ในชั้นเรียน เด็กๆ ประสานเสียงอ่านตำราเรียนกันอย่าง พร้อมเพรียง วันนั้นหัวข้อที่เรียนในวิชาภาษาจีน คือ ประสบการณ์กลับไปเยี่ยมบ้านยายที่เวียดนาม ไช่ฮุ่ยถิง (蔡惠婷) สวมชุดอ๋าวหย่าย ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของ เวียดนาม เล่าเรื่องอาหารอร่อย ขนบธรรมเนียมประเพณี และเปดิ คลปิ วดิ โี อการแสดงหนุ่ กระบอกนำ้ ของเวยี ดนาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เธอได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งจากการเข้าร่วม โครงการเยี่ยมบ้านยายที่เวียดนาม
เธอกล่าวว่า ประสบการณ์ชีวิตของครูเป็นสื่อการสอน ที่ดีที่สุด เมื่อคุณได้สั่งสมประสบการณ์ เติมเต็มให้กับชีวิต สื่อการสอนนั้นไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะตำราเรียน เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย, ประสบการณ์, เรื่องราวมากมายในชีวิตก็ สามารถนำมาแบ่งปันให้แก่เด็กๆ ได้ทุกเมื่อ
ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนปีค.ศ. 2013 ไช่ฮุ่ยถิง คุณครู โรงเรียนประถมหยางกวงเมืองซินจู๋ (新竹陽光國小) เฉินซิงหรู (陳星儒) และหร่วนซื่อหรัน (阮氏然) หรือ อาหรัน ทั้ง 3 คนร่วมเดินทางไปเวียดนามด้วยกัน อาหรัน จะได้กลับไปเยี่ยมแม่ซึ่งไม่ได้เจอหน้ากันนาน 3 ปีแล้ว ซิง หรูก็จะได้กลับไปบ้านยาย ส่วนไช่ฮุ่ยถิงจะข้ามน้ำข้าม ทะเลเพื่อไปเยี่ยมเยือนครอบครัวคุณยายของนักเรียนด้วย
ไช่ฮุ่ยถิงหรือที่ทุกคนเรียกว่า “คุณครูนกน้อย” มีประสบ- การณ์สอน 10 ปี อุปนิสัยมีความอยากรู้อยากเห็น รัก การผจญภัย เมื่อเพื่อนเห็นว่ามี “โครงการเยี่ยมบ้านยาย” เปิดรับสมัครจึงแนะนำให้เธอเป็นคนแรก เฉินซิงหรูเป็น นักเรียนใน “โครงการมือประสานมือ” ของไช่ฮุ่ยถิง โดย โครงการดังกล่าวทางกระทรวงศึกษาธิการจัดให้มีการ แนะแนวสำหรับเด็กนักเรียนผู้ด้อยโอกาส ตอนที่ไช่ฮุ่ยถิง รู้จักเฉินซิงหรู เธอเพิ่งกลับมาจากบ้านยายที่เวียดนาม เมื่อกลับมายังไต้หวันก็พูดจีนติดสำเนียงเวียดนามมา ด้วย ภาษาจีนกลางจึงไม่คล่อง และเนื่องจากเรียนไม่ทัน เพื่อน จึงต้องลดลงมาเรียนในชั้นที่ต่ำกว่าเดิม 2 ระดับ ทำให้เฉินซิงหรูมีอายุมากกว่าเพื่อนร่วมชั้นเล็กน้อย แต่ เธอก็ยังร่าเริงดีและสามารถคบกับเพื่อนๆได้ อาหรัน เองก็ไม่เหมือนคุณแม่ซึ่งเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทั่วไป เธอมี ความกระตือรือร้นในการมีปฏิสัมพันธ์กับครู เอาใจใส่ต่อ การบ้านของลูก ทำให้คุณครูนกน้อยรู้สึกประทับใจอย่าง มาก
บทบาทของครู
แรกเริ่มเดิมที ไช่ฮุ่ยถิงเพียงแค่อยากจะพาอาหรันกับ ลูกสาวซึ่งไม่ได้กลับเวียดนามมานาน 3 ปีแล้วให้ได้กลับ บ้านอีกครั้ง เธอจึงได้สมัครโครงการเยี่ยมบ้านยายขึ้นมา หลังจากผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้าย ก็ต้องพบกับ อุปสรรค เจ้านายของอาหรันและสามีไม่อนุญาตให้พวก เขากลับไปเวียดนาม
“การยอมแพ้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก” ไช่ฮุ่ยถิงกล่าวด้วย ความเสียดาย แต่คุณครูนกน้อยรู้ดีว่า อาหรันคิดถึงพ่อแม่ ที่เวียดนามมาก เธอจึงอาศัยสถานะความเป็นครูในการ หว่านล้อมให้เจ้านายของอาหรัน รู้สึกเห็นใจและอนุญาต ให้อาหรันลางานได้ ส่วนสามีของอาหรันซึ่งกังวลว่า อาหรันไปแล้วจะไม่กลับมาอีก คุณครูนกน้อยก็ได้พยายาม ทุกวิถีทาง ทั้งไปเยี่ยมที่บ้านอาหรันอยู่บ่อยครั้ง พูดจา หว่านล้อมจนกระทั่งสามีอาหรันใจอ่อนยอมให้พวกเขา เดินทางไปได้ในที่สุด
เจตนารมณ์ของโครงการเยี่ยมบ้านยาย แรกเริ่มเดิมที มงุ่ หวงั ใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจในจดุ เดน่ ของวฒั นธรรม ประจำชาติของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ โดยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทำหน้าที่เป็นทูตวัฒนธรรมในการเดินทางครั้งนี้ แต่ สำหรับอาหรัน ผู้ซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็กและ ไม่มีโอกาสไปไหนเลย นอกจากจังหวัดด่งท้าป (Đồng Tháp) ในเวียดนามจึงไม่คุ้นเคยทั้งเรื่องภูมิศาสตร์และ ประวัติศาสตร์ ดังนั้นการเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้ จึง กลับกลายเป็นครูนกน้อยที่ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ก่อนเดินทาง ทั้งแนะนำภูมิศาสตร์และพื้นเพวัฒนธรรม ของเวียดนามตลอดการเดินทาง พาทุกคนไปสัมผัส ประสบการณ์ที่ตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดด่งท้าป ฟัง อาม่าของอาหรันเล่าเรื่องสงครามเวียดนาม
แม่ของอาหรันต้องจากบ้านเกิดมายังเวียดนามเหนือ เพื่อทำมาค้าขายหาเลี้ยงชีพ คุณครูนกน้อยได้นำทีมบุกป่า ฝ่าดงมุ่งสู่เวียดนามเหนือเป็นระยะทาง 2,000 กม. นาน 2 วัน 2 คืน จนถึงกรุงฮานอยเพื่อไปตามหาแม่ของอาหรัน คุณครูนกน้อยยังพาทุกคนไปเที่ยวที่อ่าวฮาลองหรือฮา ลองเบย์ (Halong Bay) และในกรุงฮานอยอีกด้วย การ เดินทางครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่อาหรันได้ท่องเที่ยวกับ ครอบครัว แม่ของอาหรันได้สัมผัสกับน้ำทะเลเป็นครั้ง แรก พ่อแม่ของอาหรันก็เพิ่งสัมผัสประสบการณ์เข้าร้าน อาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นครั้งแรกด้วย การเดินทางกลับไป เยี่ยมบ้าu3609 นยายครั้งนี้ จึงเป็นความทรงจำที่ยากจะลืม เลือนสำหรับพวกเขา
ก้าวข้ามวัฒนธรรม กลายเป็นคนใน ท้องถิ่น
ที่บ้านของอาหรันในเวียดนามมีห้องอาบนำ้แบบสมัย ใหม่ห้องหนึ่ง สร้างขึ้นมาใหม่ตอนที่อาหรันแต่งงาน แต่ ห้องอาบน้ำห้องนี้โดยมากไว้ให้แขกต่างชาติมาใช้ คนใน พื้นที่ชอบอาบนำ้ในแม่นำ้ลำคลองที่หน้าบ้านมากกว่า เมอื่ มาถงึ ตอนแรกไชฮ่ ยุ่ ถงิ กใ็ ชห้ อ้ งอาบนำ้ สำหรบั นกั ทอ่ ง เที่ยว จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งท่ามกลางแสงสลัว เธอพบ ว่าน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำเป็นน้ำสีเหลืองๆ ขุ่นๆ แถม ยังมีเศษกิ่งไม้ปนอยู่ด้วย จึงได้รู้ว่าที่แท้น้ำที่ใช้ในห้องอาบ น้ำแบบสมัยใหม่เป็นน้ำมาจากแม่น้ำหน้าบ้านนั่นเอง หลัง จากนั้นเป็นต้นมา คุณครูนกน้อยจึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว กระโดดลงแม่น้ำเลยดีกว่า ลงไป เล่นน้ำกับผู้คนอย่างสบายใจเสียเลย จากนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของอาหรันก็ไม่มองว่าครูเป็นแขกอีกต่อไป แต่ มองว่าครูเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เพราะเธอได้ก้าว ข้ามกำแพงทางวัฒนธรรมและประสบการณ์เดิมๆ ปรับ ตัวใช้ชีวิตแบบคนในท้องถิ่นจริงๆ
ไช่ฮุ่ยถิงชอบเข้าครัวกับอาหรัน มองดูคนในครอบครัว นั่งล้อมวงกินข้าวกัน มีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างญาติๆ ความรู้สึกแบบนี้เป็นสิ่งที่อาหรันและซิงหรูขาดเมื่ออยู่ที่ ไต้หวัน คุณครูนกน้อยยังกล้าที่จะลองชิมไข่ตัวอ่อนเป็ด เนื้อหนู เป็นเพราะข้าวปลาอาหารที่นั่นไม่อุดมสมบูรณ์ โอกาสที่จะได้กินเนื้อนั้นมีน้อย ผู้คนต้องเสริมโปรตีนด้วย สิ่งเหล่านี้แทน บทเรียนเรื่องอาหารนก็ทำให้ไช่ฮุ่ยถิงได้ เรียนรู้ว่า “วัฒนธรรมไม่มีถูกหรือผิด ไม่มีสูงหรือต่ำ เพียง แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน”
หลังกลับจากบ้านยาย...
หลังจากเดินทางกลับไต้หวันแล้ว ไช่ฮุ่ยถิงพบว่า ที่จริง แล้วรอบๆ ตัวเรามีชาวต่างชาติที่เดินทางข้ามน้ำข้าม ทะเลมายังไต้หวันมากมายเลยทีเดียว แต่กลับถูกพวก เรามองข้ามอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเดินทางจากบ้านเกิด มาก็เพื่อความรัก เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้น จะทำอย่างไรให้พวกเขาได้รับความอบอุ่นจากไต้หวัน แก้ไขอคติทางสังคม คุณครูนกน้อยคิดว่า คงต้องใช้การ ศึกษาช่วยขจัดปัญหาเหล่านี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
เธอกล่าวถึงตัวอย่างหนึ่งในชั้นเรียน คุณจางเจิ้ง (張 正) ผู้ก่อตั้งร้านหนังสือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ชั่นลั่นสื อกวง” (燦爛時光) ได้จัดกิจกรรมมอบเสื้อผ้ากันหนาว ให้แก่แรงงานต่างชาติในอำเภอซูอ้าว เมืองอี๋หลาน เธอ คดิ วา่ จะทำอยา่ งไรในชนั้ เรยี นเพอื่ จดุ ประกายความสนใจ ของนักเรียนในประเด็นนี้ขึ้นมา
เธอจึงใช้ “อาหารทะเล” ที่ทุกคนชอบทานมาเป็นตัว จุดประกาย เธอได้เล่าเรื่องราวของแรงงานข้ามชาติให้ เด็กนักเรียนชั้นประถมฟังว่า ที่ไต้หวันมีแรงงานข้ามชาติ ในภาคการประมงกลุ่มหนึ่ง พูดคุยภาษาที่พวกเราฟังไม่ ออก การทำงานแสนลำบากแต่รายได้น้อยนิด คุณครู นกน้อยเปิดคลิปวิดีโอรายการ “Singing in Taiwan” (唱四方) ให้เด็กๆ ได้เห็นสภาพการทำงานของพวกเขา จริงๆ จินตนาการถึงชีวิตบนเรือ และในตอนนั้นเอง มีเด็ก นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วถามว่า “คุณครูครับ แล้ว พวกเราจะทำอะไรเพื่อพวกเขาได้บ้าง?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ไช่ฮุ่ยถิงก็ปรบมือ เนื่องจากเด็กถาม ตรงประเด็นสำคัญที่เธอต้องการแล้ว “เมื่อคุณทำให้เด็ก เริ่มรู้สึกเมตตาและเห็นอกเห็นใจขึ้นมาได้ด้วยตัวเขาเอง แล้ว ถือว่าการสอนประสบความสำเร็จ” ไช่ฮุ่ยถิงกล่าว หลังจากนั้นในชั้นเรียนก็มีการพูดคุยกันตามประสาเด็กๆ ใช้ความคิดและจินตนาการของพวกเขา จนในที่สุด ทุก คนกต็ ดั สนิ ใจวา่ จะไปขอเสอื้ กนั หนาวของคณุ พอ่ และคณุ ปู่ มาบริจาคให้พวกเขา ดังนั้นคุณครูนกน้อยจึงได้ติดต่อไปยัง ผู้ปกครองเพื่ออธิบายและขออนุญาตให้เด็กๆ ได้นำเสื้อกัน หนาวมาบริจาคด้วยตนเอง เด็กๆ จะได้รู้สึกถึงการมีส่วน ร่วมอย่างแท้จริง
หลังจากรวบรวมสิ่งของที่นำไปบริจาคทั้งชั้นเรียน และห่อพัสดุเรียบร้อยแล้ว เด็กๆ ยังเสนอให้วาดรูปบน กล่องกระดาษ โดยวาดรูปเรือประมง สายรุ้ง เขียนคำว่า “ขอบคุณ” เป็นภาษาอินโดนีเซียและภาษาฟิลิปปินส์อีก ด้วย นักเรียนทั้งชั้นอัดคลิปวิดีโอพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เป็นภาษาอินโดนีเซีย ส่งไปยังสหภาพลูกเรือประมงข้าม ชาติเมืองอี๋หลาน (Yilan Migrant Fishermen Union) กจิ กรรมอนั อบอนุ่ เชน่ นไี้ ดร้ บั การตอบรบั ดว้ ยไมตรจี ติ จาก บรรดาแรงงานต่างชาติเช่นกัน ความอบอุ่นแผ่กระจายไป ทั่วทั้งผู้ให้และผู้รับ
ทุกเรื่องราวล้วนเป็นแสงสว่างแห่ง การเรียนรู้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาษาของเด็กๆ มักเกิดจากการเลียน แบบผู้ใหญ่โดยไม่รู้ความหมาย การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง อยู่ในโรงเรียนทำให้เด็กๆ อาจติดคำพูดมาโดยไม่ระวัง บางทีอาจทำร้ายความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนที่เป็นผู้ตั้ง ถิ่นฐานใหม่ คุณครูมีวิธีจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? ไช่ฮุ่ยถิง ถ่ายทอดคำพูดจากครูรุ่นก่อนที่ว่า “ทุกเรื่องราวล้วนเป็น แสงสว่างแห่งการเรียนรู้” ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนมี ความหมาย ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทำให้ผู้สอนมีโอกาสในการ สำรวจรากฐานความเปน็ มาและถอื เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการ ศึกษา
