ที่นครเถาหยวน มีสถานที่แห่งหนึ่งเป็นที่ผ่อนคลายอารมณ์ของชาวเอเชียอาคเนย์และถือเป็นทางลัดช่วยหลอมรวมพวกเขาเข้าสู่วัฒนธรรมท้องถิ่นได้รวดเร็วขึ้น ที่นี่คือ ห้องสมุดวั่งเจี้ยน หรือ SEAMi (望見書間 : SEAMi : SouthEastAsian Migrant Inspired) เป็นที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตจำนวนมากมายให้งอกงามอย่างมั่นคงด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติ ทำให้ผู้จากบ้านเกิดมาอยู่ในไต้หวัน ค่อยๆ ลืมเลือนภาพอดีต รับรู้ความผาสุกมั่นคง เมื่อได้พบกับ ห้องสมุด SEAMi มองเห็นอนาคตที่สว่างรุ่งโรจน์
เมล็ดพันธุ์ 1 เม็ด หากหย่อนลงในดินดีก็จะงอกงามแตกกิ่งก้านสาขาใหญ่โต เปรียบเสมือน ห้องสมุด SEAMi ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟเถาหยวน ในพื้นที่เล็กๆ ผ่านมาเกือบ 3 ปี คุณหลินโจวซี (林周熙) ผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่งนายกสมาคมพัฒนาการศึกษาและการวิจัยวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ (桃園市東南亞藝文教育創新暨研究協會) และเป็นผู้ก่อตั้งห้องสมุด SEAMi ด้วย อาศัยพลังความกล้าหาญร่วมกับเพื่อนๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ช่วยกันพัฒนาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ชาวเอเชียอาคเนย์อย่างเงียบๆ
ด้วยพลังเล็กๆ ที่มั่นคงแน่วแน่
เมื่อเดินออกจากประตูด้านหลังสถานีรถไฟเถาหยวน เราจะรู้สึกว่าเหมือนเดินผ่านอุโมงค์แห่งกาลเวลา จะเห็นป้ายชื่อร้านภาษาต่างชาติเรียงรายปรากฏเบื้องหน้า เป็นการก้าวเข้าไปสู่วงจรชีวิตชาวเอเชียอาคเนย์ในชั่วพริบตา ห้องสมุด SEAMi แฝงตัวอยู่ที่ชั้น 2 ของร้านอาหารอินโดนีเซียอย่างไม่สะดุดตา ในตอนบ่ายของวันพฤหัสบดี บรรดาผู้ร่วมงานนั่งล้อมโต๊ะประชุมกัน คุณหลินโจวซีกดเครื่องคิดเลขด้วยความตั้งใจ คำนวณค่าใช้จ่ายการจัดหลักสูตรอบรมและกิจกรรม คุณหลินพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจว่า ในตอนนี้ แม้ว่ายังชักหน้าไม่ถึงหลัง ใบหน้าแต่ละคนแฝงด้วยความกังวล แต่เมื่อเริ่มกิจกรรม ต่างพากันสลัดทิ้งความกังวล ทุ่มเทอย่างกระตือรือร้น มีพลังที่เต็มเปี่ยม
แต่งเติมช่องว่าง สานฝันแห่งความอาทรให้สำเร็จ
ในนครเถาหยวนมีโรงงานตั้งเรียงรายมากมาย เป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติมาทำงานและมีผู้แต่งงานกับชาวไต้หวันอาศัยอยู่จำนวนมาก ประเมินโดยคร่าวๆ มีชาวต่างชาติกว่า 130,000 คน ชาวไต้หวันล้วนแต่มีที่พักพิงของตน แต่ชาวต่างชาติเหล่านี้ ที่ผ่านมามีแต่ความอ้างว้าง อาจมีผู้ยื่นมือช่วยเหลือแบบประปราย เหมือนช่วยดับไฟชั่วคราว คุณหลินเล่าย้อนความเป็นมาใน 3 ปี ผมหวังว่าจะเป็นสะพานเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้นระหว่างคนในท้องถิ่นและผู้มาอยู่ใหม่ เริ่มจากศูนย์จนกลายเป็นสิ่งต่างๆ ที่ช่วยเติมแต่งช่องว่าง ความฝันค่อยๆ กลายเป็นจริง ผมต้องการจุดคบเพลิงขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม คุณหลินเรียนจบปริญญาตรีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เน้นการวิจัยวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ ศาสตราจารย์หลี่เหม่ยเสียน (李美賢) และ หวังหงเหริน (王宏仁) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติจี้หนาน (國立暨南大學 : National Chi Nan University) เป็นผู้กระตุ้นให้ผมก้าวเข้าสู่เส้นทางเอื้ออาทรต่อสังคมนี้ คุณหลินรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งต่ออาจารย์ที่ชี้แนะให้เขากล้าที่จะก้าวออกไปสร้างความฝันให้เป็นจริงแม้ไม่มีกำลังทรัพย์
ห้องสมุด แบกรับเรื่องราวสารพัด
ห้องสมุด SEAMi ตกแต่งแบบง่ายๆ มีหิ้งหนังสือวางเรียงเป็นแถว แต่ที่นี่แบกรับเรื่องราวสารพัดของผู้มาอยู่ใหม่อย่างไม่จบสิ้น ในพื้นที่จำกัดแห่งนี้ แต่ละวันมีตัวละครเกิดขึ้นไม่ซ้ำกัน คุณหลินบอกว่า พวกเราไม่ใช้ระบบการศึกษาแบบเก่าๆ เขาหวังว่าที่นี่จะเป็นสนามแม่เหล็กดึงดูดให้ให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
อาจารย์ Michael Ty ชาวจีนโพ้นทะเลในฟิลิปปินส์ผู้มีประสบการณ์ช่ำชองด้านการสอน ปัจจุบันเป็นผู้บ่มเพาะอาจารย์รุ่นใหม่ หลังจบมหาวิทยาลัย เขาได้มาทำงานเป็นล่ามและผู้แนะแนวของเป็นบริษัทจัดหางานในไต้หวันเป็นเวลา 20 กว่าปี มีความเข้าใจสภาพจิตใจของแรงงานต่างชาติอย่างลึกซึ้ง
ชาวฟิลิปปินส์ที่มาทำงานในไต้หวันอายุประมาณ 20 ถึง 35 ปี ไม่ว่าเป็นโสดหรือแต่งงานแล้ว ต้องจากบ้านเกิดมาใช้ชีวิตลำพังในต่างแดน จึงรู้สึกเหงาอ้างว้าง มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึก จากบ้านเกิดมาอยู่โดดเดี่ยว หากไม่มีช่องทางการระบายออกที่ถูกต้องมักจะมีปัญหาทางด้านอารมณ์ เคยมีแรงงานต่างชาติคนหนึ่ง นิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร แต่ในตอนค่ำขณะที่ทุกคนพักผ่อนกันแล้ว เขาออกมาเดินเล่นบนถนน พฤติกรรมที่แปลกทำให้นายจ้างและเพื่อนร่วมงานต่างรู้สึกกังวลมาก กลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น ในที่สุดนายจ้างเสนอให้ส่งเขากลับประเทศ การถูกส่งตัวกลับถือเป็นภาวะรุนแรงมาก เพราะทำให้ขาดรายได้ทันที ไม่สามารถชดใช้หนี้สินที่กู้ยืมมา เกิดความลำบากทางการเงิน และส่งผลด้านประวัติไม่ดีซึ่งจะทำให้หางานยากในอนาคต จึงอาจเกิดอัตวินิบาตกรรมหรือต้องหลบอยู่ในมุมมืดไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนในครอบครัว ดังนั้น การมีสถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งน่ายินดี ทำให้แรงงานต่างชาติได้คบเพื่อน มีโอกาสได้เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดได้ Michael Ty พูดด้วยความปลาบปลื้มว่า อาจารย์ที่ผ่านการบ่มเพาะของห้องสมุดวั่งเจี้ยน ได้เรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เป็นการขยายมุมมอง ในอนาคตเมื่อพบปัญหาทำนองเดียวกันจะรู้วิธีแนะนำและให้ความช่วยเหลือที่ดี
ด้วยความซื่อตรงและรับผิดชอบ สาวเวียดนามพบรักสุขสมหวังในต่างแดน
ประสบการณ์ทำงานที่ไม่มีความสุขในครั้งแรก ทำให้ฉันสาบานจะไม่มาไต้หวันอีก แต่สภาพครอบครัวบีบคั้น ฉันต้องมาอีกครั้งด้วยน้ำตานองหน้า อาจารย์ฟั่นเหม่ยซิ่ง (范美幸) หญิงชาวเวียดนามเล่าเรื่องในอดีต 10 กว่าปีที่แล้ว ความเจ็บปวดยังเป็นภาพในใจที่ไม่เลือนราง
