่เอาชนะมาทุกสนามอย่างหวังฉีหลินและหลี่หยาง ปรากฏว่าต้องพบกับความพ่ายแพ้ในการแข่งขันแบดมินตันรอบแบ่งกลุ่มในกีฬาโอลิมปิกสนามแรก
สักขีพยานแห่งสปิริตของไต้หวัน
หลี่หยางกล่าวว่า เมื่อปีค.ศ.2017 ชายคู่ไต้หวันเคยมีคะแนนติดอยู่ในมือวาง 10 อันดับแรกของโลกพร้อมกันทีเดียวถึง 3 กลุ่ม แต่ผลงานดังกล่าวไม่มีใครในไต้หวันรับรู้ ทั้งหวังฉีหลินและหลี่หยางจึงจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในการทำให้แบดมินตันประเภทชายคู่กลายเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้พวกเขามีความกดดันว่าตนเองจะแพ้ไม่ได้ บวกกับความเครียดในการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรก ก็ทำให้พ่ายแพ้ต่ออินเดียในรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกไปอย่างน่าเสียดาย
แต่การจะเป็นนักกีฬาที่ดีได้ต้องมีสปิริตและจิตใจที่แข็งแกร่ง ทั้งคู่จึงรีบจัดการปรับทัศนคติของตนเองอย่างรวดเร็ว หลี่หยางกล่าวว่า แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่สิ่งที่เราทำได้คือการมองในแง่บวกด้วยทัศนคติที่ดี และจะต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ดังนั้น ทั้งสองคนซึ่งตกอยู่ในภาวะหมดทางถอย ต้องเดินหน้าสู้ตายอย่างเดียว โดยตัดสินใจว่าจะสนุกกับการแข่งขันในทุกแมตซ์ที่เหลือ และจะคว้าทุกโอกาสเอาไว้ให้ได้ หวังฉีหลินและหลี่หยางได้เข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาต้องพบกับทีมแบดมินตันจากจีนคือ หลี่จวิ้นฮุ่ย (李俊慧) กับ หลิวอวี่เฉิน (劉雨辰) ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เคยประมือกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ก็ไม่กลัวแม้เกมแรกจะถูกคู่แข่งออกนำไปก่อน ความเป็นทีมเวิร์คที่ยอดเยี่ยมและความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำให้พวกเขาแสดงฝีไม้ลายมือได้อย่างน่าอัศจรรย์และต้านทานแรงกดดันจนเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ ส่งผลให้หวังฉีหลินกับหลี่หยางชนะการแข่งขันในโตเกียวโอลิมปิก 5 แมตซ์ติดต่อกัน และคว้ารางวัลเหรียญทองโอลิมปิกแบดมินตันชายคู่มาให้ไต้หวันได้เป็นครั้งแรก
สำหรับทั้ง 3 คน หลี่หยาง หวังฉีหลิน และเฉินหงหลิน พวกเขามองว่าโอลิมปิกเป็นเพียงสนามหนึ่งของการแข่งขันเท่านั้น หลังเสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้วก็ต้องกลับมาฝึกซ้อมต่อ เพื่อทำหน้าที่ของการเป็นนักกีฬาที่ดี ยึดเอาความตั้งใจเดิมคือความรักในกีฬาแบดมินตันให้คงอยู่ตลอดไป พวกเขาไม่เพียงทำให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของแบดมินตันไต้หวัน แต่ความพยายามอย่างเต็มที่ในการเล่นทุกลูกและต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย ยิ่งแสดงถึงจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยมของไต้หวันอย่างแท้จริง