ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เชฟหนุ่มสาวรุ่นใหม่ทั้งที่กลับจากต่างประเทศ หรือมีประสบการณ์ผ่านการฝึกฝนจากร้านอาหารหรูหราราคาแพง ต่างเลือกที่จะเปิดร้านอาหารสไตล์ฟิวชัน (Fusion Food) ที่ใช้วิธีการปรุงแบบตะวันตกแต่ยังคงรสชาติดั้งเดิมจากถิ่นกำเนิดของอาหารเอาไว้ แน่นอนว่า ร้านอาหารไต้หวันสไตล์ฟิวชัน เป็นหนึ่งในกระแสความนิยมดังกล่าวด้วย แต่คำถามที่ผุดขึ้นในใจของบรรดานักปรุงอาหารคือ ฉันคือใคร มาจากไหนและกำลังมุ่งไปในทิศทางใด
จะเกิดความรู้สึกอย่างไร ถ้าหากในห้องเรียนมีโซฟาวางอยู่สักตัว หรือห้องเรียนถูกตกแต่งให้ดูคล้ายกับผนังถ้ำ และนี่ก็คือห้องเรียนที่คุณครูหวงกั๋วผิง (黃國平) เนรมิตขึ้นมาให้กับนักเรียนของโรงเรียนประถมศึกษาฉงเต๋อ (崇德國小) ในนครนิวไทเป
การออกแบบหนังสือเรียนหรือแบบเรียนให้ดูมีชีวิตชีวาและเกิดความสนุกในการเรียนรู้มากขึ้น โดยผ่านการเล่นเกมเติมอักษร เป็นผลงานของกลุ่มเอสเตติกเซลล์ (AesthetiCell: 美感細胞團隊) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของคนรุ่นใหม่สามคน ที่ต้องการเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ให้กับแบบเรียนแบบเดิมๆ
การจัดการศึกษาแบบสุนทรียศึกษา (美學教育) กำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยน เพื่อสร้างสรรค์ให้เด็กๆ มีสุนทรียภาพในการดำรงชีวิต โดยการปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ทางความคิดที่งดงามไว้ภายในจิตใจของพวกเขา
ห้องเรียนในฝันแห่งแรกของไต้หวัน เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนประถมศึกษาฉงเต๋อ เขตซี่จื่อ นครนิวไทเป
(新北市崇德國小) เมื่อเดือนกันยายน 2017 เป็นผลงานการออกแบบและสร้างสรรค์โดยอิเกีย (IKEA) บริษัทผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านชั้นนำของโลก
เพดานห้องสีเหลืองครีม ผนังห้องสีฟ้าอ่อน หน้าต่างห้องตกแต่งด้วยผ้าม่านที่มีลวดลายของใบไม้สีเขียวแบบต่างๆ เก้าอี้นักเรียนสีเหลืองขาวถูกตั้งวางคู่กับโต๊ะไม้ที่สามารถพับเก็บได้ ทดแทนการใช้โต๊ะเรียนและเก้าอี้ไม้แบบเดิมๆ
ห้องเรียนในฝันกับความเหมือนที่แตกต่าง
กองการศึกษา นครนิวไทเป ร่วมมือกับอิเกีย (IKEA) จัดทำโครงการปฏิรูปการเรียนรู้ในโรงเรียน โดยมีห้องเรียนของคุณครูหวงกั๋วผิงในโรงเรียนประถมศึกษาฉงเต๋อ เป็นห้องเรียนต้นแบบแห่งแรกที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ
ครูหวงกั๋วผิงพูดคุยกับนักออกแบบถึงห้องเรียนในจินตนาการของเขาขณะให้สัมภาษณ์ว่า โต๊ะและเก้าอี้ควรจะต้องพับเก็บได้ พื้นที่ว่างภายในห้องจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้มากขึ้น สีสันควรจะต้องสดใสและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ห้องเรียนไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สำหรับเรียนหนังสือของนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอีกด้วย ช่วงเวลาที่เด็กๆ มีการตื่นตัวมากที่สุดในแต่ละวันคือขณะที่พวกเขาอยู่ในห้องเรียน ดังนั้น เขาจึงอยากให้ห้องเรียนมีบรรยากาศที่เหมือนกับบ้านและผ่อนคลายมากขึ้น นี่ก็คือห้องเรียนในแบบที่ครูหวงกั๋วผิงรอคอย
โต๊ะเรียนที่พับเก็บได้ เมื่อปรับขยายจะสามารถนั่งได้ถึง 6 คน ช่วยให้นักเรียนสามารถนั่งและทำงานกลุ่มด้วยกันได้สะดวกขึ้น เมื่อพับด้านข้างของโต๊ะทั้งสองข้างลงจะกลายเป็นโต๊ะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีลักษณะยาวๆ แคบๆ จากนั้นจึงย้ายโต๊ะไปวางชิดกับผนังห้อง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้มีพื้นที่ว่างตรงกลางห้องที่มากพอสำหรับฝึกซ้อมการแสดงเต้นรำ เมื่อปิดไฟภายในห้องเรียนและทุกคนนั่งบนพื้นเพื่อดูภาพยนตร์ ห้องเรียนจะกลายเป็นสถานที่สำหรับฉายหนังกลางแปลง และทำให้การใช้พื้นที่ในห้องเรียนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
การออกแบบห้องเรียนที่คำนึงถึงบรรยากาศโดยรวมของห้องเป็นหลัก ครูหวงกั๋วผิงและทีมออกแบบจึงนำตู้หนังสือมาจัดวางจนเต็มผนังด้านหลังห้องแทนของเดิมซึ่งเป็นบอร์ดติดประกาศ ตู้หนังสือสีขาวสะอาดตาดูกลมกลืนไปกับบานประตูของตู้ที่มีสีขาวสลับสีเขียวอ่อน ขณะที่การใช้ตะกร้าไม้ไผ่และตะกร้าบุผ้าสีเขียวเข้ม ช่วยเสริมให้ตู้หนังสือดูมีสีสันสะดุดตามากขึ้น การเลือกใช้และการจับคู่สีควบคู่กับการตกแต่งด้วยกระถางดอกไม้หรือประดับด้วยตุ๊กตา ทำให้ตู้หนังสือดูมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที
โซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าตู้หนังสือช่วยให้ห้องเรียนดูอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เลือกหนังสือสักเล่ม หามุมที่ตัวเองชอบ จะเป็นโซฟาที่อยู่หน้าตู้หนังสือหรือพรมปูพื้นห้องด้านหน้าโต๊ะทำงานของคุณครู ต่างก็เป็นบรรยากาศที่ชวนให้อ่านหนังสือได้อย่างผ่อนคลาย พื้นที่แต่ละส่วนในห้องเรียนมีความงดงามในตัวเอง ช่วงพักผ่อนตอนกลางวัน เด็กๆ สามารถงีบหลับบนโต๊ะเรียนหรือนอนบนพื้นก็ได้แล้วแต่จะเลือก ซึ่งเด็กทุกคนต่างก็มีมุมหรือพื้นที่ที่ตัวเองชอบ
ในห้องเรียนของครูหวงกั๋วผิง โต๊ะทำงานแบบยืนขนาดใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊กถูกนำมาวางแทนที่โพเดียมหรือแท่นยืนบรรยายแบบดั้งเดิมซึ่งมักจะตั้งไว้บริเวณหน้ากระดานดำ เก้าอี้บาร์สูงที่วางคู่กันเป็นการออกแบบที่ทำให้ครูหวงกั๋วผิงรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่มากขึ้น นอกจากจะเอื้อต่อการนั่งพูดคุยหรือโต้ตอบกับนักเรียนอย่างผ่อนคลายแล้ว ครูยังสามารถลุกขึ้นเดินได้ตลอดเวลา และเป็นการแก้ปัญหาเรื่องของการยืนสอนติดต่อกันเป็นเวลานาน ครูหวงกั๋วผิงกล่าวติดตลกว่า เก้าอี้ตัวนี้นั่งสบายมาก คุณครูทุกคนควรจะมีไว้สักตัว จะทำให้มีบรรยากาศการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไป
การรีโนเวทในครั้งนี้ทำให้ห้องเรียนดูทันสมัยและมีสีสันสดใส เพียงแค่เดินเข้าห้องเรียนก็ทำให้รู้สึกได้ว่าชีวิตถูกเติมเต็มและความฝันกำลังกลายเป็นความจริง
ห้องเรียนที่เหมือนบ้าน
การที่โครงการของครูหวงกั๋วผิงถูกคัดเลือกออกมาจากหลายๆ โครงการและได้รับการสนับสนุน เป็นผลจากความพยายามร่วมสิบกว่าปีในการสร้างบรรยากาศการเรียนในห้องเรียนของเขา
ครูหวงกั๋วผิงเปิดเผยว่า ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ห้องเรียนในไต้หวันยังคงรูปแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนมากนัก การปฏิรูปการศึกษามักจะเป็นการปรับหลักสูตรและมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนโครงสร้างรายวิชา โดยไม่ได้คำนึงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศ เขามักจะถูกดึงดูดด้วยทิวทัศน์ของประเทศเหล่านั้น เมื่อคนในประเทศเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมดังกล่าว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้การศึกษาเกี่ยวกับสุนทรียภาพโดยเฉพาะ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งครูหวงกั๋วผิงมองว่าการสร้างสภาพแวดล้อมที่สวยงามและสะดวกสบายเป็นเรื่องที่สำคัญกว่ามาก
นับตั้งแต่ที่ครูหวงกั๋วผิงเข้ามาเป็นครูประจำชั้น เขาก็ทำการตกแต่งห้องเรียนด้วยตัวเองมาตลอด เริ่มจากการทำรูปการ์ตูนตัดต่อจากกระดาษมาตกแต่งประดับบนบอร์ดติดประกาศในห้องเรียน ใช้เงินของตัวเขาเองซื้อผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ รวมทั้งโซฟามือสอง เพื่อต้องการทำให้ห้องเรียนมีความสวยงามและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น
หลายปีก่อนหน้านี้ ครูหวงกั๋วผิงสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนประถมศึกษาต้าหยวน ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับสนามบินทำให้ไม่สามารถเปิดหน้าต่างห้องเรียนได้ ประกอบกับเขาสังเกตเห็นในช่วงเปิดเทอมว่าหลังจากรับหนังสือเรียนแล้ว เด็กๆ มักจะทิ้งห่อบรรจุหนังสือซึ่งทำจากกระดาษคราฟท์ทำให้เขารู้สึกเสียดาย จึงเกิดความคิดว่าน่าจะนำเอากระดาษเหล่านี้มาตกแต่งเวทีของห้องเรียนและที่ผนังด้านนอกของห้องเรียน โดยเอากระดาษดังกล่าวมาขยุ้มให้ยับยู่ยี่ ก่อนจะนำไปติดที่ผนังห้องเพื่อทำให้ดูคล้ายกับถ้ำ
ครูหวงกั๋วผิงมักจะใช้เวลาช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาวและฤดูร้อนมาตกแต่งห้องเรียน เขาต้องควักกระเป๋าตัวเองและแบ่งเวลามาทำ บางครั้งเกิดตุ่มน้ำพองขึ้นตามมือจากการทำงานหนัก แต่ครูหวงกั๋วผิงบอกว่า เขามีความคาดหวังและมีความสุขมากระหว่างที่เขาทำงานเหล่านี้ อาการดีใจและประหลาดใจของนักเรียนที่เขาเห็นตอนเปิดเทอม คือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากที่สุด
การทำให้เด็กๆ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ได้รับการตกแต่งอย่างเอาใจใส่ เป็นการกระตุ้นให้เด็กเหล่านี้เกิดความอยากเรียนรู้ เด็กนักเรียนที่เคยเป็นลูกศิษย์ของครูหวงกั๋วผิงและมาเป็นครูในภายหลังก็ได้รับอิทธิพลและความคิดการตกแต่งห้องเรียนจากครูหวงกั๋วผิงไปด้วย และเขาก็มีการตกแต่งห้องเรียนของเขาให้ดูสวยงาม นับเป็นการถ่ายทอดเมล็ดพันธุ์แห่งสุนทรียภาพที่ครูหวงกั๋วผิงได้ปลูกไว้ภายในใจของเขาให้ดำรงสืบต่อไป
ยกหอศิลป์มาไว้บนโต๊ะเรียน
ผู้ที่ยอมรับแนวคิดที่ว่าสุนทรียศึกษาต้องเริ่มจากสภาพแวดล้อม มิได้มีเพียงแค่คนที่มีอาชีพครูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักศึกษา 3 คนจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจียวทง (National Chiao Tung University: 交通大學) ในเมืองซินจู๋ ที่รวมตัวกันในชื่อกลุ่ม เอสเตติกเซลล์ ซึ่งมีแนวคิดที่จะรณรงค์ให้เกิดการปฏิรูปหนังสือเรียนและแบบเรียน เพื่อยกระดับด้านสุนทรียศาสตร์ของไต้หวัน บุคคลทั้งสามคือนายหลินจงเยี่ยน (林宗諺) นายเฉินมู่เทียน (陳慕天) และนายจางป๋อเหวย (張柏韋) พวกเขารู้จักมักคุ้นกันจากการทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย และหลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางไปต่างประเทศระหว่างกันแล้ว ต่างรู้สึกตื่นเต้นและหลงใหลไปกับภูมิทัศน์ที่สวยงามของเมืองต่างๆ ในประเทศเหล่านั้น การออกแบบที่งดงามสามารถพบเห็นได้ทั้งจากของที่มีขนาดใหญ่อย่างสถาปัตยกรรมและอาคารบ้านเรือนจนถึงของที่มีขนาดเล็กเช่นโปสเตอร์หรือใบปลิวโฆษณา แรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยทำให้พวกเขาเกิดความคิดที่จะปรับปรุงสุนทรียศึกษาของไต้หวันให้ดีขึ้น
มนุษย์จะเกิดความเข้าใจในสุนทรียภาพได้จำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และสัมผัสระยะหนึ่ง โดยผ่านการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเปรียบเทียบกับการปรับปรุงอาคารหรือการรีโนเวทตึกซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนป้ายกันใหม่แล้ว ต้นทุนในการปรับเปลี่ยนหนังสือเรียนหรือแบบเรียนนั้นต่ำกว่ามาก แต่สามารถส่งผลกระทบและขยายผลไปยังทุกระดับชั้นได้ในวงกว้างกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือชนบท เด็กทุกคนจะต้องใช้แบบเรียนทุกวัน และอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งในการลดช่องว่างด้านสุนทรียศึกษาระหว่างการศึกษาในเมืองและในชนบทลงได้
ขอแบบเรียนให้เราสักหนึ่งเล่ม เราจะเปลี่ยนแบบเรียนเล่มนั้นให้เป็นหอศิลป์สำหรับเด็กๆ นี่คือปณิธานของกลุ่มเอสเตติกเซลล์ ที่ต้องการให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสสัมผัสกับผลงานด้านสุนทรียศาสตร์ได้ทันทีที่พวกเขาเปิดพลิกแบบเรียนในปี 2013 สมาชิกกลุ่มเอสเตติกเซลล์ทั้งสามคนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะจัดทำโครงการ แบบเรียนสุนทรียศาสตร์ ขึ้น แม้ในขณะนั้นพวกเขาจะยังไม่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
ด้วยความที่พวกเขาไม่มีพื้นฐานทางด้านการออกแบบและไม่ได้เรียนด้านศึกษาศาสตร์ มีเพียงความมุ่งมั่นที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสุนทรียศึกษาในไต้หวัน พวกเขาจึงทุ่มเทให้กับการเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ หันไปศึกษาทางด้านจิตวิทยาเด็ก และเทคนิคการเลือกใช้สี รวมทั้งพยายามเสาะแสวงหานักออกแบบผ่านช่องทางต่างๆ ที่สามารถทำได้ ในช่วงเริ่มต้นซึ่งมีทรัพยากรที่ค่อนข้างจำกัด พวกเขาจะใช้เอกสารสรุปแบบง่ายๆ ในการอธิบายถึงแนวคิดของพวกเขาต่อบรรดานักออกแบบที่ยินยอมรับการสัมภาษณ์ แม้จะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ แต่พวกเขาก็ยังคงมีความหวังว่าจะค้นพบนักออกแบบที่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้และมาร่วมมือกัน คุณจางป๋อเหวยเปิดเผยว่า เมื่อย้อนกลับไปนึกถึงสมัยที่เริ่มต้นกันใหม่ๆ ตอนนั้นก็ดูเหมือนกับแก๊งต้มตุ๋นจริงๆ ต้องไปอธิบายถึงแนวคิดที่เป็นนามธรรมเอามากๆ อีกทั้งค่าตอบแทนที่ได้รับมีเพียงความจริงใจเท่านั้น
ผ่านไปหลายเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับความร่วมมือจากนักออกแบบมากถึงสิบกว่าคน ที่จะมาร่วมกันสร้างแบบเรียนภาษาจีนในรูปแบบที่ต่างออกไปจากความคิดของคนส่วนใหญ่ ปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษร เพิ่มภาพประกอบให้ดูมีชีวิตชีวาน่าสนใจ เพิ่มพื้นที่ว่างในหน้าหนังสือให้มากขึ้น นำงานออกแบบนิเทศศิลป์มาใช้ในการออกแบบหน้าปกให้ดูทันสมัย ทำให้แบบเรียนภาษาจีนไม่ได้เป็นเพียงหนังสือสำหรับเรียนภาษาจีนเท่านั้น แต่ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสุนทรียภาพผ่านแบบเรียนดังกล่าวได้เช่นกัน
แบบเรียนนี้เป็นเล่มที่หนูจะเก็บเอาไว้อย่างดี ภาพประกอบหนังสือภาพนี้สวยงามมาก ..... คำพูดที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจของเด็กๆ ที่ได้รับแบบเรียนเหล่านี้ในระหว่างที่พวกเขานำแบบเรียนไปแจกทั่วเกาะไต้หวัน สร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มเอสเตติกเซลล์ที่จะเดินหน้าเพื่อสานฝันของพวกเขาต่อไป
บ่มเพาะอนาคตที่งดงามให้กับเด็ก
คงคล้ายกับคำถามที่มีเด็กถามขึ้นขณะนำหนังสือไปแจกว่า จะทำความฝันให้เป็นจริงได้อย่างไร ซึ่งคุณจางป๋อเหวยได้บอกกับเด็กๆ ไปว่า มีเรื่องมากมายที่ไม่ได้ยากอย่างที่คิดไว้ ขอเพียงแค่ให้ลงมือทำ ครั้งแรกอาจจะได้แค่ 50 คะแนน แต่เมื่อทำต่อเนื่องอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ และจะเข้าใกล้ความฝันมากขึ้นเช่นกัน แบบเรียนสุนทรียศาสตร์แต่ละรุ่นที่ออกแบบจะแฝงเร้นไว้ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป แบบเรียนรุ่นที่หนึ่งนับเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของโครงการ ส่วนแบบเรียนรุ่นที่สองเป็นการทดสอบความเป็นไปได้ของการนำไปใช้กับนักเรียนในระดับที่แตกต่างกัน
กลุ่มเอสเตติกเซลล์ออกแบบเรียนสุนทรียศาสตร์ในรุ่นที่ 3 ในปี 2017 โดยอาศัยประสบการณ์จากการทำแบบเรียนทั้งสองรุ่นที่ผ่านมา ทีมงานขยายขอบเขตจากแบบเรียนภาษาจีน ไปสู่วิชาเรียนอื่นๆ เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ธรรมชาติรอบตัว และสังคมศึกษา โดยจะมีนักออกแบบแต่ละคนมาร่วมในการวางแผน คุณเฉินมู่เทียนมองว่านักออกแบบแต่ละท่านต่างก็เป็นนักจัดนิทรรศการด้วย ซึ่งนักออกแบบเหล่านี้สามารถออกแบบแบบเรียนได้อย่างอิสระตามแนวคิดหรือมุมมองที่พวกเขามีต่อวิชาเรียนนั้นๆ
คุณเฉินมู่เทียนเปิดเผยว่า แบบเรียนแต่ละเล่มมีบทบาทหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทั้งวิชาสังคมศึกษา ภาษาจีน ธรรมชาติรอบตัว ภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์ แบบเรียนรุ่นแรกๆ จะมีความสอดคล้องกับกฎระเบียบที่ถือปฏิบัติอยู่และเหมาะกับสถานการณ์ ขณะที่แบบเรียนในยุคหลังๆ จะไม่มีข้อจำกัดใดๆ เพื่อให้นักออกแบบสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบได้อย่างเต็มที่
แบบเรียนคณิตศาสตร์ซึ่งออกแบบโดยคุณฟางซวี่จง (方序中) เป็นแบบเรียนที่มีวิธีการเปิดหน้าหนังสือโดยเปิดแบบหน้าคู่ คือหน้าซ้ายและขวาได้พร้อมกัน และยังสามารถพับเก็บตามแต่ต้องการได้ แบบเรียนจึงเสมือนหนึ่งสามารถแปลงร่างได้นั่นเอง ส่วนแบบเรียนวิชาธรรมชาติรอบตัวเป็นผลงานการออกแบบของคุณหวังอ้ายลี่ (王艾莉) โดยนำอุปกรณ์การทดลองและขั้นตอนต่างๆ มาถ่ายทอดลงในแบบเรียนผ่านการถ่ายภาพในสตูดิโอเพื่อให้ภาพถ่ายมีคุณภาพมากขึ้น สีของพื้นหลังหน้ากระดาษภายในแบบเรียนจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของหัวข้อการทดลองนั้นๆ เช่น การทดลองเกี่ยวกับก๊าซจะใช้สีฟ้าซึ่งเป็นโทนสีเย็น ขณะที่การทดลองเกี่ยวกับการเผาไหม้จะใช้สีโทนร้อนเป็นสีของพื้นหลัง
แบบเรียนสังคมศึกษาได้รับการออกแบบโดย Simpleinfo บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบสารสนเทศ การนำรูปหรือภาพวาดมาประยุกต์ใช้ทำให้การถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารไปสู่ผู้เรียนทำได้อย่างรวดเร็ว เช่น การใช้ภาพการเดินเที่ยวในตลาดนัดกลางคืนมาแนะนำให้รู้จักกับอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการใช้ภาพในแบบต่างๆ เพื่อสื่อถึงประเด็นทางสังคมอื่นๆ เช่น ความเสมอภาคทางเพศ ชนเผ่าพื้นเมือง เป็นการกระตุ้นให้เกิดจินตนาการ และเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างครูกับนักเรียนอีกด้วย
คุณฝงอวี่ (馮宇) นักออกแบบอีกท่านหนึ่ง ใช้ภาพที่สื่อและสอดคล้องกับเนื้อหาของบทเรียนเพิ่มลงในแบบเรียนภาษาจีน ยกตัวอย่างเช่น บทเรียนเรื่องการวางแผนการใช้เวลา คุณฝงอวี่ออกแบบบัญชีเวลาขึ้น เพื่อให้เด็กๆ สามารถวางแผนและบริหารจัดการเวลาของตัวเอง จึงเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักการวิเคราะห์ด้วย สำหรับผลงานสร้างสรรค์จากฝีมือของนักออกแบบที่ชื่อว่าคุณเฉินหย่งจี (陳永基) เป็นการออกแบบแบบเรียนในวิชาภาษาอังกฤษที่สะท้อนผ่านมุมมองของศิลปะร่วมสมัย หน้าปกออกแบบเป็นลายตารางสีสันต่างๆ ของเกมเติมอักษร เพื่อให้เด็กๆ สามารถแสดงออกได้อย่างอิสระเสรี
แบบเรียนที่จัดทำขึ้นตามแนวคิดของการออกแบบเหล่านี้ ได้ส่งมอบให้กับโรงเรียนประถมศึกษาจำนวน 170 กว่าแห่งทั่วไต้หวัน การเรียนรู้แบบซึบซับจากแบบเรียนที่สวยงามเหล่านี้ ในระหว่างการศึกษาภาคบังคับ 12 ปี ที่มีชั่วโมงเรียนมากมายนับไม่ถ้วน จะช่วยให้เด็กๆ เกิดจินตนาการผ่านการรับรู้ความว่องไวในการสังเกตสี และการพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์
โครงการแบบเรียนสุนทรียศาสตร์เขย่ามุมมองความคิดของผู้คนที่มีต่อแบบเรียนให้เปลี่ยนไป กฎระเบียบที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันอาจจะทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนแบบเรียนจากรูปแบบเดิมๆ ได้มากนัก แต่การเปลี่ยนแปลงในบางจุด เช่น การผ่อนปรนระบบในเรื่องของลักษณะตัวอักษร รูปภาพที่ใช้ในแบบเรียน ลักษณะรูปเล่ม ตลอดจนการกำหนดราคา เป็นการดึงเอาความสามารถของนักออกแบบชั้นนำของไต้หวันเข้ามาสู่วงการของการสร้างแบบเรียน ซึ่งจะทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ในการพัฒนาแบบเรียนมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนสื่อกลางในการเรียนรู้ ตั้งแต่สภาพแวดล้อมของห้องเรียนจนถึงการออกแบบแบบเรียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้ ทำให้การศึกษาที่เรียกว่าสุนทรียศึกษา ไม่ได้หมายความถึงการเรียนวิชาศิลปะหรือพาไปทัศนศึกษาที่หอศิลป์เท่านั้น แต่เป็นการนำเอาสุนทรียภาพที่มีอยู่มาสอดแทรกเข้าไปในการใช้ชีวิตประจำวัน และเป็นการให้นิยามใหม่แก่คำว่า สุนทรียศึกษานั่นเอง