เหตุผลที่ใช้ชื่อ “กุหลาบบานสี่เพลา” เพราะดอกกุหลาบของที่นี่ บานได้ทั้งสี่ฤดู
ภายในสวนกุหลาบบานสี่เพลา ซึ่งตั้งอยู่ในเขตตำบลผูหลี่ของ เมืองหนานโถวนั้น ต้นกุหลาบสูงยิ่งกว่าคนเสียอีก แถมยังมีแมลง เต็มไปหมด ราวกับถูกรุกรานจากทั้งเพลี้ยอ่อน หนอนผีเสื้อ รวม ไปจนถึงแมงมุม จนทำให้ผู้มาเยือนอดร้องด้วยความตกใจไม่ได้ว่า สวนทดี่ แู ลว้ เหมอื นสวนรกรา้ งแหง่ นคี้ อื สวนกหุ ลาบไรม้ ลพษิ แหง่ แรกของไต้หวันที่มีชื่อเสียงร่ำลือกันไปทั่วหรือนี่
ภาพที่ทำให้ความโรแมนติคต้องมลายไปจนสิ้นนี้ เคยสร้าง ความเดือดดาลให้กับคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งฝ่ายชายได้ค้นหา ข้อ มูล ท า ง อินเตอร์เน็ตแล้ว เห็นภาพที่ดอก กุห ล า บ บ า น สะพรั่งเต็มสวน จึงได้พยายามเสาะหาสถานที่นี้จนพบ ก่อนจะ ชวนแฟนสาวไปค้นหาความโรแมนติคร่วมกัน หากแต่เมื่อเดิน ทางไปถึงกลับพบว่า ในสวนเต็มไปด้วยแมลงต่างๆ มากมาย แถมดอกกุหลาบที่บานสะพรั่งต่างก็ถูกตัดจนหมดไปตั้งแต่เช้า ไม่เหลือภาพของกุหลาบงามบานเบ่งตระการตาให้ได้เห็น จึงได้ ต่อว่าต่อขานเจ้าของสวนว่า นำภาพจากที่อื่นมาตัดต่อใช้บน เว็บไซต์ของตัวเองเพื่อหลอกลวงผู้บริโภค
จริงๆ แล้ว เจ้าของสวนไม่ได้หลอกลวงใคร เพราะดอกกุหลาบ ในสวนแห่งนี้ ไม่ได้มีไว้ให้ใครมาชื่นชม หากแต่สำหรับหลายๆ คน แล้ว มันคือวัตถุดิบที่ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีสำหรับใช้ใน การปรุงอาหาร
เมื่อปี พ.ศ. 2553 นายอู๋เป่าชุน (吳寶春) หนึ่งในความภูมิใจ ของชาวไต้หวัน ได้นำเอาดอกกุหลาบไร้มลพิษนี้ติดตัวไปเข้าร่วม การประกวดเบเกอรี่โลกที่ฝรั่งเศส ก่อนจะสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์ โลกมาครองได้สำเร็จ ด้วยขนมปัง ลิ้นจี่ดอกกุหลาบของเขา
ในบรรดาร้านขายอาหารที่ มีชื่อเสียงระดับต้องต่อคิวเพื่อ รับประทานในผูหลี่นั้น หนึ่งในเมนู ดังของร้านช็อคโกแล็ต 18℃(18℃ 巧克力工房) คือกุหลาบซ่อนใจ (玫瑰藏心) ก็ใช้แยมกุหลาบของ สวนกุหลาบสี่เพลามาทำเป็นไส้ หรือ
ที่ร้านหม่าซิวเหยียนเสวี่ยน (馬修 嚴選 ) ซึ่งมีเมนูดังเป็นโยเกิร์ตที่ชื่อ ว่าเหมยกุ้ยผิงกั่ว (玫瑰蘋果) ซึ่ง หมายถึงแอปเปิลกุหลาบ ก็ใช้ดอก กุหลาบไร้มลพิษจากสวนกุหลาบบานสี่เพลาแห่ง
เมื่อกลิ่นหอมขจร ไกลชื่อเสียงก็โด่งดังไปทั่ว ทำให้ชื่อของ กุหลาบบานส่เี พลาแทบจะกลายเป็นตัวแทนของดอกกุหลาบไร้ มลพิษในไต้หวันไปแล้ว แน่นอนว่า กว่าจะถึงวันนี้เจ้าของสวน คือ คุณจังซือกว่าง (章思廣) และคุณกัวอี้ผิง (郭逸萍) สอง สามีภรรยา ต้องผ่านประสบการณ์ทั้งร้อนทั้งหนาวมาแล้วนับ ครั้งไม่ถ้วน
เมื่อกุหลาบ LOHAS*ไม่ LOHAS?
เจ้าดอกกุหลาบออร์แกนิคซึ่งเติบโตอยู่บนต้นยาวๆ รกๆ เหล่า นี้ งอกงามอยู่ท่ามกลางสายลมที่พลิ้วไหวของผูหลี่ ดื่มกินน้ำจาก ตาน้ำธรรมชาติ ใช้ชีวิตร่วมกับมวลหมู่ปักษาและเหล่าแมลง นานาพันธ์ มีจุดเด่นที่มีหนามน้อย กลิ่นหอมยวนใจ และสีสันสวย สดใส ไม่แพ้กุหลาบจากบัลแกเรียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่ง กุหลาบที่มีชื่อเสียงก้องโลกเลยทีเดียว
คุณกัวอี้ผิงเจ้าของสวนกุหลาบบานสี่เพลาบอกกับเราว่า“นี่ คือกุหลาบที่คัดพันธุ์มาจาก 200 กว่าชนิด ทั้งรูปรสกลิ่นสีต่าง ก็ดีพร้อม เหมาะสำหรับนำมารับประทาน”กุหลาบพันธุ์นี้จัดอยู่ ในสายน้ำหอม ตอนแรกถูกสวนที่เพาะ ต้นอ่อนปล่อยทิ้งๆ ไป ไม่ได้มีการตั้ง ชื่อด้วยซ้ำ ที่เลือกพันธุ์นี้เพราะรสชาติ ดี หอม กรอบ มีรสหวาน ไม่เหมือน กุหลาบสวยงามส่วนใหญ่ ที่แม้จะดูสวย แต่รสชาติจะฝาดอมเปรี้ยว ไม่น่ารับ ประทาน คุณกัวยังกล่าวอีกว่า กลิ่นที่ หอมมากเกินไปก็ทำให้ไม่น่ารับประทาน ไม่เหมือนกุหลาบพันธุ์นี้ ที่มีกลิ่นอ่อนๆ ของลิ้นจี่ ดมแล้วมีเสน่ห์ดึงดูดเป็นอย่าง ยิ่ง
จังซือกว่างและกัวอี้ผิง สองสามี ภรรยาได้ตั้งชื่อกุหลาบที่พวกเขาปลูก ออกมาเองนี้ว่า กุหลาบ LOHAS หาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอด 11 ปีที่ ผ่านมา เส้นทางชีวิตของทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยขวากหนาม จน แทบไม่เห็นเค้าความเป็น LOHAS เลยแม้แต่นิดเดียว
ในปี 2001 คุณพ่อของกัวอี้ผิง ตัดสินใจลงทุนเป็นครั้งที่ 4 ด้วย การทำสวนกุหลาบ โดยพยายามยกระดับจากการขายตัดดอก แบบธรรมดาไปส่กู ารเป็นสวนปลอดภัยท่ไี ด้รับตราเคร่อื งหมาย รับรองพืชผลการเกษตรที่ปลอดภัยหรือ GAP (吉園圃อ่าน ว่าจี๋หยวนผู่) ของรัฐบาล หากแต่มีปัญหาด้านการทำตลาดจน ขาดทุน จึงไม่สนใจที่จะดูแลและปล่อยให้สวนรกร้างไป ขณะนั้น สองสามีภรรยาทำงานเป็นเชฟในสวนอาหารวานิลลาการ์เดน (香草園餐廳 Vanilla Garden) ทั้งคู่ต่างก็มีความหลง ไหลในกลิ่นหอมของกุหลาบ จึงตัดสินใจลาออกจากงานมารับ ช่วงกิจการในปี พ.ศ. 2553 โดยตั้งใจจะทำสวนกุหลาบในแบบ ออร์แกนิค
ปลูกดอกไม้หรือปลูกหญ้ารกๆ กันแน่ ?
การตัดสินใจอย่างกระทันหันของสองสามีภรรยาถูกต่อต้าน จากทั้งคนในครอบครัว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ย้ำว่า “เป็นไปไมได้”
“ก็เพราะเราไม่รู้ ดังนั้นจึงคิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” จังซือก ว่างพูด
ความท้าทายอย่างแรกในการทำสวนกุหลาบคือ ปัญหาเรื่อง แมลง
กุหลาบเป็นพืชที่มีโรคและถูกรบกวนจากแมลงเป็นอย่าง มาก โดยเฉพาะในไต้หวันที่อากาศร้อนชื้น การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในการปลูก จึงเหมือนเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ (Mission Impossible) เลยทีเดียว
ไม่น่าแปลกใจว่า ในช่วง 3 ปีแรกของการทำสวน พวกเขาไม่มี รายได้เลย แถมยังถูกเพื่อนบ้านหัวเราะเยาะด้วยว่า ไม่รู้บ้านนี้ ปลูกดอกไม้หรือปลูกหญ้ารกๆ กันแน่
เพื่อไล่แมลง พวกเขาจึงไปเข้ารับการอบรมจากมูลนิธิเพื่อการ พัฒนาเกษตรอินทรีย์ฉือซิน (慈心有機農業發展基金會 Tse-Xin Oragnic Agriculture Foundation) เพื่อเรียนรู้วิธี การทำปุ๋ยอินทรีย์ และการป้องกันแมลงด้วยวิธีธรรมชาติ โดยทั้ง สองได้รับความช่วยเหลือจากนายจางหลงเหริน (張隆仁) จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชนครไทจง (ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เป็นรองผู้อำนวยการสำนักบริหารการเกษตรนครไถจง) และ ดร.เฉินเยี่ยนรุ่ย (陳彥睿) ที่ทนการรบเร้าจากทั้งสองไม่ไหว จึง ได้ให้ความช่วยเหลือในการจัดหาวัตถุดิบและสอนวิธีการควบคุม อุณหภูมิเพื่อแก้ปัญหาโรคราแป้ง
น้ำมันสะเดา น้ำมัน Narrow range oil เซ็กซ์ฟีโรโมน (ดึง ดูดมอธ) แผ่นกาว บาซิลลัสทูริงจิเอนซิส(ผลึกโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม และย่อยสลายได้เองภายใต้ แสงแดด) น้ำผสมพริก น้ำมันทานตะวัน และมะคำดีควาย ทุก อย่างนี้ค่อยๆ ถูกนำมาใช้ ทำไปด้วยทดลองไปด้วย ก่อนจะค่อยๆ เห็นแสงสว่างในการทำสวนกุหลาบออร์แกนิค
นับจากปี พ.ศ. 2551 ป็นต้นมา ระบบนิเวศน์ภายในสวนก็ ค่อยๆเข้าสู่ภาวะสมดุลย์ พวกเขาใช้การทำเกษตรแบบธรรมชาติ โดยไม่มีการนำเอาวัสดุใดๆ มาใช้ในการป้องกัน เมื่อมีตัวอ่อนของ แมลง ก็รอให้พวกเต่าทองมากิน กัวอี้ผิงบอกว่า “ปล่อยให้พวก แมลงได้กินกันไป เดี๋ยวมันก็หายกันไปเอง”
โดยนอกจากจะใช้ป๋ยุ เหลวในการเร่งการเติบโตของรากแล้ว ทางสวนก็ไม่ได้ใส่ปุ๋ยอะไรมากมาย “ขอเพียงมีรากแข็งแรง พืชก็ สามารถจะหากินได้เอง” กัวอี้ผิงกล่าว ก็เหมือนต้นไม้ในป่าที่ต่าง ก็สามารถเติบใหญ่ได้โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยเลย
กลิ่นหอมที่คงทน
หลังจากปลูกดอกกุหลาบไร้มลภาวะได้สำเร็จแล้ว การจะ ทำให้สีและกล่นิ หอมอย่กู ับดอกไม้อย่างคงทนก็ถือเป็นอีกปัญหา ใหญ่ ประการแรก ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเก็บดอก กัวอี้ผิงบอกว่า ดอกกุหลาบแบบนี้จะมีกลีบประมาณ 15-25 กลีบ เป็นพันธุ์ที่มีดอกขนาดกลาง เมื่อดอกบานได้ประมาณร้อยละ 80 ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเก็บ เพราะกลิ่นจะหอม อบอวลที่สุด ดอกที่บานมากเกินไปจนเห็นเกสร กลิ่นหอมก็จะ เหลือไม่มากแล้ว
