เดินทำความรู้จักชุมชนและค้นหาเรื่องราวของท้องถิ่น
ในปีค.ศ.2020 เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก แต่ละประเทศจึงจำเป็นต้องมีมาตรการปิดพรมแดน “เดินท่องไปทั่วเกาะ” จึงได้ออกมารณรงค์ว่า “ไปต่างประเทศไม่ได้ เราเที่ยวในบ้านของเราเองก็ได้” เมื่อไม่สามารถออกไปเพิ่มพูนความรู้และสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ในต่างประเทศ เราก็อยู่ในไต้หวันเพื่อทำความรู้จักกับตัวเองให้มากยิ่งขึ้นเป็นการทดแทนก็แล้วกัน
จริงๆ แล้ว “เดินท่องไปทั่วเกาะ” ได้ส่งเสริมการ “ท่องเที่ยวในบ้าน” มานานหลายปีแล้ว โดยการนำเที่ยวครั้งแรกจัดขึ้นในแถบต้าเต้าเฉิง (大稻埕) ตั้งแต่ปีค.ศ.2012 ซึ่ง “เดินท่องไปทั่วเกาะ” ได้พาทุกคนเดินเข้าไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ เพื่อรับฟังเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจในหน้าประวัติศาสตร์ของชาไต้หวัน การได้เห็นอาคารเก่าแก่ที่ถูกปรับปรุงใหม่และร้านค้าแนวครีเอตที่ตั้งอยู่สองข้างทางของท้องถนน รวมไปจนถึงการไปหาอะไรอร่อยๆ รับประทานแถวศาลเจ้าฉือเซิ่งกง (慈聖宮) ทำให้เรารู้สึกว่ารากฐานของศิลปวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในต้าเต้าเฉิงเมื่อความดั้งเดิมถูกถ่ายทอดมาสู่ยุคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ทำให้เราสามารถแวะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ได้นับร้อยนับพันครั้งโดยไม่รู้สึกเบื่อเลย
จากนั้นไม่นาน การนำเที่ยวของ “เดินท่องไปทั่วเกาะ” ก็ค่อยๆ ขยายเส้นทางการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรมนี้ให้แตกหน่อต่อยอดออกไปมากกว่า 400 เส้นทาง พวกเขาเคยนำเที่ยวตอนตี 3 ครึ่ง เพื่อพาผู้คนไปเยี่ยมชมตลาดค้าส่งตอนเช้ามืด และไปทำความรู้จักกับการให้สัญญาณมือของผู้ที่อยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างของเวทีประมูล หรือการเดินตามขบวนแห่เจ้าของศาลเจ้าชิงซานกง (青山宮) ในแถบหมงเจี่ย หรือแม้แต่การสร้างความร่วมมือกับร้านหนังสือ “Brilliant Time” (燦爛時光) ซึ่งเป็นร้านหนังสือจากประเทศอาเซียน รวมไปจนถึงการเชิญแรงงานข้ามชาติจากอินโดนีเซียมาเป็นผู้นำเที่ยวสถานีรถไฟไทเป (Taipei Main Station) ผ่านมุมมองใหม่ๆ ภาพต่างๆ เหล่านี้และเรื่องราวต่างๆ ที่แฝงอยู่เบื้องหลังทำให้เราสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ “เดินท่องไปทั่วเกาะ” มีต่อประเด็นต่างๆ ที่สังคมให้ความสนใจ เช่น การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม การสร้างชีวิตใหม่ให้อาคารเก่าแก่ สิทธิด้านเพศสภาพ รวมไปจนถึงความเท่าเทียมทางวัฒนธรรม เป็นต้น คุณเหยียนจื้อหาว (顏志豪) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการด้านการตลาดบอกกับเราว่า “การทำความเข้าใจคือก้าวแรกของการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน” ด้วยความคาดหวังว่า ผ่านการทำความรู้จักและเข้าใจระหว่างกันมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนั้นๆ ในสังคม
ในช่วงหลายปีมานี้ “เดินท่องไปทั่วเกาะ” ได้มีการขยายเส้นทางไปยังเมืองอื่นๆ เช่น จีหลง อี๋หลาน ซินจู๋ และเจียอี้ด้วย โดยสร้างความร่วมมือกับคนทำงานด้านวัฒนธรรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยใช้การท่องเที่ยวมากระตุ้นให้คนในพื้นที่ได้มีโอกาสค้นพบจุดเด่นทางวัฒนธรรมของตัวเอง การนำแนวคิดของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมาหลอมรวมเข้าด้วยกันนี้ ก็เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกันกับท้องถิ่นนั่นเอง
คุณเหยียนจื้อหาวอธิบายว่า “กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของ “เดินท่องไปทั่วเกาะ” คือกลุ่มผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะทำความรู้จักกับตัวเองให้มากขึ้น” ทำให้ทางโครงการเห็นว่า ควรเริ่มจากการให้ความรู้กับเด็กๆ เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักเมืองที่ตัวเองอาศัยอยู่ และทำให้มีคนรับรู้ว่า ไต้หวันเป็นเกาะที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ
จริงๆ แล้ว เมืองของพวกเราไม่เคยขาดแคลนเรื่องราว แต่ในช่วงชีวิตของเราทั้งการศึกษาและชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสทำความรู้จักกับละแวกบ้านของตัวเอง ซือจื่อเจินก็เริ่มเส้นทางการเป็นผู้นำเที่ยวของ “เดินท่องไปทั่วเกาะ” จากการฝึกอบรมของโครงการ ซึ่งคุณซือจื่อเจิน เล่าว่า “หลังจากได้ฟังเรื่องราวของต้าเต้าเฉิงจากการตามทริปนำเที่ยวเป็นครั้งแรกแล้ว ก็คิดว่าอยากพาเพื่อนกลับมาเที่ยวที่ต้าเต้าเฉิง และบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ยินมาให้พวกเขาฟัง”
“เดินท่องไปทั่วเกาะ” พาผู้คนเที่ยวในบ้านเพื่อทำความรู้จักกับตัวเอง ในภาพคืออาจารย์ผู้นำเที่ยวได้แนะนำ “บ้านโบราณหลินอู่หู” ซึ่งเป็นร้านค้าในยุคแรกสุดของถนนตี๋ฮั่วเจีย