ก่อนตรุษจีน 1 สัปดาห์ ของปี 2001 ฉันมาทำงานเป็นผู้อนุบาลในไต้หวัน ในตอนนั้นอายุยังไม่ครบ 20 ปี น้ำหนักตัว 40 กิโลกรัม แต่ทุกวันจะต้องตื่นแต่เช้าช่วยนายจ้างจัดเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหารในร้านขายข้าวแกง กินข้าวแล้วจะต้องล้างชาม เก็บกวาด และยังต้องดูแลอาม่าที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมซึ่งป่วยเป็นอัมพาต ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ตื่นแต่เช้าเข้านอนดึกดื่น เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ประกอบกับไม่เคยชินกับสภาพอากาศ จึงทำให้ทนไม่ไหวและกลับเวียดนามก่อนสัญญาครบกำหนด
เดิมทีคิดว่าจะทำงานอยู่ในเวียดนาม แต่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ครอบครัวตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เธอจำต้องตัดสินใจขึ้นเครื่องบินมาไต้หวันอีกครั้งด้วยน้ำตานองหน้า แต่ด้วยบุพเพสันนิวาส ชะตาชีวิตพลิกผัน ทำให้เธอเปลี่ยนทัศนะมุมมองใหม่ต่อไต้หวันทั้งหมด
แม้ฉันจะพูดภาษาจีนกลางและภาษาฮกเกี้ยนได้ แต่ในครั้งนี้นายจ้างเป็นชาวฮากกา เนื่องจากมีแรงกดดันด้านภาษาจึงต้องพยายามปรับตัว ทำให้เธอเรียนรู้เร็วจนสื่อสารด้วยภาษาฮากกาได้นายจ้างจึงเอ็นดู ผ่านไปครึ่งปี นายจ้างใจดีให้ยืมเงิน 1 แสนเหรียญไต้หวันส่งให้ทางบ้านซื้อที่ดิน ทำให้คุณฟั่นเหม่ยซิ่งมีความนับถือต่อนายจ้างและซาบซึ้งจากความอาทร จากนั้นนายจ้างได้แนะนำเพื่อนชายให้เธอ แต่เธอมีความสงวนตัวและซื่อตรงรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่เคยทิ้งอาม่าออกไปเที่ยว เป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดีกตัญญูทำให้นายจ้างประทับใจ จากนั้น 2 ปี ได้กลายเป็นหลานสะใภ้ของนายจ้าง ผ่านความขมขื่นพบแดนสวรรค์ผาสุกได้ในที่สุด
คุณฟั่นเหม่ยซิ่งมีลูกสาว 2 คน ลูกชาย 1 คน เธอมีความสนใจด้านภาษา ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการจัดหลักสูตรอบรมการสอนภาษาแม่ให้แก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หลังผ่านการอบรมแล้วเธอได้ไปสอนในโรงเรียนประถมศึกษา ในปีนี้ได้มาที่ห้องสมุดวั่งเจี้ยน ช่วยจัดหลักสูตรเรียนภาษาเวียดนาม
คุณฟั่นเหม่ยซิ่งพูดด้วยใบหน้าระบายรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข บางทีสามีของฉันพูดขอบคุณฉันด้วยภาษาเวียดนาม ทำให้ฉันรู้สึกสุขใจมาก และแม่สามีก็ใช้ภาษาเวียดนามทักทายกับพ่อแม่เธอด้วย ทำให้เธอรู้สึกประทับใจมาก
แต่ก่อน ได้ยินคนอื่นเรียกฉันว่า สาวเวียดนาม ฉันรู้สึกบาดใจ แต่ตอนนี้ฉันยอมรับได้แล้ว วัฒนธรรมที่แตกต่างกันทำให้พวกเราทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่เจตนา เพราะฉะนั้นฉันจะต้องให้ผู้อื่นรู้จักวัฒนธรรมเวียดนามมากขึ้น เพื่อขจัดความเข้าใจผิดจากความคิดที่ต่างกัน คุณฟั่นเหม่ยซิ่งมีความเชื่อมั่น นี่คือเป้าหมายที่ห้องสมุดวั่งเจี้ยนกำลังทำอยู่
ภาษา สื่อสำคัญสำหรับทูตวัฒนธรรมข้ามประเทศ