หากดอกกุหลาบถูกแมลงแทะก็จะต้องตัดใจทิ้งไป ไม่สามารถ นำมารับประทานได้ คุณกัวอี้ผิงบอกว่าพืชจะมีระบบป้องกันตัว เอง เมื่อใดก็ตามที่ถูกแมลงแทะ ก็จะคัดหลั่งสารที่มีรสฝาดออก มาป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้แมลงกัดแทะต่อไปอีก เพราะฉะนั้น รสชาติจะไม่ดี
หลังผ่านการทดลอง หลายครั้ง ทำให้ผลผลิต จากสวนกุหลาบบานสี่ เพลา ทั้งกลีบกุหลาบ และแยมกลีบกุหลาบ ต่างก็สามารถเก็บสี และกลิ่นไว้ได้เป็นอย่าง ดี ซึ่งคุณกัวอี้ผิงบอกว่า ทุกอย่างนี้ต้องขอบคุณ ลูกค้ารายหน่งึ ท่กี ล้าพูด กับพวกเขาตรงๆ
โดยในปีพ.ศ. 2550 สองสามีภรรยาได้นำเอาแยมกลีบกุหลาบ ทผี่ ลติ ขนึ้ อยา่ งพถิ พี ถิ นั ไปออกขายในงานแสดงสนิ คา้ ทไี่ ทเปเวริ ล์ เทรดเซนเตอร์ มีลูกคนหนึ่งดมกลิ่นกุหลาบสด ก่อนจะหันมา ดมกลิ่นแยมแล้วพูดขึ้นว่า “น่าเสียดายจริงๆ” โดยแขกรายนี้เห็น ว่าพวกเขาไม่สามารถนำเอาจุดเด่นของดอกไม้ออกมาใช้ได้อย่าง เต็มที่ คำพูดนี้เหมือนปลุกให้ตื่นจากฝัน หลังจากที่คุณกัวอี้ผิงกลับ ถึงบ้านก็ได้ทำการทดลองแบบบ้าคลั่งโดยทันที ก่อนที่สุดท้ายจะ สามารถหาวิธีเก็บรักษาสีและกลิ่นของดอกไม้ไว้ได้ โดยไม่มีการ ใช้วัตถุดิบที่ไม่ใช่ของตามธรรมชาติ
ว่ากันตามตรงแล้ว แยมกลีบกุหลาบของคุณกัวอี้ผิงใช้วัตถุดิบ ที่ง่ายมากๆ นอกจากกลีบกุหลาบสดแล้ว ก็มีเพียงน้ำตาลทราย ไม่ขัดสี น้ำมะนาว และน้ำเปล่าเท่านั้น อาศัยหลักการสมดุลย์ ความเป็นกรดด่าง เพื่อรักษาสีเดิมของกุหลาบไว้เท่านั้นเอง
ปัญหาที่ไร้หนทางแก้
หลังจากต่อสู้มานานถึง 11 ปี ผ่านอุปสรรคมานานัปการ สอง สามภี รรยาอาศยั ความชอบสว่ นตวั และความมงุ่ มนั่ ในการฟนั ฝา่ อุปสรรคทั้งหลาย ก่อนที่สุดท้ายจะพบว่า ดินถือเป็นปัญหาใหญ่ ของพวกเขาที่ไร้หนทางแก้ไขจริงๆ
แม้กรรมวิธีการปลูกของสวนกุหลาบบานสี่เพลาจะถูกต้อง ตามมาตรฐานต่างๆ ของการทำการเกษตรอินทรีย์ ดอกกุหลาบ ที่ปลูกออกมา ก็สามารถผ่านมาตรฐานอันเข้มงวดขั้นสูงสุดของ การตรวจสอบสารตกค้างถึง 368 รายการ หากแต่ไม่สามารถ ได้รับหนังสือรับรองให้เป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยปัญหาสำคัญ อยู่ที่เรื่องของดิน
โดยที่ดินที่จะนำมาทำการเกษตรอินทรีย์ได้ จะต้องพักการ เพาะปลูกนานถึง 3 ปี หากแต่เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ไม่มีใครยอม เซ็นสัญญาระยะยาว ทำให้ไม่สามารถผ่านการรับรอง แถมช่วง นี้เจ้าของที่ดินที่เช่าไว้ก็เตรียมจะขายที่ สองสามีภรรยาจึงต้อง สาละวนกับการช่วยต้นกุหลาบย้ายบ้านไปยังสวนในละแวกใกล้ เคียง
ต้นกุหลาบที่ปลูกเอาไว้ 3,000–4,000 ต้นเมื่อ 11 ปีก่อน มีทั้ง ที่เสียหายและตายไปเอง ในตอนนี้เหลือประมาณ 1,300 ต้น แม้ จะเป็นการย้ายไปยังสวนขนาด 3 ไร่ กว่าๆ ในละแวกใกล้เคียง หากแต่ กัวอี้ผิงบอกว่า การขนย้ายต้นไม้ จะทำให้เกิดความเสียหายต่อต้นไม้ อย่างแน่นอน แถมย้ายไปแล้วก็ยัง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจริญงอกงาม ได้ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่กัวอี้ผิง กล่าวอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า ทุก อย่างคงต้องขึ้นกับต้นกุหลาบเอง
