ขบวนรถด่วนปูยูม่า (普悠瑪: Puyuma Express) เดินรถในเส้นทางหุบเขาฮัวตงซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเขาแคบยาว ตั้งอยู่ระหว่างแนวเทือกเขาจงยางและชายฝั่งตะวันออกของไต้หวัน เราลงจากรถไฟที่ตำบลอวี้หลี่ (玉里) ในเมืองฮัวเหลียน ก่อนจะเปลี่ยนมาโดยสารรถยนต์เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดสิ้นสุดของถนนทางหลวงหมายเลขไถ 30 ซึ่งเป็นถนนลาดยางมะตอยและเชื่อมต่อกับเส้นทางธรรมชาติหว่าลาหมี่ (瓦拉米)
ป่าดิบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ผืนป่าด้านตะวันออกของอุทยานแห่งชาติภูเขาหยก (อวี้ซาน: 玉山) เคยเป็นที่อยู่อาศัยรวมทั้งเขตล่าสัตว์ของชนเผ่าพื้นเมืองปู้หนง (布農:Bunun) ในอดีต ซึ่งในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน เคยมีเหตุรุนแรงจากการประท้วงต่อต้านญี่ปุ่นของชนเผ่าพื้นเมืองเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับหมีดำไต้หวันในเขตสือเฟินอย่างจริงจังตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาของ รศ.ดร.หวงเหม่ยซิ่ว (黃美秀) ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าของไต้หวัน จนได้รับการยกย่องให้เป็นมารดาของหมีดำไต้หวัน นอกจากนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับนิเวศวิทยาตลอดจนประวัติศาสตร์ของนักวิชาการอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่พากันเดินทางมายังภูเขาหยกที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้ ปัจจุบัน พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ชื่อของการ อนุรักษ์ และความหลงใหลในป่าดิบเขานี้เอง ได้นำพาให้เราตัดสินใจเดินทางมาเยือนผืนป่าที่น่าหลงใหลและเต็มไปด้วยความหลากหลายทางนิเวศวิทยาแห่งนี้
แกะรอยเส้นทางเดินป่าโบราณในอดีต ก่อนจะเป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติในปัจจุบัน
คำว่า หว่าลาหมี่ หรือ 瓦拉米 เป็นคำพ้องเสียงที่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งออกเสียงว่า วาราบิ (わらび) หรือตรงกับคำว่า เจว๋ (蕨) ในภาษาจีน โดยมีความหมายว่า เฟิร์นชนิดหนึ่ง และยังมีเสียงที่ใกล้เคียงกับคำว่า maravi ในภาษาของชนเผ่าปู้หนงซึ่งหมายถึง การติดตาม (跟隨) ด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อกันว่าชื่อของสถานที่แห่งนี้ตั้งขึ้นจากคำต่างๆ ที่ออกเสียงใกล้เคียงกันนั่นเอง เส้นทางเดินชมธรรมชาติหว่าลาหมี่ในปัจจุบันสายนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินป่าโบราณปาทงกวัน (八通關越嶺道路 เป็นเส้นทางเดินป่าโบราณ จากทิศตะวันตกของเกาะเพื่อไปยังทิศตะวันออกของเกาะไต้หวัน โดยเริ่มต้นจากตำบลสุ่ยหลี่ของเมืองหนานโถว ตัดผ่านเทือกเขาจงยาง และไปสิ้นสุดที่ตำบลอวี้หลของเมืองฮัวเหลียน) ซึ่งเปิดใช้งานในปีค.ศ.1921 โดยที่เส้นทางปาทงกวันนั้น สร้างขึ้นในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน เพื่อใช้เป็นถนนเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกและตะวันออกของเกาะไต้หวัน และยังสามารถพบเห็นร่องรอยของชนเผ่าปู้หนงตามเส้นทางสายดังกล่าวเป็นระยะๆ จนถึงทุกวันนี้
คุณเกาจงอี้ (高忠義) คลุกคลีกับผืนป่าในเขตอุทยานแห่งชาติภูเขาหยกมานานกว่า 28 ปี และเป็นผู้นำทางคนสำคัญของเรา เขาเป็นชาวเผ่าปู้หนงและเป็นนักล่าสัตว์ประจำเผ่ามาก่อน ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทำหน้าที่ลาดตระเวนและคอยตรวจตราภายในเขตอุทยานแห่งชาติ จึงแทบจะกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนภูเขาเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยและสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำตั้งแต่เด็ก ความรอบรู้ที่ได้จากประสบการณ์อันโชกโชนของเขา ทำให้เขาเปรียบเสมือนดั่งหนังสือสารานุกรมเคลื่อนที่เล่มหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพลิกหน้าหนังสือเพื่อค้นหาข้อมูลใดๆ เพียงแค่เอ่ยปากถามก็จะได้คำตอบตามที่ต้องการ แม้ว่าอุปนิสัยความเป็นนักล่าของเขาจะสูญหายไปแล้วก็ตาม แต่ความสามารถในการสังเกตของเขายังทำให้เขารับรู้ได้รวดเร็วเช่นเดิม หลังจากที่เขาใช้สายตาที่คมดุจตาเหยี่ยวกวาดไปรอบๆ ทางเดินและผืนป่าทั่วบริเวณนั้น เขาก็ชี้ไปที่บนหน้าผาที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับกล่าวว่า นี่คือรอยเท้าของเก้งจีน (山羌) ที่เดินผ่านไปเมื่อเช้านี้ ส่วนรอยขุดคุ้ยดินโคลนที่เห็นอยู่นี้ เป็นผลงานของหมูป่าที่ต้องการหาไส้เดือนเป็นอาหาร และยังมีรอยกรงเล็บของหมีดำไต้หวันฝังอยู่บนเนื้อไม้เพื่อที่จะไปกินรังผึ้ง การเดินตามหลังคุณเกาจงอี้และมองโลกผ่านสายตาของเขา ช่วยให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า การสำรวจและลาดตระเวน การอธิบายของเขาทำให้ผืนป่าแห่งนี้พลันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เส้นทางเดินจากปากทางเข้าจนถึงเขตที่พักหว่าลาหมี่เป็นเส้นทางที่ค่อยๆ สูงชันขึ้นเรื่อยๆ มีความยาวทั้งสิ้น 13.6 กิโลเมตร และมีความสูงที่แตกต่างกันมากถึง 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ระหว่างทางบางครั้งต้องเดินข้ามลำธารน้ำ บางครั้งต้องอาศัยเดินบนบันไดเหล็กที่พาดระหว่างตลิ่งทั้งสองฝั่ง โดยรวมนับว่าเป็นเส้นทางที่สามารถเดินได้ค่อนข้างสบาย เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินเท้าของคน มีสัตว์ป่าเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่จะมาใช้เส้นทางดังกล่าว คุณเกาจงอี้ชี้ไปที่ด้านบนของหน้าผา ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีแทบจะมองไม่ออกเลยว่ามีทางเดินเล็กๆ แฝงอยู่ท่ามกลางต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่นบริเวณนั้น เส้นทางสายนี้เปรียบได้กับถนนทางหลวงแผ่นดิน สัตว์ทุกชนิดจะใช้เส้นทางนี้ในการเดิน ขณะที่ถนนทางหลวงจังหวัดจะเป็นเส้นทางเดินของสัตว์จำพวกแพะ กวาง และเก้งจีน นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางบางจุดที่จะมองเห็นได้ต่อเมื่อต้องยืนหันข้าง อย่างเช่น เส้นทางเดินบนสันเขาซึ่งมีลักษณะเหมือนเป็นลานแคบๆ โผล่ออกมา จุดนี้เป็นเส้นทางเดินของสัตว์ในวงศ์ฟิลิดี ซึ่งเป็นสัตว์ในกลุ่มเสือและแมว เช่น อีเห็นเครือ เป็นต้น คำว่า ทางหลวงจังหวัดหรือทางหลวงแผ่นดิน จริงๆ แล้วคือคำศัพท์ที่ใช้เรียกกันเฉพาะในหมู่นักล่าสัตว์ ในอดีตพวกเขามักจะวางกับดักไว้ตามเส้นทางเหล่านี้ ปัจจุบัน นักล่าสัตว์ทั้งหลายหยุดการล่าสัตว์ไปแล้ว แต่คำเรียกหยอกล้อเหล่านี้ยังคงอยู่ และช่วยให้เราสามารถจินตนาการเห็นภาพการดำรงชีวิตของสัตว์ในป่าได้ชัดเจนขึ้น
ความอบอุ่นจากมนุษย์ ที่ไม่รบกวนธรรมชาติ
อุทยานแห่งชาติภูเขาหยก (玉山國家公園) จัดตั้งขึ้นในปีค.ศ.1985 โดยพื้นที่หว่าลาหมี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเขตคุ้มครองทางนิเวศวิทยาในปีค.ศ.2000 แต่ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น บริเวณนี้เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ โดยเฉพาะหินอ่อนและไพลิน และวางแผนพัฒนาเพื่อสร้างเหมืองแร่ขึ้นหลายแห่งภายในเวลาอันรวดเร็ว บรรดานักลงทุนเห็นผลประโยชน์มหาศาลและจ้องที่จะเข้ามาทำธุรกิจเหมืองแร่ในทันทีที่ถนนทางหลวงจงเหิงซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างตะวันตกและตะวันออกของไต้หวันเปิดให้ใช้งาน แต่นับว่าเป็นความโชคดีที่มีการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติภูเขาหยกขึ้น ทำให้สามารถรักษาป่าธรรมชาติดั้งเดิมแห่งนี้ไว้ได้ แม้ว่าทุกวันนี้เราอาจจะต้องใช้เวลาในการเดินเท้านานหลายชั่วโมงจึงจะมีโอกาสได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่และโอ่อ่าของสถานที่แห่งนี้ก็ตาม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่ายๆ และธรรมชาติก็มักจะตอบแทนเราด้วยทัศนียภาพที่งดงามเกินกว่าจะบรรยายทุกครั้งไป
ภาพของเมฆหมอกลอยปกคลุมกลุ่มภูเขาต่างๆ ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว โดยหลังผ่านการเดินเท้าขึ้นเขาที่ลาดชันมาอย่างยากลำบาก และได้ลิ้มรสอันหอมหวานจากน้ำแร่บนภูเขา ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีเรื่องที่น่าเสียใจอีกแล้ว ต้นไม้ที่หักโค่นจากลมพายุและล้มลงขวางทางอยู่บนเนินนั้น กลายเป็นขอนไม้สำหรับให้เฟิร์นชนิดต่างๆ เจริญเติบโต เมื่อวันเวลาผ่านไปสภาพดังกล่าวได้กลายเป็นธรรมชาติที่แสนงดงาม และเป็นจุดที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามในอุทยานแห่งนี้จนแทบไม่อยากละเท้าเดินจากไป
นอกจากจะมีทิวทัศน์ที่งดงามให้ชื่นชมดื่มด่ำกันแล้ว ป่าดิบเขาแห่งนี้ยังมีต้นไม้ใบหญ้าที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย คุณเกาจงอี้ยกตัวอย่างใบของต้นเผือกไต้หวันซึ่งมีคุณสมบัติในการตรึงหยดน้ำไว้ที่ด้านบนของใบว่าเป็นน้ำที่สามารถรับประทานได้ การเอาชีวิตรอดในป่า เพียงแค่สามารถแยกแยะได้ว่าเถาวัลย์น้ำ (เครือเขาน้ำ) มีลักษณะอย่างไร ก็สามารถอาศัยเถากลมอวบน้ำนั้นเป็นแหล่งน้ำประทังความกระหายได้
สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของชนเผ่าพื้นเมืองในการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติไม่ได้มีเพียงเท่านี้ คุณเกาจงอี้เล่าถึงวิธีการเตรียมตัวก่อนขึ้นเขาเพื่อล่าสัตว์ให้ฟัง ในอดีต นักล่าสัตว์จะทำการจุดไม้ขีดไฟเพื่อดูทิศทางลม หากลมพัดไปยังทิศที่ต้องการจะไป การล่าสัตว์ครั้งนั้นก็เป็นอันต้องยกเลิก เพราะบรรดาสัตว์เหล่านั้นจะได้กลิ่นมนุษย์จากระยะไกลและหลบหนีไปก่อนที่เราจะไปถึง หนังสือชื่อ บันทึกหมีดำ เรื่องราวระหว่างฉันและหมีดำไต้หวัน (Black Bear Notebook: The Story of Me and the Formosan Black Bear) ของรศ.ดร.หวงเหม่ยซิ่ว (黃美秀) เขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับข้อห้ามในการล่าสัตว์ของชนเผ่าปู้หนงไว้มากมาย ซึ่งข้อห้ามบางข้อได้กลายเป็นข้อบังคับในการล่าสัตว์ของนักล่าสัตว์ไปโดยปริยาย และเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายระบบนิเวศอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรอย่างไม่จำกัดโดยไม่จำเป็น ข้อห้ามเช่นนี้จึงถือเป็นกฎระเบียบของการอยู่ร่วมกันระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองกับธรรมชาติ
คุณเกาจงอี้จะสะพายโครงเหล็กที่มัดกระสอบข้าวสารไว้ที่หลัง ในมือถือมีดตัดหญ้า เดินนำหน้าไปตลอดทาง ระหว่างทาง เมื่อใดที่พบว่ามีเถาวัลย์ขวางทางเดิน เขาจะใช้มีดฟันเถาวัลย์เพื่อเปิดทางให้สามารถเดินได้อย่างสะดวก บางครั้งเขาจะหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้างทางมากวาดเศษใบไม้ร่วงที่ตกอยู่บนสะพานแขวนให้สะอาด และหากไปเจอกับเศษหินร่วงตกอยู่บนเส้นทางเดิน เขาจะเก็บก้อนหินที่ขวางอยู่ออกเสียเพื่อให้ทางเดินนั้นเรียบไม่ขรุขระ การรักษาเส้นทางให้อยู่ในสภาพที่มีอุปสรรคและรบกวนธรรมชาติน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ คือแนวคิดของการอนุรักษ์ในปัจจุบัน
เราหยุดพักการเดินทางที่เขตบ้านพักหว่าลาหมี่ก่อนที่จะเดินทางกลับในเช้าวันรุ่งขึ้น จากเขตบ้านพักนี้หากเดินต่อไปก็จะเข้าสู่เขตเป้าอ๋ายและต้าเฟิน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของหมีดำไต้หวัน สภาพเส้นทางค่อนข้างอันตรายพอสมควร และจำเป็นที่จะต้องเตรียมอุปกรณ์เดินป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ครบถ้วน มือใหม่อย่างเราจึงต้องปล่อยให้ป่าดิบเขาแห่งนี้เป็นที่วิ่งเล่นของเหล่าหมีดำและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสวนสนุกแห่งนี้ไปพลางๆ ก่อน การเดินทางตลอดสองวันที่ผ่านมาทำให้เราสัมผัสได้ว่า การไม่รบกวนก็คือการที่มนุษย์มอบความอบอุ่นให้กับธรรมชาตินั่นเอง
ข้าวอินทรีย์ ในแบบฉบับของหว่าลาหมี่
ภารกิจการเดินเท้าทั้งไปและกลับด้วยระยะทางราว 28 กิโลเมตรได้เสร็จสิ้นลง แต่ในละแวกใกล้เคียงกันนั้นยังมีนาข้าวอินทรีย์ของชุมชนหนานอันตั้งอยู่ แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะไม่อยู่ในขอบเขตของอุทยานแห่งชาติภูเขาหยก แต่นาข้าวที่นี่เป็นผืนนาผืนแรกที่ได้รับน้ำในการทำนาจากแม่น้ำลาคู่ลาคู่ ภาพที่มองเห็นจากมุมสูงหรือมุมนกมอง ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่เพาะปลูกดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับใบไม้หนึ่งใบ ทางเดินระหว่างทุ่งนาเปรียบเสมือนกับเส้นใบที่แตกแขนง และมีคันนาเป็นตัวบ่งชี้ขอบเขตและรูปร่างของท้องนาแต่ละผืนที่มีลักษณะไม่เหมือนกัน ต้นข้าวเขียวขจีก่อนจะออกรวงสีทองอร่ามช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้กับท้องทุ่งในแต่ละฤดูกาลที่แตกต่างกัน ซึ่งผันเปลี่ยนไปพร้อมๆ กับการเจริญเติบโตของต้นข้าวในแต่ละช่วงเวลา
สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่การเกษตรของชนเผ่าปู้หนงในชุมชนหนานอันมาช้านาน ผลจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิมตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ในช่วงฤดูการทำนามักจะมีกลิ่นแสบจมูกของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชโชยมาตามลม ต่างกับแนวคิดการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรของอุทยานแห่งชาติอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ สำนักบริหารอุทยานแห่งชาติภูเขาหยกจึงประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ อาทิ ธนาคารอวี้ซัน ฟาร์มเกษตรยั่งยืนอิ๋นชวน (Organic-Rice) มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ฉือซิน (Tse-Xin Organic Agricultural Foundation) และสถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรพื้นที่ฮัวเหลียน (Hualien District Agricultural Research and Extension Station) ให้ร่วมกันช่วยเหลือเกษตรกรในการทำการเกษตรแบบอินทรีย์ โดยให้คำแนะนำและส่งเสริมในด้านต่างๆ เช่น การส่งเสริมเทคโนโลยีการผลิต การมีส่วนร่วมกับชาวนา การขอรับรองมาตรฐาน การจัดซื้อ ตลอดจนการแปรรูปและการทำบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น พร้อมกับผลักดันสินค้าข้าวอินทรีย์ออกสู่ตลาด ภายใต้ชื่อของ ข้าวหว่าลาหมี่ อวี้ซัน
หลินหย่งหง (林泳浤) เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ตอบรับแนวคิดเรื่องของการทำเกษตรอินทรีย์เป็นคนแรกๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น เขาเองได้มีการเพาะเลี้ยงปูขนโดยอาศัยแหล่งน้ำคุณภาพดีจากแม่น้ำลาคู่ลาคู่ที่มีจุลินทรีย์และแบคทีเรียอยู่ตามธรรมชาติในการเพาะเลี้ยงแบบอินทรีย์ ก่อนที่ทางสำนักบริหารอุทยานแห่งชาติภูเขาหยกจะหันมาผลักดันโครงการดังกล่าว
หลินหย่งหงพูดถึงการทำเกษตรอินทรีย์ที่หลายคนสงสัยว่าต้องอาศัยแรงงานคนจำนวนมากจึงจะทำได้ เขากล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นเลย แต่ถ้าไม่มีวิธีการที่ถูกต้อง รับรองว่าต้องลำบากแน่ เริ่มจากการเตรียมดินหรือเตรียมพื้นที่ในขั้นตอนแรกที่จะต้องปรับพื้นนาให้ได้ระดับเป็นที่ราบเสมอกัน เพราะจะทำให้ระดับความลึกของน้ำในแปลงนาเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน วัชพืชจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ดังนั้น จะต้องเดินสำรวจแปลงนาทุกวัน การควบคุมระดับน้ำจึงเป็นงานสำคัญที่สุดของการควบคุมวัชพืช
หอยเชอรี่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจในแปลงนาข้าวของเกษตรกร ซึ่งคุณหลินหย่งหงเองเคยประสบกับปัญหาหอยเชอรี่ระบาดถึงสามครั้งใหญ่ๆ ในตอนแรกเขารู้สึกเกลียดหอยเชอรี่จนเข้ากระดูก แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือน เขาเริ่มเปลี่ยนความคิดและหันมาเป็นมิตรกับพวกมัน เขาพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสว่า หอยเชอรี่ไม่ชอบกัดกินต้นข้าวที่มีปริมาณเซลลูโลสสะสมอยู่ในระดับสูง พวกมันจะหันไปกัดกินวัชพืชแทน (เพราะว่านิ่มกว่า) จึงช่วยจำกัดวัชพืชไปด้วย
ขณะที่คุณไล่จินเต๋อ (賴金德) เกษตรกรอีกท่านหนึ่งกลับกล่าวว่า จริงๆ แล้วในรุ่นพ่อแม่ของเราต่างก็ทำนาด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมทั้งนั้น การเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก สุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เขาและคุณเกาชุนเม่ย (高春妹) ผู้เป็นภรรยา เคยตื่นขึ้นมากลางดึกในช่วงฤดูหนาวและพากันไปนอนบนคันนาเพื่อเฝ้าไม่ให้ฝูงนกเป็ดน้ำมากินต้นกล้าข้าวที่ปักดำอยู่ในนาข้าว คุณไล่จินเต๋อจะมีวิธีการจัดการข้าวอินทรีย์เหล่านี้หลังการเก็บเกี่ยวด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการตากข้าว สีข้าว กระทั่งการนำข้าวสารมาหุงเป็นข้าวสวยหอมกรุ่น รสชาติอร่อยเป็นพิเศษ แถมยังมีกลิ่นของแสงแดดอีกด้วย และนี่ก็น่าจะเป็นคำอธิบายให้เห็นถึงความลำบากของการทำเกษตรได้อย่างดี
เจตจำนงที่ต้องการเป็นมิตรกับโลกใบนี้ ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนกลับคืนจากธรรมชาติอย่างมากมาย โดยนอกจากผลผลิตข้าวอินทรีย์จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีแล้ว มูลนิธิฉือซินได้เชิญคุณเผิงเหรินจวิน (彭仁君) ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยไถตงทำการสำรวจระบบนิเวศวิทยา และค้นพบศักยภาพในการฟื้นฟูผืนดินจากการทำเกษตรอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในนาข้าวอินทรีย์ได้ช่วยกันสร้างโครงข่ายป้องกันระบบนิเวศขึ้น อีกทั้งยังมีแมลงศัตรูธรรมชาติที่มากพอและสามารถช่วยควบคุมปริมาณของแมลงศัตรูพืชในนาข้าวให้อยู่ในสภาพสมดุล
คุณหลินหย่งหงชี้ไปที่หนอนแดง (ริ้นน้ำแดง) ที่อยู่ในนาข้าว พร้อมกับกล่าวว่า หนอนแดงจะทำหน้าที่พลิกกลับดิน ช่วยบำรุงให้เป็นดินอินทรีย์ ส่วนเต่าทองสีส้มและแมงมุมขายาวจะช่วยกินแมลงต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อต้นข้าว อย่างเช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การกินต่อกันเป็นทอดๆ ของสิ่งมีชีวิตในห่วงโซ่อาหาร ทำให้นาข้าวอินทรีย์มักจะปรากฏเหล่านกกระยางขาว แมลงปอ นกอีก๋อย และนกนางแอ่น ที่มักจะชักชวนกันมาสร้างความคึกคักให้เห็นอยู่ในแปลงนาบ่อยๆ
กลุ่มเกษตรกรยังพบปลาไนซึ่งเป็นปลาน้ำจืดพันธุ์หายากและใกล้สูญพันธ์ของไต้หวันในแปลงนาของพวกเขาอีกด้วย คุณหวงจวิ้นหมิง (黃俊銘) หัวหน้าฝ่ายวางแผนโครงการ สำนักบริหารอุทยานแห่งชาติภูเขาหยก กล่าวว่า ในครั้งแรกคาดหวังเพียงแค่ต้องการให้ไร่นาที่อยู่บริเวณเชิงเขาของภูเขาหยกมีการจัดการที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการอนุรักษ์ของอุทยานแห่งชาติ และไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ การค้นพบปลาไนพันธุ์หายากอีกครั้ง ทำให้เกษตรกรต่างรู้สึกว่าการทำเกษตรอินทรีย์เป็นสิ่งที่มีความหมายยิ่งนัก
ช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา ข้าวหว่าลาหมี่ของอวี้ซันเริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ขณะที่ชุมชนหนานอันได้มีการส่งเสริมและผลักดันการท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยมีเกษตรกรในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมและทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ คอยแนะนำเรื่องราวต่างๆ ของการเพาะปลูกข้าวอินทรีย์ คนเมืองเองก็มีโอกาสได้สัมผัสการทำนาด้วยตัวเอง ได้ลงไปเหยียบผืนนา สัมผัสกับอุณหภูมิของน้ำจากแม่น้ำลาคู่ลาคู่ ได้เห็นเต่าทองสีส้มที่มักจะแฝงตัวอยู่ตามช่องว่างระหว่างใบและลำต้นของต้นข้าว ความรู้สึกตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในใจเหล่านี้ เชื่อได้ว่าคุณก็สามารถจะหาโอกาสมาสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเองเช่นกัน