ฤกษ์แห่งขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุนเริ่มออกเดิน
ดังนั้น เฉินอี้หงจึงไปถ่ายภาพขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุนเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเส้นทางในการเดินแห่ไม่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้เกี้ยวของเจ้าแม่เคยหยุดพักทั้งในบ้านคน โรงพยาบาล ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือในโรงงาน มาแล้วทั้งนั้น แม้กระทั่งเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย และในระหว่างเดินแห่ หากมีเด็ก ๆ ร้องตะโกนว่า “หนูรักเจ้าแม่มาจู่” ขบวนทั้งหมดก็จะหยุดเดินทันที และให้เด็ก ๆ ได้คลานลอดใต้ท้องเกี้ยว เพื่อสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าทุกข์ภัย และนำมาซึ่งความโชคดี โดยในการถ่ายภาพขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุน เฉินอี้หงเคยต้องแบกอุปกรณ์ในการถ่ายภาพอันหนักอึ้งวิ่งไปตามสะพานซีหลัว แถมยังเคยไปตั้งกล้องรอสองสามชั่วโมงอยู่ข้างเถียงนาตอนตีห้า เพียงเพื่อต้องการเก็บภาพขณะที่เกี้ยวของเจ้าแม่มาจู่เดินผ่านท้องนาเขียวขจี ท่ามกลางเสียงประทัดสุดอลังการรอให้การต้อนรับ
ในช่วงกว่า 10 ปีที่เขาตามถ่ายภาพขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุน มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากที่เขาเก็บภาพตอนขบวนแห่เริ่มออกเดินแล้ว บังเอิญเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งในช่วงเช้ามืด แต่กลับเห็นเจ้าของบ้านแต่งตัวเรียบร้อยกำลังเซ่นไหว้องค์เจ้าแม่มาจู่ในบ้านของตัวเองด้วยจิตศรัทธาอันแรงกล้า ภาพที่ดูแล้วเงียบสงบแต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นนี้ ทำให้เฉินอี้หงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก จนเกิดความคิดที่จะบันทึกภาพบ้านของผู้คนก่อนขบวนแห่เริ่มออกเดิน และถ่ายทำผลงานในชุด “ฤกษ์แห่งขบวนแห่เริ่มออกเดิน”
เฉินอี้หงเห็นว่า ทุกครั้งที่พูดถึงการแห่เจ้า โฟกัสที่ทุกคนนึกถึงส่วนใหญ่จะเป็นองค์เจ้าแม่กับเกี้ยวของเจ้าแม่ แต่สำหรับชาวบ้านในไป๋ซาถุนแล้ว อาจมีชาวบ้านเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่เดินทางร่วมไปกับขบวนแห่ แต่ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 95 ก็ไม่ได้นอนอยู่บ้านเฉยๆ ทุกคนต่างร่วมกันเซ่นไหว้ในช่วงเวลาเดียวกัน ในจิตใจของพวกเขา ณ ขณะนั้นก็มีแต่เจ้าแม่มาจู่ “เพราะนี่ก็คือศรัทธาแห่งท้องถิ่นของไป๋ซาถุน และเป็นบ่อเกิดอันเป็นที่มาของพิธีแห่เจ้านั่นเอง”
พิธีแห่เอ้อมาหยิวจวง กับการนัดหมายปีละครั้ง
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ขบวนแห่องค์เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุนกลับมาถึง คืออีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของชาวบ้านในไป๋ซาถุน นั่นก็คือ “เอ้อมาหยิวจวง (二媽遊庄)” ซึ่งก็คือพิธีแห่เจ้าแม่มาจู่หน้าดำองค์ที่สอง (เฮยเมี่ยนเอ้อมา - 黑面二媽) ของศาลเจ้าก่งเทียนกง เจ้าแม่มาจู่ของศาลเจ้าซานเปียนที่เดินทางร่วมขบวนไปกับเจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุน และเทพเจ้าองค์อื่น ตระเวนขึ้นเขาลงห้วยเดินไปทุกตรอกซอกซอยของไป๋ซาถุน “เพื่อแบ่งปันความสุขและความโชคดีมีชัยที่เจ้าแม่องค์ใหญ่ได้นำกลับมาด้วย ให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทั่วไป๋ซาถุนทุกคน ซึ่งนี่ก็คือนัยที่สำคัญที่สุดของการแห่เจ้า” เฉินอี้หงกล่าว
