วิสัยทัศน์ของบุตรนายพรานล่าสัตว์
ในช่วงเวลาดังกล่าว ซาคินูสามารถซึมซับแก่นแท้แห่งวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมืองได้อย่างรวดเร็ว อาทิ ความรู้สึกนอบน้อมถ่อมตนและความเคารพต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย การมีปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารกับธรรมชาติเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน การแสดงเกี่ยวกับภาษากายในระหว่างการล่าสัตว์ เป็นต้น นอกจากเป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากสังคมในยุคปัจจุบันแล้ว ยังเป็นค่านิยมสากลอันล้ำค่าอีกด้วย
“ค่านิยมหลักของไต้หวันคืออะไร?” ซาคินูชอบถามผู้อื่นด้วยคำถามนี้เสมอ คำตอบที่ได้รับก็มักจะแตกต่างกันไป สำหรับตัวเขาเองได้คำตอบจากวัฒนธรรมมารดาธิปไตย
“ประการที่ 1 ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดี” เขากล่าวว่า ความปรารถนาดีและความคิดที่ดีเป็นรากฐานของสรรพสิ่ง ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นเสมือนดั่งปฏิบัติต่อตนเอง
“ประการที่ 2 ต้องมีสุนทรียศาสตร์” ซาคินูให้นิยามสุนทรียศาสตร์ว่า ไม่ได้หมายถึง ผลงานศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นหลัก ทุกอากัปกิริยาสะท้อนถึงมารยาทที่ดีงามและจิตวิญญาณอันสูงส่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษ เทียบเคียงได้กับจิตวิญญาณแห่งอัศวินในยุโรปยุคกลางและจิตวิญญาณแห่งซามูไรในญี่ปุ่น
“ประการสุดท้าย ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับผืนแผ่นดินและสิ่งแวดล้อม” 70% ของพื้นที่ไต้หวันเป็นภูเขา แม้ประชาชนจะชื่นชอบการปีนเขา แต่กลับไม่มีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับภูเขาและขาดการปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ ซาคินูกล่าวว่า ทัศนคติที่มีต่อธรรมชาติเกี่ยวพันกับ “style , sense , class” ของคนไต้หวัน
วิสัยทัศน์เหล่านี้ ไม่เพียงกลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขาเท่านั้น แต่ยังได้สะสมและเพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นวัฒนธรรม โดยผ่านวิถีการดำรงชีวิต และท้ายที่สุดซาคินูยังหวังว่า จะอุทิศมรดกทางวัฒนธรรมนี้ให้แก่ประชาคมโลก
โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูลนายพรานล่าสัตว์ การที่มีทัศนคติเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ คุณปู่ของซาคินู เคยเป็นหัวหน้าทีมล่าสัตว์ประจำหมู่บ้าน ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงในการหาเนื้อสัตว์มาเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เขาเล่าว่า "เรารู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่า องค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ ของนายพรานจะจัดอยู่ในอันดับรองลงมา แต่สิ่งสำคัญประการแรกก็คือ ต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน”
ในฐานะที่เป็นบุตรของนายพราน ซาคินูได้นำเอาจิตวิญญาณแห่งการแบ่งปัน
มาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด