ความผูกพันของคนกับต้นไม้
แม้การเข้ามาของพืชต่างถิ่นจะทำให้ไต้หวันมีความหลากหลายทางพฤกษศาสตร์ แต่เรื่องราวและความเชื่อมโยงทางอารมณ์ และความรู้สึกเกี่ยวกับพืชพื้นเมือง ก็มีความน่าสนใจและน่าประทับใจไม่น้อย
“คุณรู้ไหมว่า ใครเป็นคนคิดวิธีกักตัว 7 วันเพื่อป้องกันโรคที่เก่าแก่ที่สุดของไต้หวัน คำตอบคือชาวเผ่าไพวัน” จู่ ๆ ดร. หยางจื้อข่ายก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในอดีตทางเข้าหมู่บ้านของชนเผ่าไพวัน (Paiwan) จะปลูกต้นไม้สองชนิดไว้ใช้สำหรับแบ่งเขตแดน หนึ่งคือต้นประดู่ส้ม อีกหนึ่งคือต้นไกร ซึ่งต่างก็เป็นต้นไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไปที่ความสูงจากน้ำทะเลในระดับต่ำถึงปานกลาง ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งเขตแดนไปโดยปริยาย โดยพวกเขาจะปลูกกระท่อมไว้ใต้ต้นไม้ หากมีคนต่างถิ่นต้องการจะเข้าไปในหมู่บ้าน ก็จะต้องกักตัวอยู่ที่กระท่อมก่อนเป็นเวลา 7 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายไม่มีความผิดปกติ จึงจะเข้าไปในหมู่บ้านได้ ดร. หยางจื้อข่ายหัวเราะแล้วพูดกับเราว่า “มันไม่ใช่มาตรการของรัฐบาลอะไรเลย แต่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีมาตั้งแต่โบราณของชนเผ่าไพวัน”
เมื่อกล่าวถึงต้นประดู่ส้ม ผิวที่กิ่งของมันมีสีเทาอมน้ำตาล และมักมีส่วนยื่นออกมาคล้ายเนื้องอกบนลำต้นของต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ ถือเป็นลักษณะเด่นที่ใช้ในการแยกแยะ คนโบราณกล่าวไว้ว่า “หากมีอะไรก็พูดมา แต่หากไม่มีอะไรจะพูดก็ไปนั่งเล่นใต้ต้นประดู่ส้มได้” ดร. หยางจื้อข่ายได้บรรยายถึงภาพของการนัดเพื่อนไปนั่งเล่นใต้ต้นประดู่ส้มว่า หากคนที่นัดไว้ยังไม่มา ก็นั่งนิ่ง ๆ มองดูต้นประดู่ส้ม ลองพูดคุยกับมัน ก็เหมือนกับมีเพื่อนอยู่ด้วย “สิ่งที่กล่าวมานี้ ได้พูดถึงความผูกพันระหว่างคนกับต้นไม้ที่มีความเกี่ยวพันกันเป็นอย่างมาก เพราะต้นไม้จะให้พลังแห่งความสงบ ผมคิดว่านี่เป็นแนวคิดที่มีความเป็นปรัชญาแบบหนึ่ง เป็นการอิงแอบทางจิตวิญญาณระหว่างกัน”
ดร. หยางจื้อข่าย ยังได้แนะนำให้เราได้รู้จักกับต้นเลี่ยนที่เป็นพืชพื้นเมืองของไต้หวัน รูปทรงของต้นไม้มีความสวยงาม ดอกของมันมีขนาดเล็กและออกเป็นพุ่ม มีสีม่วงอ่อนอันโรแมนติก โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนของทุกปี มองดูแล้วเหมือนมีเมฆสีม่วงปกคลุมไปทั่วทั้งต้น ให้ความรู้สึกที่ทั้งสง่างามและโรแมนติก ทุกส่วนของต้นเลี่ยนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หากเด็ดใบของมันมาคลุมผลกล้วย จะทำให้กล้วยสุกเร็วขึ้น หากนำใบมาสกัดหรือต้มน้ำ จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ สามารถนำมาใช้ทำยารักษาโรคผิวหนัง ดอกเลี่ยนสามารถนำมาสกัดน้ำมันหอม ผลสีเหลืองทองของมัน ถือเป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง และในยุคปัจจุบันที่ผู้คนนิยมถ่ายภาพเช็คอินกับดอกไม้ตามฤดูกาล ที่ต่างประเทศมีดอกซากุระ แต่ในไต้หวันคุณก็สามารถตามถ่ายภาพสวย ๆ ของดอกเลี่ยนได้เช่นกัน
ในไต้หวัน มีสถานที่หลายแห่งที่ตั้งชื่อตามต้นไม้ ทำให้เราสามารถนึกภาพแห่งประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น ๆ ได้ ในขณะที่ Francine Houben สถาปนิกชาวฮอลแลนด์ทำการออกแบบศูนย์ศิลปะแห่งชาติ นครเกาสง (National Kaohsiung Center for the Arts) หรือเว่ยอู่อิ๋ง (衛武營) ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากกิ่งก้านสาขาอันคดเคี้ยวและรากอากาศที่พันเกี่ยวกันไปมาของเหล่าต้นไทรในพื้นที่ จนนำมาออกแบบเป็นลานบันยันพลาซ่า (Banyan Plaza) ที่ทั้งกว้างขวางและเปิดกว้าง เพื่อให้ผู้คนเข้าออกได้ตลอดเวลา
ในช่วงนี้ ได้มีการนำภาพยนตร์เรื่อง “A City of Sadness” กลับมาเข้าฉายใหม่ ทำให้เมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าจิ่วเฟิ่น (九份) กลายมาเป็นที่สนใจของผู้คนอีกครั้ง จริง ๆ แล้วชื่อของเมืองแห่งนี้ก็มีความเกี่ยวพันกับต้นการบูร ไต้หวันเคยเป็นอาณาจักรแห่งการบูรของโลก และในแถบจิ่วเฟิ่นเคยมีต้นการบูรขึ้นอยู่เต็มไปทั้งภูเขา ซึ่งในอดีตการผลิตการบูร จะต้องใช้เตาเผามาทำการเผาไม้จากต้นการบูร โดยจะนับว่า 10 เตาเป็น 1 ชุด (份 อ่านว่า เฟิ่น) ชื่อจิ่วเฟิ่นจึงหมายถึงเตาเผาเก้าชุด ทำให้ประมาณกันได้ว่า มีเตาเผาในแถบนั้นประมาณ 90 เตา ที่ใช้ในการผลิตการบูร เรื่องราวที่ ดร. หยางจื้อข่ายเล่าให้เราฟังนี้ ทำให้พอจะสันนิษฐานได้ว่า หากชื่อของสถานที่แห่งใดมีคำว่า “เฟิ่น” ส่วนใหญ่ก็จะมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตการบูรเช่นกัน
ดร. หยางจื้อข่ายมักจะพูดว่า “ต้นไม้ คือคนเล่าเรื่องประจำเกาะ”
ดอกเลี่ยนจะบานสะพรั่งในช่วงเทศกาลเช็งเม้ง ดอกสีม่วงอ่อนของมันจะบานปกคลุมไปทั่วทุกกิ่งก้าน ถือเป็นพืชพื้นเมืองของไต้หวัน