ช่วงเช้าเวลา 06.52 น. รถไฟเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ... ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าได้แล่นเข้าไปในท้องวาฬ เดิมทีเสียง ของล้อรถไฟ และรางรถไฟที่ขับเคลื่อนกระทบกันเป็น จังหวะๆ สอดคล้องกัน เหมือนกับการสนทนาที่รู้ใจกัน เป็นอย่างดี ได้เปลี่ยนเป็นการเร่งความเร็วมุดเข้าไปใน อุโมงค์รถไฟลอดภูเขา
เสียงบรรยายที่อบอุ่นนิ่มนวลของหลีไป่เหวิน เจ้าของ บทประพันธ์ “เสียงของแผ่นดิน” ประกอบกับเสียงรถไฟ ที่วิ่งผ่านบนรางเหล็ก เสียงสัญญาณเปิดปิดประตู เสียงฉีกตั๋วและเรียกเก็บตัวที่ดังออกมาจาก ลำโพง เหล่านี้คือตราประทับของเสียงที่เธอ ค้นพบจากเมืองไถอัน นครไทจง การตระเวน เดินทางไปตามตำบลไถซีและเอ้อหลุนรวมถึง หมู่บ้านและตำบลต่างๆ กว่า 100 แห่งใน เมืองหยุนหลิน ทำให้หลีไป่เหวินเก็บรวบรวม เสียงได้หลายร้อยประเภท เป็นเรื่องราวของ เสียงและถือเป็นการบันทึกเสียงของผู้คนกับ ผืนแผ่นดินด้วย
เดินเท้าทั่วไต้หวัน ค้นหา เสียงประจำท้องถิ่น
ตามหาเสียงได้จากที่ไหน? หลีไป่เหวิน ผู้เคยเป็นวิศวกรเสียง นักแต่งเสียง ประกอบเกม ที่ฟังเสียงมาแล้วนับ ไม่ถ้วนกล่าวว่า อยากจะหาเจอ เสียงที่ดี ต้องชะลอจังหวะชีวิต ให้ช้าลงเพื่อรอคอย แล้วจะ มี “เสียงจากนอกเครื่องสาย” เล็ดลอดผ่านเข้ามาหาเรา เอง เสียงรถแทรกเตอร์หรือควายเหล็ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แทนความขยันอดทนของชาวฮากกา คือเสียงอันมี เอกลักษณ์เฉพาะที่หลีไป่เหวิน ค้นพบ
การเดินทางครั้งนี้ เดิมทีหลีไป่เหวิน ตั้งใจว่าจะขึ้นไป บนภูเขาหลีซัน เพื่อบันทึกเสียงร้องของนกนางแอ่น ซึ่ง จะมีเฉพาะบนเขาเท่านั้น การเดินทางครั้งแรกด้วยรถ มอเตอร์ไซค์แบบมีเกียร์ขึ้นไปบนภูเขา ทำให้หลีไป่เหวิน รู้สึกกังวล เจออุปสรรคมากมายตลอดการเดินทาง กว่า จะถึงบ้านเพื่อนที่ยืมเป็นที่พักค้างคืนก็เป็นช่วงกลางดึก แล้ว หลีไป่เหวินทั้งเหนื่อยและหนาว ในใจลึกๆ คิดว่าไม่ น่ามาเลย ในยามนี้ ทำไมไม่นอนอยู่ที่บ้านตัวเองอันแสน อบอุ่นเล่า?
ช่วงเช้าฟ้ายังไม่สาง เธอแบกอุปกรณ์บันทึกเสียง ไปรอนกนางแอ่นที่จะตื่นขึ้นมา ช่วงเช้ามืดป่าไม้บน ภูเขามีหมอกปกคลุม เงาสลัวของพุ่มไม้ปรากฏอยู่เบื้อง หน้า เสียงร้องของนกนางแอ่นเริ่มจากเบาๆ ค่อยๆ ดัง ขึ้น จนก้องกังวานไปรอบภูเขา กาและสุนัขตื่นขึ้นมา พร้อมกัน เสียงที่ถ่ายทอดมาถึงหู ยังมีเสียงของชาว บ้านที่ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางไปยังฟาร์มเกษตร และ เสียงรถแทรกเตอร์สำหรับใช้ขนส่งสาลี่ ทันใดนั้น ความ
เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความรู้สึกลังเลในการมาที่ นี่ ก็ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น ในใจของเธอคิดว่า “ อ้า! นี่ แหละคือเสียงของภูเขาหลีซันอย่างแท้จริง”
ตลอดทางจะมีเสียงจากชุมชนกระทบผ่านเข้าหูให้ ได้ยินตลอด หมู่บ้านหย่งติ้ง ตำบลเอ้อหลุน เมืองหยุน หลิน ซึ่งก็เป็นเหมือนหมู่บ้านเกษตรกรรมทั่วไปที่พบเห็น ได้ในไต้หวัน เป็นเพราะช่วงฤดูร้อนเมื่อปี ค.ศ.2012 คุณ หลีไป่เหวินมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือน จึงทำให้เธอได้พบเจอ กับเสียงที่ยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน
เสยี งสญั ญาณจากบานประตมู งุ้ ลวดของสถานตี ำรวจ หย่งติ้ง เสียงกบร้องในท้องนา ยังมีเสียงตะโกนเรียกขาย ของยามราตรี รวมไปถึงการทดลองปล่อยเสียงสัญญาณ เตือนภัยทางอากาศในทุกๆ วัน..... เหล่านี้ล้วนเป็นเสียง แห่งความประทับใจที่หลีไป่เหวินบันทึกได้จากการใช้ เวลาไม่กี่วันไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหย่งติ้ง
การที่หลีไป่เหวินควบมอเตอร์ไซค์ไปยังหมู่บ้านเล็กที่ไม่คุ้นชินทั้งกับ ผู้คนและสถานที่ ทำให้ด้านหนึ่งต้องค้นหาเสียง ส่วนอีกด้านก็ต้องใช้ สายตามองหาแหล่งที่พักที่เหมาะสม มองหาอยู่นานกว่าจะเจอวัดแห่ง หนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธ หลีไป่เหวินจึงเลี้ยวไปยังสถานีตำรวจเผื่อโชคดี ได้ที่พัก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแสนใจดีบอกกับเธอว่า ด้านหลังมีสำนักสอน ยูโดอยู่แห่งหนึ่ง ให้ลองไปถามๆ ดู เผื่อจะให้พักอาศัยได้
จากที่คิดว่ามีเพียงเสียงแมลง เสียงกบ กับเสียงลมพัดโชยอันบริสุทธิ์ เรียบง่ายของชนบท แต่ด้วยความกระตือรือร้นในการช่วยเหลือของเจ้า หน้าที่ตำรวจ จึงทำให้หลีไป่เหวินได้ทำการบันทึกเสียงที่หาฟังได้ยาก ของสถานีตำรวจทั้งเสียงเครื่องรับส่งวิทยุ และเสียงสัญญาณเตือนจาก คลังเก็บอาวุธปืน เป็นต้น ความบังเอิญจริงๆ ที่ทำให้เครื่องบันทึกเสียง แบบจักรกลที่น่าเบื่อหน่าย กลับกลายเป็นนุ่มนวล ไพเราะและอบอุ่น อย่างแท้จริง
ได้ยินเสียงของไต้หวัน ได้ยินเสียงของตนเอง
เผิงหู เหม่ยหนง ผูหลี่.... เป็นเสียงไพเราะเสนาะหูที่สุดจากหมู่บ้านกว่า 100 แห่งที่หลีไป่เหวินได้ทำการบันทึกเก็บไว้ แม้ระหว่างการทำงานจะ เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เธอก็ยังไม่ย่อท้อ เพราะต้องการทำตาม ปณิธานที่ตั้งไว้แต่เดิมว่า จะทำหน้าที่เป็น "สุนัขนำทาง" ให้กับผู้พิการ ทางสายตา
