โรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิง (岳明國小) ที่เมืองอี๋หลาน
(宜蘭縣) คว้ารางวัลยอดเยี่ยมการใช้ประโยชน์ที่ดินว่างเปล่าในโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพประจำปี ค.ศ. 2009 จากกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมา ในปี ค.ศ. 2010 ก็คว้ารางวัลยอดเยี่ยมพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนแห่งชาติจากสภาบริหาร และปี ค.ศ. 2013 คว้ารางวัลผลงานดีเด่นด้านพลังงานจากกระทรวงเศรษฐการอีกหนึ่งรางวัล นอกจากนี้ ยังคว้ารางวัลสิ่งแวดล้อมศึกษาดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลพิเศษจากเทศบาลเมืองอี๋หลาน สิ่งที่ผู้คนรู้สึกแปลกใจก็คือ ภูมิหลังแห่งการเติบโตและครอบครัวของคุณครูหวงเจี้ยนหรง ครูใหญ่แห่งโรงเรียนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร? จึงยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อก้าวสู่หนทางแห่งการศึกษาแบบทดลองเช่นนี้ และด้วยเหตุผลกลใด ทำให้ครูใหญ่ท่านนี้สามารถขจัดอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนก้าวสู่การพัฒนาการศึกษาอย่างสร้างสรรค์ ชุบชีวิตให้แก่การศึกษา ซึ่งเราพบว่าในตัวของเขาเต็มไปด้วยความรัก ความเอื้ออาทรต่อบ้านเกิด ต่อธรรมชาติ และต่อการศึกษาบนผืนดินแห่งนี้
คำว่า สุภาพอ่อนน้อม 4 พยางค์นี้ เหมาะกับการนำมาบรรยายอุปนิสัยใจคอของคุณครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงแห่งโรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิง เมืองอี๋หลานนี้ได้อย่างสมที่สุด รูปร่างผอมสูง พูดจาเนิบๆ แต่เต็มไปด้วยเหตุผล ประกอบกับวิธีการคิดที่เพียบพร้อมไปด้วยตรรกะ ไม่สับสน ภายใต้การนำพาของเขา ทำให้การบริหารและการพัฒนาโรงเรียนมีความคืบหน้าและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดช่วง ครูใหญ่ผู้นี้ยึดอาชีพครูมานานกว่า 30 ปี ได้เล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาให้ฟังแบบม้วนเดียวจบโดยไม่ติดขัดแม้แต่น้อย
เด็กจากชนบท
ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงเล่าให้ฟังถึงสมัยเด็กว่า ผมเกิดแถวเซิ่งหูในซูอ้าว เมืองอี๋หลาน (蘇澳聖湖) พออายุประมาณ 2-3 ขวบ ก็ย้ายไปที่หม่าไซ่ (馬賽) ต้องไปโรงเรียนโดยข้ามท้องทุ่งและลำธารเป็นประจำทุกวัน จับปลาริมลำธาร อบมันเทศ เล่นดินเล่นทรายอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีความสุขมากยิ่งขึ้นหลังเลิกงานหรือวันหยุด ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ไพศาล เป็นบรรยากาศในชีวิตอันแสนธรรมดาของครูใหญ่หวงเจี้ยนหรง อยากไปว่ายน้ำก็ไปว่ายน้ำที่อู๋เหล่าเคิง (武荖坑) แถวบ้าน หากอยากจะจับปูปลาก็ไปที่ริม หาดอ้าวไจ่เจี่ยว
(澳仔角) ข้างโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเล หรือที่ราบ เป็นสิ่งธรรมดาๆ เหมือนกับการหายใจเข้า-ออก การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติเช่นนี้ ช่วยหล่อเลี้ยงมันสมองและจิตวิญญาณแห่งการพัฒนาการศึกษาในวันข้างหน้าของครูใหญ่ผู้นี้
ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงบอกว่า ผมยังคิดถึงสมัยมัธยมที่เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างโรงเรียน และบอกอีกว่า การแข่งขันในยุคนั้น แต่ละโรงเรียนจะจัดทีมๆ ละ 10 คน โดยทั้ง 10 คนนี้ จะต้องมีความสามารถ 10 อย่าง ทั้งการกางเต็นท์ ทำอาหาร งานช่างไม้ การทดลองทางเคมี วิ่ง ภาษาอังกฤษ ยังมีการวาดภาพ และด้วยการฝึกอบรมฝึกซ้อมอย่างดีเยี่ยมของครูในโรงเรียน ตอนเข้าร่วมการแข่งขันระดับโรงเรียนของกองการศึกษา เทศบาลเมืองอี๋หลาน น่าเสียดายที่แพ้คู่แข่งไปเพียง 0.2 แต้ม ได้มาแค่รองแชมป์เท่านั้น
