สายเลือดแห่งตระกูลนักพเนจร
ฝูหย่งหมิงซึ่งมาอาศัยอยู่ในไต้หวัน 11 ปีแล้ว ถือกำเนิดในตระกูลที่มีสายเลือดแห่งความเป็นนักพเนจรอย่างแท้จริง ฝูซู่ชิง(符樹青) คุณปู่ของเขาซึ่งเกิดที่เกาะไหหลำ ก็ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 15 ปี เพื่อทำการค้า ต่อมา ประเทศจีนเข้าสู่ภาวะสงคราม ทำให้ต้องโยกย้ายไปอยู่ในหลายประเทศ ทั้งไทย ญี่ปุ่น และลาว ก่อนจะมาพำนักอาศัยอยู่ในไต้หวัน ฝูซู่ชิงมีบุตร 9 คน ซึ่งทุกวันนี้ต่างก็กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ ทั้งในสหรัฐฯ ไทย ฝรั่งเศส และไต้หวัน ส่วนคุณพ่อ ฝูกั๋วเว่ย(符國位) เกิดที่ประเทศลาว ก่อนจะย้ายไปประกอบธุรกิจในประเทศไทย และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานาน 30 ปีแล้ว บางทีการที่มีวิญญาณนักพเนจรอยู่ในสายเลือดก็อาจมีส่วนทำให้ฝูหย่งหมิง ตัดสินใจมาแสวงหาความท้าทายในไต้หวัน หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ด้วยอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น
เมื่อมาถึงไต้หวันใหม่ๆ ฝูหย่งหมิงพูดภาษาจีนไม่ได้แม้แต่คำเดียว เขาจึงต้องเรียนภาษาจีนไปด้วยและทำงานในโรงงานไปด้วย ก่อนจะได้รับประกาศนียบัตรมาหลายใบ ทำให้ปัจจุบันนี้ เขาสามารถฟังพูดอ่านเขียนภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว หลังจากได้รับสัญชาติไต้หวัน ฝูหย่งหมิงก็ไปรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารอยู่ 1 ปี และเมื่อปลดประจำการแล้ว ญาติของเขาก็ได้ฝากฝังให้เข้าทำงานเป็นคนคุมเครื่องเสียงในภัตตาคารสำหรับจัดงานเลี้ยงมงคลสมรสที่มีหลายสาขาทั่วไต้หวัน หลังจากทำงานคุมเครื่องเสียงได้เพียงครึ่งปี เขาก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะต้องทำงานที่มีความท้าทายมากกว่านี้ จึงได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ให้เข้าไปเรียนรู้การทำอาหารในครัว เพราะถือเป็นทักษะที่ช่วยให้ไม่อดตาย ซึ่งฝูหย่งหมิงก็รู้สึกเห็นดีด้วย จึงตัดสินใจเปลี่ยนงาน เข้าไปทำงานในครัวแทน โดยเริ่มต้นจากการเป็นลูกมือก่อน ทุกๆ เช้าเขาก็จะมาถึงภัตตาคารก่อนใครๆ เพื่อที่จะเตรียมข้าวของและวัตถุดิบต่างๆ ที่จะต้องใช้ในครัว และในช่วงบ่ายที่เป็นเวลาพักผ่อน เขาก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง พยายามฝึกฝนทักษะการทำครัว ทั้งการหั่นผักและการผัดกับข้าวแบบต่างๆ
ไม่เคยหยุดที่จะลองอะไรใหม่ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์
หากลองนับๆ ดูแล้ว คุณจะรู้สึกตกใจว่า ทำไมคนหนุ่มอย่างฝูหย่งหมิงที่เกิดในปี 1989 ถึงได้ทำอะไรต่อมิอะไรเป็นจำนวนไม่น้อยและมีประสบการณ์มากมายได้ขนาดนี้
นอกจากทำงานหาเงินแล้ว เมื่อย้อนรำลึกถึงความใฝ่ฝันในช่วงที่เดินทางมาไต้หวันใหม่ๆ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือการได้เป็นดารา เป็นคนมีชื่อเสียง จึงตัดสินใจลาออกจากงานทำครัว ก่อนจะคว้ากีตาร์คู่ใจตระเวนประกวดร้องเพลง และสมัครเป็นนายแบบ ซึ่งในการประกวดร้องเพลงนั้น เพื่อให้ตัวเองดูโดดเด่นจึงแต่งตัวแบบพังค์พร้อมวาดหน้าวาดตาอย่างเต็มที่ ฝูหย่งหมิงรู้ดีว่าจะดึงดูดสายตาของผู้อื่นได้อย่างไร แต่หลังจากใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ไม่นาน เจ้าตัวก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง เขาจึงได้หวนกลับมาสู่ห้องครัวใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นถึงพรสวรรค์ในการทำครัวที่มีอยู่
เมื่ออายุได้ 23 ปี เขาตัดสินใจเซ้งร้านข้าวมันไก่ไหหลำแห่งหนึ่งเพื่อเป็นเถ้าแก่ของตัวเอง ร้านอยู่ในทำเลที่ดี ธุรกิจก็ถือว่าไม่เลว เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการทำงานนานมาก ตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึง 3 ทุ่มทุกวัน และเมื่อทำคนเดียวไม่ไหวก็ต้องจ้างคนมาช่วย แต่พอมีลูกจ้างต้องจ่ายเงินเดือน รายได้ก็ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองยังไม่พร้อม หลังจากนั้น 3 เดือนจึงตัดสินใจเลิกกิจการ พร้อมๆ กับแบกรับภาระหนี้บางส่วน แต่นี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า
หลังจากความฝันครั้งแรกในการเป็นเถ้าแก่จบลงอย่างไม่ค่อยจะโสภานัก ฝูหย่งหมิงก็ตัดสินใจเข้าฝึกปรือฝีมือในครัวอีกสองสามปี จนในปี 2014 โอกาสของเขาก็มาถึงอีกครั้ง เมื่อมีคนรู้จักมาชักชวนให้เปิดร้านอาหารไทยร่วมกัน ฝูหย่งหมิงจึงกระโจนเข้าใส่โอกาสนี้อย่างไม่รอช้า เริ่มต้นทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่การตกแต่งร้าน การออกแบบเมนูอาหาร การเลือกข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้แต่รายการอาหารที่ลูกค้าสั่งกันมากที่สุดของร้านคือ ปีกไก่ทอดรสไทย ก็ถือเป็นเมนูถนัดของเขา แม้ว่าฝูหย่งหมิงจะทำงานที่นี่แค่เพียง 4 เดือน แต่เจ้าตัวก็บอกว่า ได้รับประสบการณ์มากมาย เพราะทุกอย่างเราเป็นคนคิดเองทำเองทั้งหมด
ก่อร่างสร้างตัวตามความฝัน
หลังจากนั้น ฝูหย่งหมิงที่ตอนนี้มีวิชาติดตัวมาไม่น้อย ก็ถูกตามตัวให้มาเป็นรองพ่อครัวใหญ่ของร้าน Mango Tree ร้านอาหารไทยระดับพรีเมี่ยมที่ตั้งอยู่ในย่านถนนจงเสี้ยวตงลู่ ใจกลางกรุงไทเป หากแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมอยู่ว่าง จึงไปซื้อรถยนต์มือสองมาคันหนึ่ง ซึ่งเขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะใช้รถยนต์คันนี้ในการหารายได้เพิ่มได้อย่างไร อยู่มาวันหนึ่ง เขาไปรับประทานอาหารในเขตนิคมซอฟต์แวร์หนานกั่ง แล้วเห็นว่ามีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งขับรถขายอาหารมาจอดแถวนั้น และลงมือขายสปาเก็ตตี้ เขาจึงรู้สึกว่านี่เป็นไอเดียที่ดีทีเดียว จึงลองติดต่อเจ้าหน้าที่ของลานจอดรถว่า หากจะเช่าพื้นที่ในลานจอดรถจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งในตอนนั้นฝูหย่งหมิงยังไม่มีอุปกรณ์หรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรเลย แต่ก็ตัดสินใจจองพื้นที่ในทันทีเพื่อจะเริ่มขายอาหารที่นี่
ในตอนแรกๆ แผงของเขาขายได้ไม่ค่อยจะดีนัก เขาขายของมาแล้วหลายอย่าง ทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและข้าวเกรียบกุ้งของไทย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่า คนที่ทำงานที่นี่ยังไงก็ต้องหาที่กินข้าว และเมนูเด็ดในร้านอาหารที่คนสั่งมากที่สุดในร้านที่เขาทำงานอยู่คือแกงเขียวหวาน ทำให้ฝูหย่งหมิงตัดสินใจลองใช้แกงเขียวหวานของเขามาสู้กับเหล่าคนทำงานที่นี่อีกสักครั้ง การทำงานในร้านอาหารทำให้ฝูหย่งหมิงมีวันหยุดเดือนละ 8 วัน ซึ่งเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ในทุกวันหยุด ฝูหย่งหมิงจะหุงข้าวในห้องเช่าของเขา ก่อนจะออกไปจับจ่ายซื้อของในตลาด และกลับมาปรุงอาหารแบบง่ายๆ ก่อนจะไปออกร้านที่นิคมซอฟต์แวร์หนานกั่ง โดยเจ้าตัวได้แอบเผยเคล็ดลับของตัวเองให้เราฟังว่า ต้องไปปรุงแกงเขียวหวานที่ตรงนั้นเลย เพราะกลิ่นหอมของแกงเขียวหวานที่ผสมผสานกับกะทิจะหอมอบอวลไปทั่ว ทำให้คนรู้สึกหิวและช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาที่ร้านของเขา เคล็ดลับนี้ทำให้เขาได้ลูกค้ามาไม่น้อย จนขายได้มากขึ้น และหากเขาสามารถขายได้ 20 ชามภายในหนึ่งวันก็จะคุ้มทุนแล้ว แถมยังได้กำไรอีกนิดหน่อยด้วย ฝูหย่งหมิงขายอาหารบนรถตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงเดือนกันยายนของปีนี้ ก่อนที่รถของเขาจะเสีย ทำให้ความฝันในการสร้างธุรกิจใหม่ของเขาต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง
จริงๆ แล้ว นอกจากการเป็นพ่อครัว ฝูหย่งหมิงยังพยายามหาหนทางในการสร้างรายได้จากทางอื่น เขาเคยขายเสื้อผ้า พระเครื่อง ขายประกัน ขายตรง ทำอาหารนอกสถานที่ รวมถึงซื้อดอกอัญชันมาขายในไต้หวัน จนทำให้เขาได้เงินก้อนใหญ่มาแล้ว ในสมุดบันทึกของเขาได้เขียนไอเดียต่างๆ มากมายในการก่อตั้งธุรกิจในตอนที่อยากเปิดร้านอาหาร เขาก็จะไปนั่งดูร้านอาหารอื่นๆ ว่าเขาทำอะไรยังไงกัน ส่งออร์เดอร์แบบไหน เสิร์ฟอาหารอย่างไร แล้ววาดเป็นแปลนออกมา นอกจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับการขายประกันก็ทำให้เขาได้ความรู้และวิธีในการออมเงิน ทั้งการตั้งเป้าหมาย คิดหาหนทาง และลงมือปฏิบัติตามแผน เขาจึงเขียนเป้าหมายของชีวิตลงในสมุดบันทึก เช่น ตอนอายุ 26 ปี จะต้องเก็บเงิน 1 ล้านแรกในชีวิตให้ได้ ตอนอายุ 27 ปี จะต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง ตอนอายุ 28 ปี จะต้องมีรายได้แม้จะไม่ทำงาน เป็นต้น และพยายามหาหนทางที่จะทำตามเป้าหมายนี้ให้ได้ ซึ่งหากเรามองดูคนรุ่นใหม่ในสังคมทุกวันนี้ มีน้อยคนมากที่จะเหมือนกับฝูหย่งหมิง คือ มีเป้าหมายของตัวเองตั้งแต่อายุยังไม่มาก และลงมือปฏิบัติเพื่อทำตามเป้าหมายให้ได้อย่างทันทีทันใด เมื่อเราถามฝูหย่งหมิงว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้เขากระตือรือร้นขนาดนี้ เขาคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบเราว่า น่าจะเป็นเพราะเขารู้ดีว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่มีมรดกอะไรให้ ทำให้เขาตระหนักได้ว่า จะต้องขวนขวายหาทุกอย่างด้วยตัวเอง และเมื่อเราถามต่อไปว่า ชีวิตในไต้หวันได้พบกับอะไรที่ไม่ดีบ้างไหม เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งและบอกเราว่า เรื่องที่ไม่ดีเขาลืมมันไปหมดแล้ว พร้อมกับยกตัวอย่างของ น้ำครึ่งแก้ว ให้เราฟังว่า เวลาคนเห็นน้ำครึ่งแก้วก็มักจะพูดว่า เหลือแค่ครึ่งแก้วเอง แต่สำหรับเขาที่มองโลกในแง่ดีแล้ว มันยัง เหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว บางที อาจเป็นเพราะบุคลิกแบบนี้เองที่ทำให้เขาสามารถอดทนกับต่อการทำงานหนักในห้องครัว เก็บเงินทีละเล็กทีละน้อย แล้วค่อยๆ ก้าวเดินไปตามเส้นทางแห่งความฝันอย่างไม่ย่อท้อ
ด้วยเป็นคนชอบความท้าทาย และรู้ตัวดีว่าก้าวย่างต่อไปของตัวเองคืออะไร ทำให้ฝูหย่งหมิงคิดออกแบบแบรนด์ของตัวเองไว้แล้ว คือ 「Magnate Thai」 ซึ่งเจ้าตัวอธิบายให้เราฟังว่า 「Magnate」 นอกจากจะพ้องเสียงถึงแม่เหล็กแล้ว ยังหมายถึงคนใหญ่คนโตด้วย เป็นแม่เหล็กที่คอยดึงดูดทรัพย์สินเงินตราเข้ามา หรือกลายเป็นคนใหญ่คนโตในวงการ ซึ่งทั้งสองความหมายนี้ต่างก็เข้ากันได้กับความใฝ่ฝันของเขาอย่างเหมาะเจาะ ส่วนโลโก้นั้น ก็จะใช้ตัวอินฟินิตี้ 「∞」 บวกกับดาว 1 ดวง ★ เมื่อนำมารวมกัน ก็จะสื่อความหมายถึงความใฝ่ฝันที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งหมายความว่าเขาอยากจะทำอะไรก็ได้นั่นเอง เมื่อเรามองดูหนุ่มน้อยที่อายุใกล้จะถึง 30 ผู้นี้ คนที่ออกเดินทางจากบ้านเกิดมาทำงานในไต้หวันตั้งแต่อายุ 17 ปี ก่อนจะกลับไปซื้อบ้านของตัวเองในประเทศไทย อาณาจักรทางธุรกิจของเขากำลังอยู่ระหว่างการก่อร่างสร้างตัว ความฝันที่สามารถขยายตัวออกไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง ก็เหมือนกับชีวิตที่อายุยังน้อยนักของเขา ซึ่งทุกอย่างมีแต่ความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด