จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ปัจจุบันไต้หวันมีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ทั่วประเทศประมาณ 540,000 คน ในจำนวนนี้อาศัยอยู่ที่เมืองผิงตง 20,000 คน เพื่อให้บริการกลุ่มผู้มาอยู่ใหม่เหล่านี้ ตั้งแต่ปีค.ศ. 2003 เป็นต้นมา เทศบาลเมืองผิงตง ได้จัดตั้งศูนย์บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวน 4 แห่ง ในตัวเมืองผิงตง (屏東市) ตำบลเฉาโจว (潮州) ตำบลตงกั่ง (東港) และตำบลเหิงชุน (恆春) โดยช่วยเหลือผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ให้สามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตเข้าสู่สังคมไต้หวันได้เร็วยิ่งขึ้น
จากความรู้สึกที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้า ค่อยๆ กลายเป็นความรู้สึกในการยอมรับบ้านใหม่หลังนี้ จนทุกวันนี้พวกเขาสามารถก้าวออกจากครอบครัวและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน พวกเขาไม่เพียงกล้าที่จะแสดงออกถึงถิ่นกำเนิดของตนเองอย่างมั่นใจ แต่ยังเป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมอันหลากหลายที่มีบทบาทสำคัญที่สุดอีกด้วย
เมื่อยามเที่ยงของวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันชาติไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ภายในสถานีรถไฟผิงตงคราคร่ำไปด้วยฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ มีร้านแผงลอยกว่า 10 ร้าน ตั้งเรียงรายอยู่ในห้องโถงของสถานีรถไฟ ร้านแผงลอยแต่ละร้านจัดวางสินค้ามากมาย เช่น อาหารต่างชาติ สินค้าจากต่างประเทศ และของเล่นเด็ก เป็นต้น บรรดาผู้โดยสารซึ่งมีทั้งผู้ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือแรงงานต่างถิ่นที่อยู่ระหว่างหยุดพักผ่อนจำนวนไม่น้อยหยุดแวะยืนคุยกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นเวลานาน ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้นและคล่องแคล่ว ถือเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแบบตัวต่อตัวและแสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จของ โครงการสร้างพลังชุมชนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และเผยแพร่วัฒนธรรม ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
เล่าเรื่องของตัวเอง ด้วยตนเอง
ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้กลายมาเป็นชนกลุ่มหนึ่งในไต้หวันที่ไม่ควรถูกมองข้าม แต่คนส่วนใหญ่ยังคงมีความรู้สึกทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้ากับพวกเขาในคราเดียวกัน คุณไช่ซุ่นโหรว (蔡順柔) ผู้จัดการสมาคมเพื่อการพัฒนาสิทธิสตรีเมืองผิงตง (JADWRP) กล่าวว่า ทางสมาคมมักช่วยเป็นกระบอกเสียงให้แก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เสมอ แต่ถ้าจะให้ผู้อื่นเป็นผู้อธิบายวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์อยู่ตลอดเวลา ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำหน้าที่ไม่ถูกจุดเท่าไรนัก
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงยึดถือแนวคิดที่ว่า เล่าเรื่องของตัวเอง ด้วยตนเอง และพยายามสร้างโอกาสให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ โดยได้ขึ้นเวทีบรรยายปาฐกถา ทั้งบรรยายแบบสั้น 5 นาที 10 นาที ไปจนถึง 3 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการแนะนำบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการถ่ายทอดความคิดเห็นส่วนตัวอีกด้วย ทั้งนี้ โครงการสร้างพลังชุมชนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และเผยแพร่วัฒนธรรม เป็นโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากเทศบาลเมืองผิงตง ตั้งแต่ปีค.ศ.2016 โดยกองวัฒนธรรม และสมาคมเพื่อการพัฒนาสิทธิสตรีเมืองผิงตง ร่วมกันวางแผนและดำเนินการ โครงการดังกล่าวนับเป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้แก่กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างสมบูรณ์
ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่หลายสิบคนรวมตัวกันจัดตั้งคณะทำงานวางแผนดำเนินงาน โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตที่เคยเข้าร่วมฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ เสมือนเป็นสื่อกลางในการสร้างเครือข่ายของพวกเขา เช่น หลักสูตรการปรับตัวในการใช้ชีวิต หลักสูตรอบรมล่ามแปลภาษา หลักสูตรบ่มเพาะวัฒนธรรมอันหลากหลาย พวกเขาเริ่มเขียนแผนโครงการและจัดสรรงบประมาณตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ก่อนที่จะยื่นเสนอโครงการต่อเทศบาลเมืองผิงตงเพื่อทำการคัดเลือกในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน และในเดือนมีนาคมปีนี้ได้เริ่มดำเนินโครงการแล้ว ซึ่งทางสมาคมได้เชิญอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ในการสร้างชุมชนมาเปิดหลักสูตรอบรม โดยมีคุณโจวเฟินจือ (周芬姿) นายกสมาคมเพื่อการพัฒนาสิทธิสตรีเมืองผิงตง, คุณกัวหมิงซวี่ (郭明旭) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรี และคุณซุนหัวอิง (孫華瑛) ศิลปินด้านศิลปะการแสดง เป็นต้น มาให้การอบรมตั้งแต่ความรู้ที่เกี่ยวข้องไปจนถึงทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายและการพูดอย่างครอบคลุมทุกด้าน ในที่สุด ทีมงานได้เข้าร่วมและจัดการบรรยายในโอกาสต่างๆ กว่า 67 ครั้ง เช่น ในโครงการฝึกอบรมครู การบรรยายเรื่องเพศ ศูนย์ห่วงใยชุมชน และในโอกาสอื่นๆ จุดเริ่มต้นจากประสบการณ์ชีวิตของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่แต่ละคน นำไปสู่การค้นหาสิ่งที่มีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไต้หวันหรือบางส่วนที่มาช่วยเสริมสร้างกัน โดยเฉพาะเรื่องการแนะนำวัฒนธรรมอันหลากหลาย การประดิษฐ์งานฝีมือด้วยตนเอง (DIY) การสอนทำอาหาร เป็นต้น ทีมงานแต่ละทีมเหมือนเป็นคลื่นลูกใหม่ที่กระตุ้นให้เกิดพลังในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม
เรื่องของเอเชียอาคเนย์ที่เราไม่เคยรู้
ใบเตย ตะไคร้ อัญชันฯลฯ ล้วนเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารที่พบเห็นได้ทั่วไปในไต้หวัน เพียงแต่วิธีการใช้แบบดั้งเดิมยังค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด คุณหวังหรงเฟิน (王榮芬) ซึ่งมาจากเมืองไทยยกตัวอย่างของใบเตย ที่มีกลิ่นหอมของเผือก และเป็นสีย้อมธรรมชาติที่ให้สีเขียวว่า ตอนจัดงานบรรยาย มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยเล่าว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อยู่กับครอบครัวของพวกเขามักจะปลูกวัตถุดิบในการทำอาหารเหล่านี้ แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าจะนำมาใช้อย่างไร เธอจึงสอนบรรดาผู้สูงอายุให้นำใบเตยมาทำขนมหวานต่างๆ เช่น ขนมชั้น ลอดช่อง ขนมต้ม และขนมเค้ก เป็นต้น เพราะมีกลิ่นหอม และนำมาใช้ได้หลากหลาย ขณะที่คุณฝงจินเหลียน (馮金蓮) ซึ่งมาจากเวียดนามบอกว่า หากเอาใบเตยที่สับละเอียดแล้ว มากรองเอากากออก เติมลงไปในข้าวเหนียว หรือเติมลงในน้ำเต้าหู้แล้วต้มจนเดือด จะทำให้ได้กลิ่นหอมไปอีกแบบ วิธีการปรุงอาหารที่แตกต่างกัน ช่วยเพิ่มพูนจินตนาการของคนไต้หวันที่มีต่อวัตถุดิบในการปรุงอาหารเหล่านี้