การที่พวกเขาเติบโตมาจากตลาด เหอผูที่ไทจง ทำให้จังซือกว่างและ กัวอี้ผิงได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนร่วม อุดมการณ์หลายคนจากตลาดแห่งนี้ จนส่งผลให้ชื่อเสียงของทั้งคู่ค่อยๆเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น
“ผลผลิตของเราไม่เคยเพียงพอ ซึ่งอ.อู๋เป่าชุนก็ปวดหัวกับ ปัญหานี้มาก“จังซือกว่างกล่าว ช่วงฤดูร้อนที่เป็นไฮซีซั่นสามารถ เก็บกุหลาบได้มากถึง 10 กิโลกรัม แต่พอถึงฤดูหนาวกุหลาบ จะเติบโตได้ช้ากว่า ทำให้มีปริมาณเพียง 300-500 กรัมเท่านั้น (ประมาณ 100 ดอก) ประการสำคัญ สองปีมานี้สภาพอากาศ ไม่ค่อยเป็นใจ เดี๋ยวก็ฝนตก เดี๋ยวก็แดดออก กุหลาบปรับตัวกัน แทบไม่ทันจนทำให้มีดอกน้อยลง
กลิ่นหอมของกุหลาบ
ทุกวันนี้ ดอกกุหลาบของสวนกุหลาบบานสี่เพลาแทบจะไม่พอ ต่อความต้องการ จึงต้องส่งสินค้าให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อกันประจำ ก่อน เช่น โรงแรม ร้านเบเกอรี่ และร้านช็อคโกแลต ส่วนลูกค้า ทางอินเตอร์เน็ตบางทีต้องครึ่งปีถึงหนึ่งปีกว่าจะได้รับของ กัวอี้ ผิงบอกอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีว่า “วิธีที่เร็วที่สุดคือ สั่งซื้อแบบ เป็นกลุ่มใหญ่ หรือมาที่สวนเลยเพื่อทำ DIY แยมกุหลาบด้วยตัว เอง”
นอกจากกลีบกุหลาบแห้งแล้ว พวกเขายังคิดสินค้าใหม่ๆ หลายอย่าง เช่น แยมกลีบกุหลาบ น้ำส้มจากข้าวหมักกุหลาบ และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณต่างๆ จากกลีบกุหลาบ หากแต่ ว่าในแต่ละปีก็มีกำไรเพียงประมาณ 7 แสนกว่าเหรียญไต้หวัน เท่านั้น
แ ม้ จ ะ มี ชื่ อ เ สี ย ง จ น ผ ลิ ต สิน ค้า ส่ง ใ ห้ลูก ค้า แ ท บ ไ ม่ทัน แต่เนื่องจากปริมาณดอกกุหลาบที่มี จำกัด จึงทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อ ค่าใช้จ่าย จึงต้องปลูกต้นวนิลาและ ไม้กระถางอื่นๆ เพื่อเพิ่มช่องทางหา รายได้
“สภาพของเราตอนนี้ แตกต่าง จากที่คิดกันไว้ในตอนแรกมาก” กัวอี้ผิงยอมรับตรงๆ ในตอนแรกไม่ ได้คิดจะกลับมาเป็นเกษตรกร ความ รู้เรื่องดอกไม้ก็ไม่มี แต่ด้วยความที่ ต้องใช้วานิลลาในการปรุงอาหาร ทำให้เกิดความคิดแปลกๆ ว่า อยากจะทำให้กุหลาบกินได้เหมือนกัน
“กหุ ลาบถอื วา่ เปน็ หนงึ่ ในวตั ถดุ บิ ในฝนั สำหรบั การปรงุ อาหาร ของเราเลย”กัวอี้ผิงกล่าว ตอนแรกก็วางแผนกันว่าปีแรกจะปลูก กุหลาบ ปีที่ 2 จะปลูกวานิลลา ปีที่ 3 ปลูกผัก ปีที่ 5 จะเปิดร้าน อาหารที่ขายเมนูเกี่ยวกับกุหลาบเป็นอาหารหลัก วานิลลาเป็น อาหารรอง แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายมาเป็นเกษตรกรที่ทำการ เกษตรอินทรีย์แบบเต็มตัว แต่จังซือกว่างก็ย้ำว่า “เป้าหมาย ของเรายังไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่เลื่อนมันออกไปก่อน”
ความฝันของคุณจังซือกว่างและคุณกัวอี้ผิงยังไม่เป็นความ จริง หากแต่ในสวนแห่งความฝันนี้ เราเริ่มได้กลิ่นหอมอบอวล ของกุหลาบลอยฟุ้งอยู่เต็มไปหมดแล้ว