ครูต้องอธิบายอย่างละเอียดให้เด็กเข้าใจถึงมูลเหตุที่อยู่ เบื้องหลังคำพูดที่พูดออกมาโดยไม่ระวังนั้น ทำให้เด็กรู้จัก จุดอ่อนของตนเอง ได้เรียนรู้และจำแนกสิ่งที่มีคุณค่า เพื่อ สร้างค่านิยมที่ถูกต้อง รวมถึงให้เด็กๆ เรียนรู้วิธีการใช้คำ พูดที่เหมาะสม ไช่ฮุ่ยถิงเห็นความสำคัญของกระบวนการ สอนในขั้นตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง
คุณครูนกน้อยยังกล่าวถึงซิงหรูว่า หลังจากที่เธอ กลับมาไต้หวันหมาดๆ ภาษาจีนยังไม่เข้าที่เข้าทาง คุณครู ของเธอจึงต้องพูดช้าๆ และใช้กิริยาท่าทางประกอบเพื่อให้ ซิงหรูเข้าใจ บรรดาเพื่อนนักเรียนเห็นวิธีการของครูแล้วก็ เรียนรู้ที่จะทำตามครูโดยธรรมชาติ “การเลือกปฏิบัติไม่ได้ เกิดข้นึ เองตามธรรมชาติแต่เกิดจากการถูกส่งั สอนในภาย หลัง ดังนั้นจึงสามารถใช้การศึกษามาแก้ไขในจุดนี้ได้”
เส้นทางไปเป็นเพื่อนพาเด็กกลับบ้าน
หลังกลับจากบ้านยาย ไช่ฮุ่ยถิงได้รับเชิญให้ไปบรรยาย ในงาน TED×Youth@Taipei เธอยืนบนเวทีและเล่า เรื่องราวการเดินทางในครั้งนี้ เธอหวังว่าจะเป็นผู้u3648 เล่าเรื่อง ราวให้ผู้คนอีกหลายๆ คนได้รับรู้ถึงประสบการณ์ของเธอ และหวังว่าจะช่วยขจัดการเลือกปฏิบัติและอคติในสังคม ได้มากขึ้น
ไช่ฮุ่ยถิงแนะนำอีกว่า ครูสามารถไปเป็นเพื่อนพาเด็กผู้ ตั้งถิ่นฐานใหม่กลับบ้านได้ จากการสนทนากันแบบหนึ่งต่อ หนึ่ง ทำให้ได้รับรู้ถึงเส้นทางที่นักเรียนต้องพานพบในการ มาเรียนหนังสือแต่ละวัน เข้าใจถึงสภาพความเป็นอยู่ของ นักเรียน ได้รับประสบการณ์มากขึ้นจากสถานการณ์ของ นักเรียน และทำให้ต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้น
เรยี นรภู้ าษาเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตเ้ พยี งประโยคเดยี ว ก็สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้แล้ว เมื่อ “เมตตา” บังเกิดขึ้นในจิตใจ มองเห็นความต้องการของพวกเขา ก็ สามารถสร้างสัมพันธ์ระหว่างคนขึ้นได้ ไช่ฮุ่ยถิงเห็นความ เมตตาเกิดขึ้นและเติบโตภายในจิตใจของเด็กๆ อย่างช้าๆ เสมือนภายในจิตใจของพวกเขาได้เพาะปลูกเมล็ดพันธ์ุ ของวัฒนธรรมอันหลากหลาย และค่อยๆ เจริญงอกงาม ขึ้น ผลผลิตคือพลังในการเปลี่ยนแปลง ที่จะทำให้ไต้หวัน เปลี่ยนแปลงเป็นสังคมที่ดียิ่งขึ้น