เขตยวี่จิ่ง เมืองไถหนาน มีชื่อเสียงจากมะม่วงสีแดงสดสายพันธุ์อ้ายเหวิน ในฤดูร้อนของทุกปี มักดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมและเก็บมะม่วงอย่างล้นหลาม ก่อนที่จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์มะม่วงขนาดใหญ่ หมู่บ้านยวี่จิ่งเคยเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญของไต้หวัน มีโรงงานน้ำตาล มีทางรถไฟสำหรับอุตสาหกรรมน้ำตาลอยู่กลางเขาที่คดเคี้ยว สร้างทัศนียภาพเหมือนภาพวาดให้กับหมู่บ้านนี้
เขตยวี่จิ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นทางตะวันตกของทางหลวงข้ามไปยังภาคใต้ เป็นสักขีพยานแห่งประวัติศาสตร์การคมนาคมของไต้หวันเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา และที่นี่เป็นที่เกิด “เหตุการณ์ Tapani” ที่ชาวพื้นเมืองและชาวไต้หวันลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่น สมัยที่ไต้หวันเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น สัมผัสถึงจิตวิญญาณความรักบ้านเกิดและความยืนหยัดในอุดมการณ์ของชาวไต้หวัน
หลายร้อยปีที่ผ่านมา เขตนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาทางภาคใต้อย่างสงบ ชาวบ้านขยันทำนา ไม่ค่อยชอบออกหน้าออกตา แต่เมื่อหลายปีก่อน ผู้กำกับเว่ยเต๋อเซิ่ง ที่กำกับและถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “Cape No.7”, “Warriors of the Rainbow: Seediq Bale”, “KANO” เป็นภาพยนตร์ที่รวมชุดประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หน้าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของเขตยวี่จิ่งจึงได้รับความสนใจจากสาธารณชนขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นสถานที่ที่ผู้จัดทำภาพยนตร์ใฝ่ฝันจะมาถ่ายทำ และยังทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากต่างถิ่น ได้เพิ่มจินตนาการที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากขึ้น
ทางหลวงเชื่อมเมืองสาย 20 (ทางหลวงข้ามไปยังภาคใต้) สาย 84 และสาย 3 มาประสานกันที่เขตยวี่จิ่ง ในวันหยุดจะเห็นขบวนรถจักรยานและบิ๊กไบค์มาเที่ยวที่นี่ ใต้แดดที่ร้อนผ่าว สิ่งที่ผู้ขับขี่กระหายที่สุด ก็คือน้ำแข็งใสมะม่วงจานใหญ่ที่ร้านน้ำแข็งในหมุู่บ้าน แล้วชิมรสชาติของมะม่วงพันธุ์อ้ายเหวิน
เมื่อมาถึงยวี่จิ่ง จะต้องมาเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อ “โต่วลิ่วไจ” ใกล้ๆ กับสะพานจงเจิ้ง เพราะว่าที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของมะม่วงพันธุ์อ้ายเหวินของไต้หวัน ในชุมชนนี้ยังคงรักษาต้น “บิดาแห่งมะม่วงอ้ายเหวิน” ต้นมะม่วงที่คุณเจิ้งหั่นฉือเป็นคนปลูกไว้
อ้ายเหวิน เปิดเส้นทางอุตสาหกรรม
จากสถิติของคณะกรรมการกิจการเกษตร พบว่า ไถหนานเป็นเมืองที่ผลิตและปรับปรุงพันธุ์มะม่วงมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50 ของผลผลิตรวมทั้งไต้หวันในปี 2012 และผลผลิตต่อปีเฉพาะเขตยวี่จิ่งก็สูงถึง 17,000 ตัน นายจูฉวนเจ๋อ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ สหกรณ์การเกษตร เขตยวี่จิ่ง เมืองไถหนาน เผยว่า พื้นที่เพาะปลูกมะม่วงในเขตยวี่จิ่งมีอยู่ 1,800 เฮกตาร์ เป็นพื้นที่ปลูกมะม่วงอ้ายเหวิน 45% ไม่ว่าพื้นที่หรือจำนวนการเก็บเกี่ยวและราคาขายในตลาด ล้วนมีมูลค่าสูงกว่าพันธุ์อื่นๆ เช่น พันธุ์จินหวง พันธุ์ไข่เท่อ เป็นต้น เพราะฉะนั้นเขตยวี่จิ่งจึงได้สมญานามว่าเป็น “บ้านของมะม่วงอ้ายเหวิน”