คุณหม่าเยว่เอ๋อ (馬月娥) และคุณซูหย่งเจิน (舒詠珍) เป็นคนที่มีฝีมือในการทำอาหาร ทั้งคู่มาจากประเทศอินโดนีเซียที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนพันเกาะ บ้านของคุณหม่าเยว่เอ๋ออยู่ที่เหิงชุน ถนนทางหลวงหมายเลข ไถ 1 เป็นถนนสายหลักที่มุ่งสู่ตำบลดังกล่าว ตลอดสองข้างทางมีต้นมะพร้าวปลูกเรียงราย ราวกับว่าถนนสายนี้เป็นดั่งบ้านเกิดของเธอ เธอสอนการประดิษฐ์เครื่องจักสานในชีวิตประจำวันจากใบมะพร้าวให้กับผู้สูงอายุในชุมชนหลายชนิด มีการทำงอบ พัด ตะกร้า และสิ่งของอื่นๆ ซึ่งมีน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังประยุกต์เข้ากับขนบธรรมเนียมท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ส่วนคุณซูหย่งเจินจึงได้แสดงวิธีการใช้ใบมะพร้าวห่อขนมจ้างแบบดั้งเดิมของอินโดนีเซีย หรือเกอตูปัต (Ketupat) ซึ่งนิยมนำใบมะพร้าวมาสานเป็นรูปตะกร้อทรงสี่เหลี่ยมและห่อข้าวไว้ด้านใน รวมทั้งการทำของเล่นสำหรับเด็กจากใบมะพร้าว ขนมจ้างของไต้หวันจะใส่ไส้ในข้าว ส่วนขนมจ้างของอินโดนีเซียไส้จะอยู่ด้านนอกนอกนะคะ คุณหม่าเยว่เอ๋อหัวเราะพร้อมกับเสริมว่า ในความต่างมีความเหมือน ในความเหมือนมีความต่าง ก็เหมือนกับวัฒนธรรมของไต้หวันและอินโดนีเซีย
จากชายขอบสู่กำลังสำคัญ
ผิงตงเป็นเมืองเกษตรกรรมขนาดใหญ่ที่ยังอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น และเป็นสถานที่ริเริ่มสร้างชุมชนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นแห่งแรกในไต้หวัน ซึ่งมีความหมายอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวนมาก หลังแต่งงานและย้ายมาอยู่ในไต้หวันแล้ว จะต้องรับภาระดูแลความเป็นอยู่ในครอบครัวทันที ประกอบกับยังมีความกดดันที่จะต้องเลี้ยงดูลูกและดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ทำให้ครอบครัวสามีส่วนมากไม่สนับสนุนให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ติดต่อกับสังคมภายนอก นอกจากนี้ คนทั่วไปมักขาดประสบการณ์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ทำให้มีทัศนคติที่ดูถูกเหยียดหยามโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มชน คุณหลี่เจียหลิง (李佳玲) เจ้าหน้าที่แผนกเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม กองวัฒนธรรม เทศบาลเมืองผิงตง กล่าวว่า เราหวังว่าโครงการนี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนในชุมชนที่มีต่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่
การผลักดัน โครงการสร้างพลังชุมชนผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และเผยแพร่วัฒนธรรม ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเวทีในการสื่อสารระหว่างสองฝ่าย ยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในไต้หวันเกินกว่า 10-20 ปี เหล่านี้ ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ คุณหลี่เจียหลิงกล่าวว่า ภารกิจของการสร้างชุมชน คือ การสร้างคน การมีส่วนร่วมของคนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังและพัฒนาศักยภาพของคนกลุ่มนี้ให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะได้
ส่วนคุณไช่ซุ่นโหรวซึ่งเป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างและก้าวเดินไปพร้อมกับผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาโดยตลอด ยังมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลกว่านั้น เธอกล่าวว่า รัฐบาลกำลังจะผลักดันให้นำภาษาแม่ของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่บรรจุเพิ่มในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ ซึ่งในปีนี้มีโรงเรียนสำคัญๆ บางส่วนเริ่มนำร่องไปแล้ว คาดว่าในปี 2019 จะเริ่มผลักดันครบทุกด้าน ในอนาคต ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่มีประสบการณ์ด้านการเรียนการสอนเหล่านี้จะกลายเป็นกลุ่มกำลังหลัก การก้าวพ้นจากประตูบ้าน ไม่ได้หมายความถึงการลาจาก แต่เป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หลังผ่านการต่อสู้ดิ้นรนและหยั่งรากลึกมานาน 10-20 ปี บรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่อาศัยอยู่ในไต้หวันเหล่านี้ ได้กลายเป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมที่ขาดไม่ได้ของสังคมในปัจจุบัน