คุณเหมยซื่อชิงฉวน (梅氏清泉 Mai Thi Thanh Tuyen) มาไต้หวัน 7 ปีกว่าแล้ว กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่ มหาวิทยาลัยจงหยวนคริสเตียน (中原大學 : Chung Yuan Christian University) เธอมาจากเวียดนามเหนือ บุคลิกดี ดวงตาโตแฝงแววฉลาดและมีความมุ่งมั่นในอนาคต เธอมาไต้หวันครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2009 เพื่อศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาวรรณกรรมจีนประยุกต์ ที่ ม. จงหยวน ฉันต้องการเป็นสะพานเชื่อมโยงวัฒนธรรมเวียดนามกับไต้หวัน หลังจากรัฐบาลไต้หวันผลักดันนโยบายมุ่งใต้ใหม่ ได้กำหนดให้ภาษาอาเชียอาคเนย์เป็นวิชาบังคับเลือกในโรงเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2018 ดังนั้น การบ่มเพาะอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จึงต้องกระทำอย่างเร่งรีบ และเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งของคุณเหมยซื่อชิงฉวน
ภาษาคือเครื่องมือในการสื่อสาร และเป็นตัวกระตุ้นสำคัญให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน การสอนของฉันแบ่งเป็น 3 ด้าน นอกจากการบ่มเพาะอาจารย์ ยังทำการสอนภาษาเวียดนามด้วย ผู้ที่มาเรียนส่วนใหญ่ก็คือบรรดาผู้บริหารหรือเถ้าแก่ คนทั่วไปและนักศึกษา การแบ่งปันเรื่องราววัฒนธรรมเป็นสิ่งฉันชอบมาก เคยรับเชิญไปบรรยายที่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงยาง (中央大學 : National Central University) มหาวิทยาลัยจงหยวนคริสเตียน และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจี้ยนสิง (健行科大 : Chien Hsin University of Science and Technology ) เป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมเวียดนาม
ในการบ่มเพาะอาจารย์ภาษาเวียดนามที่ห้องสมุด SEAMi ในปัจจุบัน คุณเหมยซื่อชิงฉวนได้จัดทำตำราการออกเสียงภาษาของตนและบทสนทนาขั้นต้น ยังได้แนะแนวพี่น้องร่วมชาติเพศหญิงมาทำงานเป็นล่ามแปลภาษา มีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาษาเวียดนามกับภาษาจีนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การใช้คำมีความถูกต้องแม่นยำ เป็นการช่วยเบิกทางสว่างแห่งอาชีพให้แก่พี่น้องร่วมชาติที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
ย้อนมองอดีต ทิ้งรอยยิ้มของเด็กไม่ลง
แต่เดิมวางแผนจะทดลองทำ 2 ปี แต่เมื่อทุ่มเทลงไป ก็ลืมตัวทำต่อมาเรื่อยๆ รอยยิ้มของเด็กๆ ทำให้คุณหลินโจวซีวางมือไม่ลง ผมรู้สึกว่านี่เป็นภารกิจอย่างหนึ่ง จะต้องช่วยเติมเต็มช่องว่างที่ขาดอยู่ โดยเฉพาะเพื่อให้ทายาทรุ่นที่ 2 ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มีความเข้าใจตนเองอย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าใจที่มา จึงมีความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับอนาคต
ความจริงห้องสมุด SEAMi เป็นธุรกิจวัฒนธรรมสร้างสรรค์ จะต้องมีการวางรากฐาน กระตุ้นกิจการรอบข้างให้เกิดแรงบันดาลใจสร้างสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่คุณหลินโจวซีแสวงหาไม่ใช่สิ่งที่ฉาบฉวย แต่ดำเนินการอย่างจริงจังหลอมรวมเข้ากับวิถีชีวิต เพื่อเติบโตไปด้วยกัน