เมื่อย้อนกลับไปถึงก่อนช่วงปี 1950 ขณะนั้น ไต้หวันปลูกเฉพาะมะม่วงที่นำเข้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงศตวรรษที่ 16 เพื่อทำการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรไต้หวันจึงไปสำรวจที่รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1954 แล้วนำพันธุ์ Irwin, Haden ,Keitt กลับมา หลังจากทดลองปลูกพบว่า พันธุ์มะม่วงเหล่านี้สามารถเข้ากับดินและน้ำของไต้หวันได้อย่างดี ฉะนั้น จึงตัดสินใจให้เกษตรกรนำไปปลูก และตั้งชื่อ “อ้ายเหวิน”, “ไห่ตุ้น” และ “ไข่เท่อ”
เริ่มแรก ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเลือกพื้นที่ 11 เขตในภาคกลางและใต้ในการทดลองปลูก สุดท้ายพบว่ายวี่จิ่งมีดินที่สามารถปลูกมะม่วงอ้ายเหวินได้อย่างดีที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์อื่นๆแล้ว
มะม่วงอ้ายเหวินมีความหอม นุ่มลิ้น เมื่อขายตามท้องตลาดก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบันจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร นายเจิ้งหั่นฉือ เกษตรกรอาวุโสของโต่วลิ่วไจ่ด้วยวัย 85 ปี ปลูกต้นมะม่วงอ้ายเหวิน 100 ต้น ในสวนอ้อยและมันของตนในปี ค.ศ.1962 เดิมทีแม้ว่าเทคโนโลยีการปลูกยังไม่ก้าวหน้าพอ และประสบกับลมหนาว ต้นไม้แทบจะตายทั้งหมด แต่เขาก็กัดฟันสู้ ไม่ละความพยายาม จึงได้ปลูกต้นมะม่วงอีก 100 ต้นในปีถัดมา และในปีที่ 3 จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และการตอบรับจากตลาดก็ดีมาก ขณะนั้นค่าแรงของคนงานอยู่ที่วันละ 60 เหรียญ แต่ราคามะม่วงขายได้ในราคาชั่งละ 18 เหรียญ สามารถทำกำไรได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเกษตรกรที่โต่วลิ่วไจ่แต่เดิมที่เคยปลูกอ้อยก็หันมาปลูกมะม่วงตามๆกัน ในปี ค.ศ.1973 นายเจี่ยง จิง กว๋อ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นกำหนดให้ยวี่จิ่งเป็นพื้นที่ปลูกมะม่วงอ้ายเหวินโดยเฉพาะ และสั่งให้สร้างสะพานจงเจิ้ง เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งอุตสาหกรรมมะม่วง
ชาวญี่ปุ่นนิยมมะม่วงไต้หวันมาก ตั้งใจมายวี่จิ่งเพื่อมะม่วงโดยเฉพาะ
ช่วงต้นฤดูร้อนของทุกปี หากมองไปทางรอบๆ เนินเขาของสะพานจงเจิ้ง จะเห็นมะม่วงอ้ายเหวินสีแดงเต็มภูเขา นายอู๋ชิงจิ้น หัวหน้าชั้นการผลิตและการตลาดเขตยวี่จิ่ง รุ่นที่ 30 กล่าวว่า สวนผลไม้นี้เมื่อก่อนปลูกพันธุ์ไข่เท่อ ไห่ตุ้น จินหวงและไถหนงเบอร์ 1 ตั้งแต่มะม่วงอ้ายเหวินส่งออกไปญี่ปุ่นแล้วจำหน่ายได้ดี เขาจึงปรับนโยบายเป็น “ปลูกอ้ายเหวินเป็นหลัก”
สวนมะม่วงของคุณอู๋ชิงจิ้น ได้รับรองจากสำนักงานการเกษตรและอาหาร คณะกรรมการเกษตร ว่าเป็น “สวนผลไม้ที่มีคุณภาพ” ที่ปลูกผลไม้เพื่อการส่งออก ซึ่งจะต้องได้รับคำแนะแนวการใช้ยาที่เข้มงวดและปลอดภัย มะม่วงอ้ายเหวินที่สุกและเก็บเกี่ยวแล้วจะต้องนำมาคัดเกรด แล้วส่งไปยังโกดัง มะม่วงเกรด A ที่คุณภาพที่ดีที่สุดลูกค้าต่างชาติจะเลือกซื้อไป เมื่อผ่านการรมควัน ตรวจสอบสารพิษตกค้างเรียบร้อยแล้วจึงส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น
สหกรณ์ยวี่จิ่งก่อตั้ง “ร้านมะม่วงน้ำแข็งใส เร่อ ฉิง เสี่ยว จื่อ” ในปี ค.ศ.2011 นักท่องเที่ยวมากินน้ำแข็งใสในวันหยุดฤดูร้อนอย่างไม่ขาดสาย แทบไม่มีที่นั่ง คุณสวี่ซิ่วยวี่ หัวหน้าฝ่ายการตลาด สหกรณ์ยวี่จิ่งกล่าวว่า เสน่ห์ของมะม่วงที่ยวี่จิ่งอยู่ที่ “สะอาด ปลอดภัย ธรรมชาติ” มะม่วงที่ “เร่อ ฉิง เสี่ยว จื่อ” เป็นพันธุ์อ้ายเหวิน และได้แจ้งให้ผู้บริโภคทราบอย่างชัดเจน มีเพียงฤดูร้อนเท่านั้นจึงจะมีมะม่วงสดให้รับประทาน ถ้าไม่ใช่หน้ามะม่วง ก็ขายมะม่วงที่แช่ด้วยอุณหภูมิต่ำแล้วนำมาทำเป็นเยลลี่มะม่วง
สำหรับคุณคาตาคุระ โยชิฟุมิ นักเขียนการเดินทางชาวญี่ปุ่นนั้น การได้ทานมะม่วงที่ถูกและอร่อยในฤดูร้อน ถือว่าเป็นความโชคดีที่สุดเมื่ออยู่ที่ไต้หวัน มองย้อนกลับไปที่ญี่ปุ่น แม้ว่าจะซื้อมะม่วงที่ปลูกในโอกินาว่าและมิยะซะกิได้ แต่ราคาขายปลีกที่ถูกที่สุดอยู่ที่ 3 พันเยน (ประมาณ 900 เหรียญไต้หวัน) ขึ้นไป บางทีอาจสูงถึง 1 หมื่นเยน ทำให้คนไม่กล้าซื้อ
มะม่วงอ้ายเหวิน พอเอาเข้าปากก็จะมีกลิ่นหอมและรสชาติหวานอมเปรี้ยว, “เป็นมะม่วงที่อร่อยจริงๆ!” คุณเพี่ยนชังกล่าวในหนังสือ “ความประทับใจร้อยคะแนนเต็มที่ไต้หวัน” แบ่งปันเรื่องราวความสุขตอนที่เธอได้ชิมมะม่วงที่ยวี่จิ่ง และก็บอกว่า เธอมีเพื่อนสามีภรรยาญี่ปุ่นคู่หนึ่งที่คลั่งไคล้ไต้หวันมาก ตอนมาเที่ยวไต้หวัน 3 วัน 2 คืน เมื่อถึงไต้หวัน เก็บกระเป๋าเดินทางแล้ว ก็รีบนั่งรถลงใต้เพื่อมากินมะม่วงอ้ายเหวิน ปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นก็อยากเป็นเหมือนนักเขียนคนนี้ ที่ได้มาสัมผัสถึงแหล่งเพาะปลูกด้วยตนเอง พอถึงหน้ามะม่วง ก็จะมีทัวร์มาไต้หวัน เป็น “ทัวร์เก็บมะม่วง”
หยาดเหงื่อแต่ละหยด เป็นประวัติศาสตร์ไต้หวันแต่ละหน้า
นอกจากมะม่วง ยวี่จิ่งก็มีร่องรอยของประวัติศาสตร์ และรอให้นักท่องเที่ยวมาค้นพบ
ยวี่จิ่งยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องไปอีกหลายแห่ง เช่น เมื่อยืนอยู่ที่ทางหลวงข้ามไปภาคใต้หมายเลข 20 ฝั่งยวี่จิ่ง ก็จะนึกถึงความเจริญรุ่งเรืองตอนก่อสร้างในปี 1972 และความยากลำบากในการก่อสร้าง เมื่อมาเที่ยวที่นี่ก็ยิ่งทำให้คนได้นึกถึงว่าจะหาจุดสมดุลระหว่างความสะดวกสบายในชีวิตและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติได้อย่างไร
เมื่อย้อนเวลากลับไป เขตยวี่จิ่งเป็นเขตที่สำคัญในการผลิตน้ำตาลทางภาคใต้ของไต้หวันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่เพียงแต่มีการสร้างโรงงานน้ำตาล และยังมีกลิ่นหอมของอ้อยตลอด 4 ฤดู ทั้งยังมีการสร้างทางรถไฟเส้นยวี่ซ่านสำหรับอุตสาหกรรมน้ำตาลจากอำเภอซ่านฮว่าไถหนานไปยังยวี่จิ่ง โดยมีการใช้เส้นทางนี้กว่า 20 ปี แล้วหยุดใช้งานตลอดสายเมื่อปี 1975 ปัจจุบันโรงงานน้ำตาลยวี่จิ่งที่หยุดการผลิตแล้วก็ยังคงรักษาอุปกรณ์การผลิตในสมัยนั้นที่เป็นของเก่าแก่ในสมัยนี้อยู่
หันไปมองทางภูเขาหู่โถว จะเห็น “อนุสาวรีย์วีรชนยวี๋ชิงฟังต่อสู้กับญี่ปุ่น” และ “สวนสาธารณะรำลึกเหตุการณ์ Tapani” ตรงทางเข้าเขตยวี่จิ่ง ทำให้ผู้คนระลึกถึงประวัติศาสตร์ทอันขมขื่นสมัยต่อสู้กับญี่ปุ่นที่เคยเกิดขึ้นที่นี่
ยวี่จิ่งเดิมเป็นที่อยู่ของ “กลุ่ม Tapani” ชาวพื้นเมืองเผ่าโจว หลังจากนั้นเผ่าซีลาหย่า และชาวจีนทยอยย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในที่นี้ ฉะนั้น “Tapani” จึงเป็นชื่อแรกของยวี่จิ่ง ปี 1920 ชาวญี่ปุ่นตั้งชื่อเป็น “Tamai”
ที่มีเสียงคล้ายกับ “Tapani” ทำให้ยวี่จิ่งก็มีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นอยู่ด้วย
ยืนมองลงมาจากภูเขาหู่โถว แม่น้ำเจิงเหวินที่คดเคี้ยวระหว่างภูเขา ปี 1915 ช่วงแรกที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน “เหตุการณ์ Tapani” เกิดขึ้นที่นี่ ตรงนี้เป็นการต่อสู้กับญี่ปุ่นครั้งรุนแรงที่สุด การบาดเจ็บและเสียชีวิตที่โหดร้าย จากคำบอกเล่าของคนในพื้นที่เล่าว่า ช่วงฆ่าฟันนั้น น้ำในแม่น้ำเจิงเหวินกลายเป็นสีแดงล้วน
ขณะนั้น เมืองไถหนานเป็นเมืองที่มีการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและผู้มีความรู้อยู่มากที่สุด มีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งนำโดยยวี๋ชิงฟัง ไม่พอใจที่ถูกญี่ปุ่นปกครอง จึงทำการประชุมลับและวางแผนต่อสู้ที่วัด “ซีไหลอัน” เมืองไถหนาน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1915 กลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นและทหารตำรวจญี่ปุ่นสู้รบกันใน Tapani บนภูเขาหู่โถว มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ยวี๋ชิงฟังหลบหนีอยู่หลายวันแต่สุดท้ายก็ถูกจับได้และถูกประหารชีวิต ฉะนั้น เหตุการณ์ต่อต้านญี่ปุ่นนี้จึงมีชื่อว่า “เหตุการณ์ยวี๋ชิงฟัง” หรือ “เหตุการณ์ซีไหลอัน” ผู้ชายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ รวมถึงับผู้หญิงและเด็กที่ป่วยเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้น ยากที่จะนับจำนวน แต่โดยทั่วไปคิดว่าน่าจะเป็นพัน ๆ คน เรียกได้ว่าเป็นการ “การฆ่าล้างหมู่บ้าน”
ปีนี้ (2015) เป็นปีครบรอบเหตุการณ์ Tapani 100 ปี จึงคุ้มค่าที่จะกลับไปยังจุดเกิดเหตุการณ์เพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ บ้านโบราณตระกูลเจียง ที่ยวี่จิ่งที่สร้างเสร็จกว่า 200 ปี เป็นบ้านทรงหมิ่นหนานที่ยังรักษาอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากเกิดเหตุการณ์ Tapani และก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวระดับเชี่ยวชาญต้องจัดให้อยู่ในโปรแกรมท่องเที่ยว
“ผู้ปลูกมะม่วงอ้ายเหวินวันนี้ หลายคนเป็นลูกหลานรุ่นหลังของผู้ที่รอดชีวิตในเหตุการณ์ Tapani” คุณหวงเฉิงชิง ประธานสหกรณ์การเกษตร
ยวี่จิ่งกล่าว
ท่องเที่ยวตามเรื่องราว สัมผัสเสน่ห์ของมะม่วง
ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากอุตสาหกรรมมะม่วง เขตยวี่จิ่งจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “หมู่บ้านมะม่วง” คุณหวงเฉิงชิงกล่าวว่า มะม่วงเป็นจุดขายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจของเขตยวี่จิ่ง ควรนำไปรวมกับเหตุการณ์ Tapani ในประวัติศาสตร์ จึงจะสามารถทำให้ “เรื่องราว” ของมะม่วงยวี่จิ่งยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งมีความหมาย ทำให้เกิดเป็น “เรื่องราวการท่องเที่ยว”
หมู่บ้านเล็กๆ ของไต้หวันเต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากมาย เมื่อรวมกันแล้ว เสน่ห์ก็เพิ่มทวีคูณ หน้ามะม่วงอ้ายเหวินในแต่ละปีจะอยู่ที่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม หากสามารถจัดทริปเล็กๆ มาที่เขตยวี่จิ่งในช่วงนี้ ได้มาชิมและลิ้มรสรสชาติของมะม่วงอ้ายเหวิน ประกอบกับสัมผัสกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เชื่อว่าจะประทับใจในแต่ละอย่างของยวี่จิ่ง