การให้ความรู้เกี่ยวกับการรับรู้รสเพื่อให้แยกแยะได้อย่างถูกต้อง
สนนราคาของไอศกรีมแบรนด์ Justice Ice Cream แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ พรีเมียม, ท็อปซีเล็คท์, อีลิทซีเล็คท์ และคลาสสิก โดยจะขึ้นอยู่กับระดับความยาก-ง่ายในการจัดซื้อจัดหาและราคาของวัตถุดิบ ยกตัวอย่าง ไอศกรีมรส Milk Wine จะไม่ใช้ Milk Wine สำเร็จรูปที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด แต่จะใช้วิธีทำ Milk Wine โดยการต้มกาแฟสด แล้วผสมผงโกโก้และเติมวิสกี้ลงไป จากนั้นจึงจะนำ Milk Wine ที่ได้ไปทำเป็นไอศกรีม เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตมีความยุ่งยากและซับซ้อน จึงถูกจัดให้เป็นไอศกรีมเกรดพรีเมียม ในขณะที่ถั่วลิสง เผือก และเสาวรส เป็นวัตถุดิบอาหารที่ค่อนข้างหาได้ง่าย และเป็นรสชาติไอศกรีมที่มีขายทั่วไป จึงถูกจัดให้อยู่ในระดับคลาสสิก แต่แม้ว่าจะเป็นไอศกรีมระดับคลาสสิกซึ่งมีราคาถูกที่สุดคือ 50 เหรียญไต้หวัน แต่คนทั่วไปก็ยังคงรู้สึกว่าแพง คุณหลี่เมิ่งหลง เปิดเผยว่า “หากเทียบกับราคาของไอศกรีมรสชาติเดียวกันที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ไอศกรีมของเราจะมีราคาสูงกว่า 50% แต่ต้นทุนวัตถุดิบของเราจะสูงกว่าไอศกรีมทั่วไป 5-10 เท่า”
โดยส่วนที่ต่างกันมากที่สุดคือ สารปรุงแต่งกลิ่นรส เพียงหยดลงไปแค่ไม่กี่หยด ไอศกรีมรสสับปะรดก็ไม่จำเป็นต้องใช้สับปะรดในการทำไอศกรีมเลย แต่ในการผลิตไอศกรีมรสสับปะรดของคุณหลี่เมิ่งหลง ต้องใช้สับปะรดสด 300-500 กรัม จึงจะได้ไอศกรีม 1 กิโลกรัม แม้จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่คุณหลี่เมิ่งหลงก็ยังคงยืนยันที่จะใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในการผลิตไอศกรีมที่มีกลิ่นและรสชาติเข้มข้น
คุณหลี่เมิ่งหลงเปิดเผยว่า ผลกระทบจากสารปรุงแต่งกลิ่นรสจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่วิถีชีวิตของผู้คนทีละน้อย ผู้ประกอบการที่เคยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติต่างหันมาใช้สารปรุงแต่งกลิ่นรสเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด เมื่อสารปรุงแต่งกลิ่นรสถูกนำมาใช้แทนผลผลิตทางการเกษตรที่มาจากหยาดเหงื่อของเกษตรกร สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือพื้นที่เพาะปลูกถูกทิ้งร้าง และสุดท้ายก็จะถูกกลุ่มธุรกิจเข้ามากว้านซื้อ จากนั้นพื้นที่การเกษตรก็จะแปลงสภาพเป็นพื้นที่สำหรับใช้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือน นอกจากนี้ เมื่อผู้คนคุ้นชินกับอาหารที่ใช้สารปรุงแต่งกลิ่นรสและสารชูรสมาเป็นเวลายาวนาน ก็จะค่อยๆ รู้สึกเฉื่อยชาต่อรสชาติของวัตถุดิบอาหารจากธรรมชาติ ผลกระทบที่สั่งสมมากขึ้นทีละน้อยเหล่านี้ กลับไม่เคยถูกจัดให้เป็นประเด็นที่สาธารณชนต้องร่วมกันทบทวนอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากผลิตไอศกรีมไร้สารเติมแต่งแล้ว คุณหลี่เมิ่งหลงยังได้ตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการรับรู้รส และชี้แจงถึงผลกระทบของวัตถุเจือปนอาหารที่อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ อาทิ จากรายงานการวิจัยในต่างประเทศ ระบุว่า วัตถุเจือปนอาหารบางชนิดมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับอาการไฮเปอร์หรือภาวะคึกซนในเด็ก โรคภูมิแพ้ และโรคมะเร็งในทางเดินอาหาร คุณหลี่เมิ่งหลงกล่าวว่า “ไอศกรีมที่ผลิตด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติจะมีลำดับชั้นของรสชาติ” เขาได้ให้เด็กๆ ลองชิมไอศกรีมที่ผลิตด้วยผลไม้จากธรรมชาติ แล้วบอกว่า “รสเปรี้ยวจะเป็นรสชาติที่สัมผัสได้เป็นลำดับแรก ตามมาด้วยรสหวาน แทรกด้วยกลิ่นหอมของนม และเมื่อกลืนลงคอไปแล้วจะมีกลิ่นหอมของผลไม้อบอวลอยู่ในโพรงจมูก” รสสัมผัสในลำดับสุดท้ายคือกุญแจสำคัญที่ช่วยในการแยกแยะอาหารที่ผลิตด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติ ไอศกรีมที่ใช้สารเคมีมาปรุงแต่งกลิ่นและรส กินปุ๊บก็จะได้กลิ่นของผลไม้ทันที แต่ไอศกรีมที่ผลิตด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติต้องกลืนลงคอไปก่อนจึงจะได้กลิ่นหอมของผลไม้ กิจกรรมการให้ความรู้เกี่ยวกับการรับรู้รสถือเป็นการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ลงไปในใจของเด็กๆ คุณหลี่เมิ่งหลงกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะสามารถหาซื้ออาหารที่ปลอดภัยได้ทั่วไปในไต้หวัน เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องดูตารางแสดงส่วนประกอบของอาหาร และไม่ต้องกังวลว่าจะกินอาหารที่ใส่วัตถุเจือปนที่มีความเสี่ยงสูงอีกต่อไป”