อย่างไรก็ดี การศึกษาแบบให้เด็กๆ ลงมือทำด้วยตนเอง มีอิทธิพลอย่างแรงกล้าต่อครูใหญ่หวงเจี้ยนหรง ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังด้วยอารมณ์สุนทรีย์ว่า เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่บ้านเป็นฝีมือของตนเองล้วนๆ ต่อมา เขาได้พาเด็กๆ ออกไปตั้งแคมป์ สอนการทำอาหาร และชมงานศิลปะ ใกล้ชิดธรรมชาติ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมาจากการฝึกฝนทั้งสิ้น หลังจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว เขาเป็น 1 ใน 2 ของนักเรียนที่สอบเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยครูได้ เด็กจากชนบทผู้นี้จึงเริ่มก้าวสู่หนทางแห่งการศึกษา ณ บัดนั้น
หลักสูตรภาคสนามเริ่มขึ้นแล้ว
เมื่อครูใหญ่หวงเจี้ยนหรง จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูแล้ว ก็ไปฝึกสอนที่โรงเรียนประถมศึกษาชางหลง (昌隆國小) เขตซินจวง (新莊) ในนครนิวไทเป 1 ปี พอปลดประจำการจากการเกณฑ์ทหารก็กลับไปเป็นครูที่โรงเรียนเดิม และเมื่อได้ข่าวว่าโรงเรียนบนภูเขาหยางหมิงซานที่มีชั้นเรียน 6 ห้อง มีบรรยากาศของธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ในตัวที่เต็มไปด้วยยีนแห่งธรรมชาติพุ่งกระฉูดไปทั่วร่าง เขาจึงสมัครสอบเป็นครูของโรงเรียนในกรุงไทเป และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นแห่งชีวิตการเป็นครูใน โรงเรียนประถมศึกษาผิงเติ่ง (平等國小) แห่งนี้
ด้วยเหตุที่โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน ประกอบกับในปี ค.ศ.1991 ที่กรุงไทเปเริ่มทดลองการศึกษานอกห้องเรียน ตอนนั้นผมคิดหาวิธีที่จะนำเอาการศึกษาประสมประสานกับทรัพยากรสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น การสอนวิชาภาษาจีน ผมมักจะพาเด็กๆ ไปแถวริมลำธาร ให้เด็กๆ หัดสังเกตน้ำไหลในลำธาร... ซึ่งเป็นรูปแบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับสาระของหัวข้อในการศึกษา จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายไปสู่การศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ นำเอาหลักสูตรต่างๆ ประสมประสานเป็นหนึ่งเดียว หากศึกษาวิจัยภูมิศาสตร์ของอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซานให้ละเอียดแล้ว ก็ต้องกล่าวถึงปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในแต่ละปี ตลอดจนลักษณะพิเศษของสภาพอากาศ ซึ่งจะนำไปสู่การศึกษาเรื่องวิธีการวัดและคำนวณปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอีกด้วย แล้วนำมาประกอบกับการอ่านและเรียนรู้บทความที่เกี่ยวข้องกับหยางหมิงซาน ทำให้การเรียนการสอนที่รวมเอาธรรมชาติ คณิตศาสตร์ และภาษาจีน เข้าไว้ด้วยกันถือกำเนิดขึ้น
ปฏิวัติครั้งใหญ่สู่สิ่งแวดล้อมยั่งยืน
จากโรงเรียนประถมศึกษาผิงเติ่งในเขตป่าเขา กรุงไทเป กลับสู่โรงเรียนประถมศึกษาหม่าไซ่ ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดกลางที่บ้านเกิดของตนในเมืองอี๋หลาน สิ่งที่ต้องเผชิญเป็นอันดับแรกคือ ปัญหาสภาพแวดล้อมอันย่ำแย่ของโรงเรียน
ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงบอกว่า ตอนนั้น ผมได้นำเอาวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา และงบประมาณการปฏิรูปการศึกษาแบบยั่งยืนของโรงเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรให้มาปฏิรูปโรงเรียนแห่งนี้ เป้าหมายคือให้โรงเรียนแห่งนี้กลายเป็นห้องเรียนแห่งการศึกษาแบบยั่งยืน ซึ่งเขามีความรู้สึกว่าในโรงเรียนไม่มีต้นไม้และไม่มีบรรยากาศแห่งวัฒนธรรมแม้แต่น้อย จึงเริ่มต้นจากการเปลี่ยนพื้นซีเมนต์เป็นผืนดินที่ซับน้ำและหายใจได้ แล้วออกแบบระบบกำจัดน้ำเสียจากห้องเรียนและระบบนิเวศของสระน้ำ นอกจากนี้ ยังได้นำเอาพืชประเภทเถาวัลย์มาทำเป็นผิวชั้นที่ 2 ของกำแพงโรงเรียน รีไซเคิลน้ำฝนมาหล่อเลี้ยงพืชไม้ดอก เพื่อล่อผีเสื้อให้มาดูดซับน้ำหวานจากเกสรและวางไข่ในมวลดอกไม้ที่นี่ เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศในโรงเรียน ทำให้มีความรู้สึกได้ว่าที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเหมือนป่าคอนกรีตอีกต่อไป
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องประสมประสานกับหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้นโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพัฒนาอย่างยั่งยืนและพลังงานเป็นหนึ่งเดียวกับการศึกษาในโรงเรียน มุ่งสู่เป้าหมายลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ร่มรื่นด้วยสีเขียวและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
ชักใบเรือมุ่งสู่ทิศทางของหัวใจ
ในช่วงระหว่างที่ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงอยู่ที่โรงเรียนประถมศึกษาหม่าไซ่ สมาคมส่งเสริมการศึกษาอู๋เหว่ยกั่ง (無尾港文教促進會) ขอให้เขาเขียนคู่มือหลักสูตรการศึกษาระบบนิเวศอู๋เหว่ยกั่ง ซึ่งชุมชนแห่งนี้ประจวบเหมาะกับเป็นชุมชนที่ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงเติบโตและวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก ต่อมา เมื่อสอบเป็นครูใหญ่ได้แล้ว ก็คิดว่าหากมีโอกาสจะกลับมาเป็นครูใหญ่ที่ โรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิง ใกล้บ้านเกิดของตน
ปัญหาการมีบุตรน้อยและปัญหาชุมชนมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับคนหนุ่มสาวที่นี่เดินทางไปหางานทำนอกพื้นที่ ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายมากมายทีเดียว ทรัพยากรดีๆ แบบนี้ หากยุบโรงเรียนก็น่าเสียดายยิ่ง ในเมื่อมีเขตอนุรักษ์พันธุ์นกน้ำระดับชาติแบบนี้และอยู่ใกล้กับทะเลด้วย จะหาโรงเรียนที่มีสิ่งแวดล้อมแบบนี้ในไต้หวันไม่ได้ง่ายๆ นัก
เคยพาเด็กๆ มาร่วมงานเทศกาลการละเล่นเด็กนานาชาติตงซานเหอ (冬山河) ที่นี่ นั่งอยู่ริมน้ำมองเห็นเรือใบลำหนึ่งกำลังแล่นอยู่ โค้ชเล่าให้ฟังว่า มันเป็นเรือที่เด็กๆ ทั่วโลกเล่นกัน และยังบรรจุเป็นหนึ่งในประเภทกีฬาที่แข่งกันในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ด้วย วิธีเล่นต้องอาศัยการบังคับใบเรือให้แล่นไปข้างหน้า โดยอาศัยแรงลมนั่นเอง พอดีในปีนั้น รัฐบาลมีโครงการที่จะขยายความต้องการในประเทศ ผมก็เลยจับมือกับกองการศึกษา เมืองอี๋หลาน ร่วมกันคิดวางแผนบิ๊กโปรเจกต์ขึ้นมา ต่อมา ทางเทศบาลเห็นชอบให้จัดซื้อเรือใบเพิ่มเติมอีก 8 ลำ โดยเริ่มต้นจากการจัดตั้งชมรมเรือใบกลายเป็นชมรมเรือใบแห่งแรกของที่นี่
อย่างไรก็ดี การเผยแพร่หลักสูตรเรือใบเริ่มต้นจากการเอาชนะความกลัวของผู้ปกครองที่เกรงว่าเด็กจะเกิดอันตรายจากการเล่นน้ำ ผมจึงต้องอาศัยช่วงวันหยุดพาผู้ปกครองมาที่ตงซานเหอ ให้พวกเขาพาเด็กๆ มาหัดเล่นเรือใบที่นี่ ให้ทุกคนอยู่บนเรือ สัมผัสการแล่นเรือใบด้วยตนเอง
เมื่อผู้ปกครองเริ่มยอมรับมากขึ้นเป็นลำดับ ก็สามารถพัฒนาหลักสูตรจากวิชาเลือกเป็นวิชาบังคับได้ โดยกำหนดให้นักเรียนชั้น ป.3 ขึ้นไป ต้องเรียนวิชานี้ และกำหนดให้เมื่อจบชั้น ป.6 จะต้องบังคับเรือใบได้จึงจะจบการศึกษาระดับประถมศึกษาอย่างสมบูรณ์ กีฬาเรือใบประสานกับหลักการวิทยาศาสตร์ ต้านลม และรับลมในแนว ตามลม นอกจากนี้ ยังต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์การพัฒนาการเดินเรือ ตลอดจนศัพท์ภาษาอังกฤษที่ต้องใช้ในการทำความเข้าใจ และยังต้องศึกษาผลงานเขียนเกี่ยวกับทะเลอีกด้วย ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงบอกอีกว่า ความจริงแล้ว มิใช่ว่าต้องการที่จะฝึกนักกีฬาทีมชาติหรือต้องการทำให้ดีอะไรนักหรอก เพียงแต่ต้องการเห็นเด็กๆ เติบโตและมีพัฒนาการไปพร้อมๆ กับการเล่นกีฬาด้วยเท่านั้นเอง
การเริ่มต้นเรียนว่ายน้ำตั้งแต่ ป.1 จนกว่าจะจบ ป.6 จะได้ฝึกกระดานโต้คลื่น ดำน้ำและการบังคับเรือใบ การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลทำให้เด็กๆ มีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งขึ้น และฝึกฝนการมีจิตใจเป็นนักกีฬาให้แก่เด็กๆ ด้วย นอกจากจะเอาชนะความกลัวแล้ว สิ่งที่ต้องเผชิญด้วยตัวคนเดียวท่ามกลางการแล่นเรือ ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาของเด็กๆ
เชื่อมต่อหนทางแห่งอนาคตด้านการศึกษา
ลมที่พัดพาเรือใบให้แล่นไปข้างหน้า นำพาไปสู่มิตรภาพแห่งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตำบลซูอ้าวในไต้หวัน กับเกาะอิชิกากิของญี่ปุ่น เพราะเด็กๆ ที่เกาะอิชิกากิก็ชอบเล่นเรือใบเช่นกัน เด็กญี่ปุ่นค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตพวกเขาพบว่าเด็กๆ ที่โรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิงในเมืองอี๋หลานของไต้หวันก็ชอบเล่นเรือใบ จึงเป็นฝ่ายติดต่อขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์การศึกษาเล่นเรือใบ แลกเปลี่ยนนักเรียนกับโรงเรียนประถมศึกษาเย่วหมิง โดยอาศัยช่วงเปิดภาคเรียนกินอยู่กับครอบครัวท้องถิ่น เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ทำให้นักเรียนเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของกันและกันได้มากยิ่งขึ้น
แม้กระทั่งการระดมงบประมาณของโครงการก็ได้ออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรด้วย โดยให้เด็กๆ ร่วมกันคิดหาวิธีการเพื่อระดมทุนค่าตั๋วเครื่องบินให้ได้ครบ 10,000 เหรียญไต้หวัน (ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ มาจากงบประมาณของรัฐ)
ความจริงแล้ว หลักสูตรแบบนี้ของโรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิงมิได้มีเพียงแค่นี้ ยังมีหลักสูตรการศึกษาเกษตรและอาหาร การศึกษาพื้นที่ชายเลน การเรียนรู้วิถีชีวิตและการศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่หมุนเวียนกันไป 4 ภาคเรียน แบ่งตามฤดูกาล ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว (ต่างจากโรงเรียนอื่นๆ ที่มีปีละเพียง 2 ภาคเรียน) คาดว่าในปีการศึกษา 2018 จะให้แต่ละชั้นเรียนมีครูประจำชั้นห้องละ 2 คน เนื่องจากการศึกษาในแต่ละวิชาต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทางของครูแต่ละคน รวมทั้งอาศัยการระดมความคิดจากนักเรียนทุกคนด้วย โรงเรียนประถมศึกษาเยว่หมิงเริ่มต้นจากจำนวนนักเรียน 67 คน ในตอนที่ครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงมารับหน้าที่ใหม่ๆ แต่ตอนนี้มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 122 คนแล้ว และยังมีผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานของตนมาเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยการย้ายทะเบียนสำมะโนครัวมาที่นี่ เพราะเป็นโรงเรียนแห่งเดียวในไต้หวันที่มีหลักสูตรเรือใบ และยังมีครูที่มีอุดมการณ์เดียวกันพร้อมอุทิศความรักให้แก่เด็กนักเรียน และที่สำคัญมีครูใหญ่หวงเจี้ยนหรงซึ่งจบจากที่นี่ อุทิศแรงกายและใจให้แก่การเรียนการสอนที่นี่อย่างเต็มที่ทีเดียว