ในปีค.ศ.2009 สมัยที่ยังเป็นวิศวกรเสียงอยู่นั้น เนื่องจากหลีไป่เหวิน ทำงานหนักเกินเวลาทุกวันและใช้สายตามากเกินไป ทำให้มีอาการ สายตาพร่ามัวเฉียบพลันจึงไปพบทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผน ปัจจุบันแต่ก็ยังไม่สามารถหาสาเหตุของอาการป่วยได้ หน้าที่การงานที่ กำลังเข้ารูปเข้ารอยต้องหยุดชะงักลง ในช่วงเวลาดังกล่าว หลีไป่เหวิน รู้สึกจิตใจหดหู่และซึมเศร้า การที่ตนเองตกอยู่ในสภาวะใกล้จะตาบอด ยิ่งทำให้เธอเข้าใจถึงสถานการณ์ของคนตาบอดมากขึ้น ในเวลานั้น เอง เธอจึงแอบตั้งปณิธานไว้ว่า จะต้องเดินทางรอบไต้หวันเพื่อบันทึก เสียงสร้างเป็นเรื่องราวต่างๆ ให้กับเพื่อนผู้พิการทางสายตา ได้สัมผัสถึง ความรู้สึกของการเดินทางท่องเที่ยวผ่านเสียงเหล่านั้น
การกลับมาทำงานอีกครั้งหลังจากหยุดพักฟื้นชั่วคราว กลับทำให้เธอ รู้สึกว่างานที่ทำอยู่ช่างวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ความคิดที่เคย เลือนรางหายไปกลับย้อนคืนมาในจิตใจของเธออีกครั้ง หลีไป่เหวินตัดสิน ใจปล่อยวางทุกอย่างและลาออกจากงาน พกเงินติดตัวไว้เป็นค่าใช้จ่าย เล็กๆ น้อยๆ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว จากนั้นจึงขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ พร้อมพกหูฟัง อุปกรณ์บันทึกเสียง และกระเป๋าเดินทางแบบง่ายๆ แล้ว ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ
ในปีค.ศ.2013 หลีไป่เหวินได้นำเสียงที่เก็บรวบรวมไว้ มาสร้างเป็นผลงานชื่อว่า “พลังเสียงของไต้หวัน ไม่มี ระยะห่างในการรับฟัง” การทดลองเปิดตัวผลงานชิ้น แรกถูกนำเสนอเข้าชิงรางวัลระฆังทองคำ (Golden Bell Award) สาขาเสียงประกอบยอดเยี่ยม หลีไป่เหวิน นำรางวัลไปวางตั้งบนโต๊ะทำงานในจุดโดดเด่นที่สุด เพื่อ เป็นการเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า คำชื่นชมไม่ใช่เรื่องที่จะ ได้รับมาง่ายๆ
หลีไป่เหวินในวัย 39 ปี ดื้อและชอบเล่นสนุกสนานแบบ นอกกรอบมาตั้งแต่เด็กๆ การปฏิบัติอยู่ในกรอบตามกฎ เกณฑ์จึงมักจะไม่ปรากฏให้เห็นในตัวเธอเท่าไรนัก เส้น ทางการศึกษาก็ลุ่มๆ ดอนๆ เริ่มแรกเป็นเพราะฐานะ ทางการเงินในครอบครัว หลีไป่เหวินจึงเลิกล้มแผนการที่ จะสอบเข้าเรียนด้านการออกแบบ และเข้าศึกษาต่อใน มหาวิทยาเทคโนโลยีเจี้ยนกั๋ว (Chienkuo Technology University) ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งหลังจากเรียน ไปเพียงไม่กี่เดือนก็เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน จึง ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจิ่งเหวิน (Jinwen University of Science and Technology) ในสาขา นิเทศศิลป์ ซึ่งก็ถือว่าขยับเข้ามาใกล้การออกแบบตาม ความชื่นชอบมากที่สุด แต่เพราะไม่ค่อยไปเข้าร่วมการ ฝึกฝนตามวิชาที่เรียน ทำให้หลีไป่เหวินต้องใช้ความ พยายามในการศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก ไม่แพ้การเรียน ในสาขาเดิม
โปรเจคก่อนจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี หลิ่งตง (Ling Tung University) ในสาขาดิจิทัลมีเดีย ถือเป็นครั้งแรกที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับ “เสียง” นอกจาก นี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ ในการสร้างสรรค์ผลงาน เนื่องจากต้องส่งผลงานก่อน จบการศึกษา เพื่อนนักศึกษาที่มีภูมิหลังและความชอบ คล้ายคลึงกันซึ่งปกติจะรวมกลุ่มกันอยู่แล้วได้ร่วมกัน ทำงาน หลีไป่เหวิน ถูกแบ่งหน้าที่ให้รับผิดชอบทำดนตรี ประกอบ หลีไป่เหวินที่ชอบทำอะไรแปลกๆ อยู่แล้ว จึง เลือกท่จี ะหลุดออกมาจากกรอบของเสียงดนตรีสำเร็จรูป แบบดั้งเดิม เธอทำการบันทึกเสียง พร้อมกับตัดต่อ เรียบ เรียงเสียงดนตรีขึ้นมาเอง โดยไม่คาดคิดว่า สไตล์ของ ดนตรที มี่ เี อกลกั ษณจ์ ะไดร้ บั คำชนื่ ชมยกยอ่ งจากอาจารย์ และทำให้หลีไป่เหวินก้าวเข้าสู่โลกของเสียงดนตรีในที่สุด
จากภาคเหนือที่เมืองซินจู๋ ภาคใต้ที่เขตเหม่ยหนง นคร เกาสง เกาะรอบนอกที่หมู่เกาะเผิงหู... หลีไป่เหวินได้ ไปบันทึกเสียงแห่งความสวยงามเก็บไว้แล้วทั้งสิ้น จะมี ก็เพียงแต่นครไทจง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเองแท้ๆ ที่ จนถึงทุกวันนี้ หลีไป่เหวินยังไม่สามารถค้นพบเสียงที่ เป็นเอกลักษณ์ หรือเป็นเพราะใกล้ตัวมากจนเกินไป คุ้น เคยมากเกินไป ดังนั้น จึงไม่สามารถได้ยินเสียงที่เป็น เอกลักษณ์อันแท้จริงของบ้านเกิด
แม้จะยังหาเสียงไม่เจอ แต่หลีไป่เหวินใช้เงินออมที่ เหลืออยู่ไม่มากจนหมด กับเวลาหนึ่งปี ทำการรีโนเวท บ้านเก่าที่อาศัยอยู่มาแล้ว 10 กว่าปี ที่ตั้งอยู่บนถนนฝูผิง เจีย นครไทจง สร้างเป็นห้องเวิร์คช็อปด้านเสียงและเปิด ตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
บ้านเก่าหลังนี้มีชื่อใหม่ว่า “บ้านเสียงฝูผิง หรือ The Fuping Sound House” โดยหลังคาที่มุงด้วยกระเบื้อง เก่าๆ ยังคงถูกเก็บไว้ดังเดิม ขณะที่ในปีเดียวกันเตียงไม้ที่ หลีไป่เหวินใช้นอนมาตั้งแต่เกิด ถูกนำมาใช้ทำเป็นส่วน หนึ่งของห้องนอน ส่วนมุมหนึ่งของบ้านได้นำตู้ลิ้นชักห้า ชั้นสมัยรุ่นคุณย่ามาวางประดับไว้
การผสมผสานระหว่างความใหม่และเก่า ในพื้นที่ว่าง ไม่ถึง 50 ผิง (坪 เป็นมาตรวัดพื้นที่ของไต้หวัน 1 ผิง = 3.3 ตารางเมตร) คือสถานที่ที่หลีไป่เหวินใช้ปลดปล่อย ความคิดไปกับโลกแห่งเสียง ในอนาคตเธอวางแผนว่า จะเชิญเพื่อนฝูงเข้ามาร่วมเก็บรวบรวมเสียงด้วยกัน เพื่อ ค้นหาเสียงของชีวิตที่เคยมองข้ามไป
เธอได้ชี้ไปยังรถบรรทุกคันเก่าๆ ที่จอดอยู่ภายนอก ซึ่ง ในอนาคตตั้งใจว่าจะทำการตกแต่งใหม่ให้เป็นรถบันทึก เสียงนอกสถานที่ ออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาหรือทะเล เพื่อท่องเที่ยวเชิงทัศนศึกษาไปในแหล่ง ของเสียง และรับฟังเสียงจากทั่วไต้หวัน