หลังจากได้ร่วมพิธีเอ้อมาหยิวจวงมาหลายปี ทำให้เฉินอี้หงมีเพื่อนที่ไม่รู้จักชื่ออยู่ในหมู่บ้านเน่ยเต่า ซึ่งเขาเรียกเพื่อนคนนี้ว่า อาม่าแห่งเน่ยเต่า โดยในปี ค.ศ. 2015 เฉินอี้หงบังเอิญได้พบกับอาม่าคนนี้ แต่งตัวเรียบร้อยยืนรอต้อนรับเอ้อมาอยู่หน้าบ้านของตัวเองอย่างมีความสุข จึงได้ถ่ายภาพให้กับอาม่าคนนี้ หลังจากนั้น ตลอด 5 ปีต่อมา เมื่อถึงช่วงของพิธีเอ้อมาหยิวจวง เฉินอี้หงก็จะต้องมาถ่ายภาพของอาม่าแห่งเน่ยเต่าทุกครั้ง ในปี ค.ศ. 2020 เฉินอี้หงก็ไปถึงบ้านที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง แต่กลับไม่เห็นเงาของอาม่า จึงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาในทันที ก่อนจะทราบจากเพื่อนบ้านว่า อาม่าเพิ่งจะเสียชีวิตก่อนพิธีเอ้อมาหยิวจวงเพียง 1 สัปดาห์ ทำให้เขารู้สึกว่า ชีวิตของคนเราช่างเป็นอนิจจังจริงๆ แต่แม้ว่าอาม่าจะไม่อยู่แล้ว ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ก็จะยังไปถ่ายภาพของบ้านหลังนั้น “ปีก่อนผมไป ปีนี้ผมก็ไป ปีหน้าผมก็จะไปอีก..... ขอเพียงผมมาร่วมพิธีเอ้อมาหยิวจวง ผมจะต้องไปที่นั่น ก็เหมือนกับไปอยู่เป็นเพื่อนอาม่านั่นแหละ” เฉินอี้หงบอกว่า นี่คือการนัดหมายปีละครั้งระหว่างเขากับอาม่า
แสงสะท้อนแห่งศรัทธา
เฉินอี้หงที่เป็นคนกระฉับกระเฉงว่องไว มีฉายาในวงการว่า “สายฟ้า” มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเกิดเป็นตะคริวที่ต้นขาระหว่างการตระเวนถ่ายภาพพิธีเอ้อมาหยิวจวง จนไม่สามารถตามไปถ่ายภาพของขบวนแห่ได้ แต่ต้องนอนอยู่กับที่เพื่อรอให้อาการทุเลาลง ซึ่งภาพของขบวนแห่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าค่อยๆ เดินจาก ทำให้เฉินอี้หงอดไม่ได้ที่จะอธิษฐานกับเจ้าแม่มาจู่ ทันใดนั้น เกี้ยวของเทพเจ้านาจาที่กำลังเดินกลับ ก็เลี้ยวไปหยุดอยู่ตรงหน้าของอาม่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็นในซอยที่อยู่ทางด้านซ้าย เพื่ออวยพรให้กับอาม่าคนนั้น ภาพที่อาม่าพูดกับเทพเจ้านาจาทำให้เฉินอี้หงถึงกับซาบซึ้งจนน้ำตาไหลในระหว่างที่เขากดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพแห่งความทรงจำนี้เอาไว้
“หากไม่ใช่เป็นเพราะขาเกิดเป็นตะคริว ผมคงไม่มีโอกาสได้เก็บภาพดีๆ แบบนี้เอาไว้” วินาทีนั้นเอง เฉินอี้หงเกิดความเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า “ความศรัทธาแบบดั้งเดิมของคนธรรมดาคือ เทพเจ้าไม่ควรจะถูกตั้งไว้บนแท่นบูชาในศาลเจ้าเท่านั้น แต่เทพเจ้าจะเข้าไปอยู่ท่ามกลางชาวบ้าน อยู่กับชาวบ้าน รับรู้ความยากลำบากร่วมกับชาวบ้าน และคอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่ชาวบ้านต้องการ ผมเห็นว่านี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เหล่าผู้มีจิตศรัทธาให้ความเคารพต่อเทพเจ้า และทำให้ความเชื่อของชาวบ้านมีความหนักแน่นจนไม่อาจสั่นคลอนได้” เฉินอี้หงกล่าว
เมื่อถามเฉินอี้หงว่า หลังจากหนังสือภาพชุด “การแสวงบุญแห่งไต้หวัน” จะมีตอนต่อไปออกมาหรือไม่ เขาบอกว่ามีความคิดที่จะทำหนังสือเกี่ยวกับ “เหมือนจะใกล้ แต่ก็เหมือนอยู่ไกล” ซึ่งจะไม่เหมือนกับ “การแสวงบุญแห่งไต้หวัน” ที่จะเป็นการรวบรวมผลงานตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้ เฉินอี้หงอยากจะถ่ายภาพของเรื่องราวบนเกาะอื่นๆ ที่อยู่นอกไต้หวัน ทั้งเผิงหู จินเหมิน หมาจู่ และเสี่ยวหลิวฉิว เพราะความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนในพื้นที่เหล่านี้ มีพลังชีวิตที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณที่เห็นได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก และทำให้เขารู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก สำหรับเฉินอี้หงแล้ว การออกหนังสือภาพชุด “การแสวงบุญแห่งไต้หวัน” มิใช่จุดจบของเส้นทางการตระเวนถ่ายภาพพิธีเซ่นไหว้ หากแต่มันคือการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง