ปัจจุบันในไต้หวันมีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 ทะลุ 360,000 คน ในจำนวนนี้มีหลายคนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก เช่น โจวหลงน่า (鄒隆娜) ผู้กำกับชาวไต้หวัน เชื้อสายฟิลิปปินส์ ซึ่งใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อในการสมานรอยแผลที่บาดหมางกันระหว่างไต้หวันกับฟิลิปปินส์, เฉินโย่วจิน (陳又津) ผู้สืบทอดความกล้าหาญจากคุณแม่ชาวอินโดนีเซีย มุ่งมั่นกับชีวิตและงานเขียน, จางหวั่นเจา (張婉昭) นักเต้นที่พลิกชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า บุคคลเหล่านี้ถือเป็นนักสร้างสรรค์ที่ค้นพบตัวเองได้อย่างแท้จริง ผลงานของพวกเขาเป็นตัวชี้ถึงคำตอบของคำถามที่ว่า "ฉันเป็นใคร" ได้ดีโดยไม่ต้องให้ใครมาจำกัดความ
ปาฏิหาริย์งานเต้นของจางหวั่นเจา นาฏศิลป์แห่งชีวิต ไร้สิ่งกีดกั้น
"ตอนที่คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่น คุณจะคิดว่า ฉันเป็นใคร" จางหวั่นเจากล่าว "ตอนที่ออกแบบท่าเต้น ฉันมักจะคิดทบทวนตัวเองอยู่เสมอ สำหรับนักสร้างสรรค์แล้ว เรื่องที่มารบกวนจิตใจเปรียบเสมือนสารอาหารที่มาบำรุงร่างกาย"
ช่วงระหว่างที่เธอเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลานานสิบปี ไม่ว่าเธอจะสามารถเต้นได้ดีเพียงใดก็ตาม หากไม่ใช่ศิลปะการเต้นแบบตะวันออกแล้ว เธอไม่เคยได้รับโอกาสที่จะขึ้นแสดงอยู่ที่ด้านหน้าเวที เพื่อให้ผู้ชมมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ยามที่เธอได้รับเชิญให้แสดง "การเต้นรำประจำชาติของตนเองสักเพลง" เธอมักจะตื่นเต้นจนแขนขาอ่อนไปหมด "อะไรคือการเต้นที่เป็นแบบฉบับของตัวฉันเอง แต่หลังจากเดินบนเส้นทางสายนี้มาตลอด ทำให้ฉันได้รู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าบ้าน ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สถานที่ มันถูกเติมเต็มและแผ่ขยายออกไปได้ไม่สิ้นสุด ฉันเริ่มต้นจากการเป็นนักเต้นธรรมดา จากนั้นผันตัวมาเป็นนักออกแบบท่าเต้น เพื่อไม่ให้ถูกตีตรา ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย"
จางหวั่นเจาชี้ให้เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบกับละครแล้ว การเต้นรำเป็นศิลปะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม แต่มุ่งเน้นไปที่แก่นของอารมณ์ และเข้าถึงความรู้สึกได้ล้ำลึกกว่า มนุษย์รู้จักการเคลื่อนไหวและขยับตัวตามจังหวะตั้งแต่ก่อนที่จะมีการใช้ตัวอักษร เราต้องเรียกคืนสัญชาตญาณของการเต้นรำกลับมา ความประทับใจที่ฝังลึกอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์เข้าด้วยกัน ทำให้อุปสรรคในเรื่องของชนชาติถูกทำลายลง ไม่จำเป็นต้องพูดโน้มน้าว ขอแค่เพียงเชื้อเชิญอย่างจริงใจ ร่วมเต้นรำกับทุกคน ก็สามารถรู้จักวัฒนธรรมอันงดงามผ่านทางการเต้นรำได้
ดวงตาของเธอฉายแววประกายสดใส "การเต้นรำส่วนใหญ่มักจะมีรูปแบบที่คล้ายกัน แต่ฉันไม่ได้ต้องการเพียงแค่รูปแบบ สิ่งที่ฉันอยากได้คือทำอย่างไรให้โดนใจผู้ชม ทำให้พวกเขาเกิดคำถามขึ้นในใจหลังการแสดงจบลง และพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนมุมมองต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ไปจากเดิม และนี่ก็คือภารกิจของฉัน"
จากนี้ไป จางหวั่นเจาอยากจะทุ่มเทให้กับการทำงานในโรงเรียนสอนเต้นอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้คนรู้จักอินโดนีเซียมากขึ้นผ่านการเต้นรำ เธอยอมรับว่าเส้นทางชีวิตของเธอ กว่าจะมาถึงจุดที่ทุกคนให้การยอมรับและรู้สึกซาบซึ้งได้นั้น เป็นหนทางที่ยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น จางหวั่นเจาหวังว่าตนเองจะได้เปิดโลกกว้าง ใครก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเส้นทางสายนี้จะยาวไกลเพียงใด และจะต้องเดินไปถึงระดับไหน แต่ขอแค่เพียงมีการพัฒนาขึ้นไปหนึ่งก้าว แค่นั้นก็จะเป็นการเปิดช่องว่างสำหรับการพูดคุยเจรจาได้แล้ว