"ขอบคุณการอบรมสั่งสอนของไต้หวัน สำหรับผมซึ่งตอนนั้นยังอยู่ในพม่า การมีโอกาสได้มาไต้หวันก็เหมือนกับชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตให้ถูกลอตเตอรี่เลยทีเดียว" นี่คือความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อไต้หวันของจ้าวเต๋ออิ้ง (Midi Z) ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Road to Mandalay ซึ่งเพิ่งจะคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม FEDEORA Award ในเทศกาลภาพยนตร์เวนิสประจำปี 2016 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ภาพยนตร์เรื่อง Ice Poison ของผู้กำกับจ้าวเต๋ออิ้ง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของไต้หวันเพื่อเข้าร่วมการประกวดชิงรางวัลออสการ์ในปี 2015 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ก่อนที่ในปีนี้ The Road to Mandalay ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเจ้าตัวจะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลใหญ่ในเทศกาลภาพยนตร์ที่เวนิสอีกครั้ง ทำให้ผู้กำกับจ้าวได้โอกาสปรากฏตัวในเวทีนานาชาติบ่อยครั้ง ซึ่งในพิธีรับรางวัล ผู้กำกับจ้าวมักจะพูดเสมอว่า การที่ตัวเขามีโอกาสทำงานซึ่งใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระเสรี ถือเป็นปุ๋ยบำรุงเลี้ยงที่สำคัญที่ช่วยให้เขาเติบโตขึ้นมาในวงการภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วจะไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้โดยตรงเลยก็ตาม
โศกนาฏกรรมต่างๆ ของชาวพม่าที่ถูกนำมาตีแผ่ให้โลกรับรู้ผ่านทางผลงานหลายๆ เรื่อง แทบจะกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของผู้กำกับจ้าวเต๋ออิ้งในแวดวงภาพยนตร์ไต้หวันไปแล้ว
โดยทั้งหมดนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากภาพยนตร์สั้นเรื่อง Paloma Blanca หรือในชื่อภาษาจีนว่า《白鴿 ñ ไป๋เกอ》ซึ่งหมายถึงพิราบขาว อันเป็นผลงานที่เป็นปริญญานิพนธ์ของผู้กำกับจ้าวเมื่อ 8 ปีก่อน และส่งผลให้เขามีโอกาสได้ไปปรากฏตัวตามเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์จากไต้หวัน จนกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน โดยในตอนแรกนั้น จ้าวเต๋ออิ้งศึกษาอยู่ในคณะวิชาออกแบบอุตสาหกรรมที่ National Taiwan University of Science and Technology (NTUST) ของไต้หวัน ซึ่งแม้จะไม่ใช่ภาควิชาที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์โดยตรง หากแต่อาจารย์ที่ปรึกษาได้เห็นถึงความสามารถทางด้านนี้ของเจ้าตัว จึงยอมให้จ้าวเต๋ออิ้งใช้ภาพยนตร์สั้นที่เขาถ่ายทำขึ้น มาเป็นปริญญานิพนธ์เพื่อจบการศึกษา และหลังจากนั้น เขาก็มีผลงานออกมาทุกๆ ปี ทั้งที่เป็นภาพยนตร์สั้น สารคดี และภาพยนตร์เรื่องยาว จ้าวเต๋ออิ้งไม่เคยหยุดที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ เขาจะวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ
หัดถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยตัวเองเพื่อเลี้ยงปากท้อง
"ผมเคยใช้วิธีการลองผิดลองถูกเองไปเรื่อยๆ ในการทดลองถ่ายทำภาพยนตร์" คุณจ้าวเต๋ออิ้งเล่าให้เราฟังถึงความทรงจำในสมัยที่เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่ๆ ซึ่งในตอนแรก เขามีจุดหมายเพียงเพื่อต้องการเลี้ยงปากท้องของตัวเองเท่านั้น
ในขณะที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาเริ่มรับงานด้วยตัวเอง ทั้งถ่ายภาพงานวิวาห์ พิธีรับปริญญา ฝึกฝนและทำทุกอย่างเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ หรือการใส่ดนตรีประกอบ และขณะที่เรียนอยู่ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 ด้วยความกลัวที่ว่าผลงานซึ่งจะเป็นปริญญานิพนธ์ของเขาอาจไม่ผ่านการพิจารณาของอาจารย์จนไม่สามารถจบการศึกษาและอาจถูกส่งกลับพม่า ทำให้เขาไปที่หอสมุดแห่งชาติและหอสมุดกลางเพื่อยืมหนังสือที่เกี่ยวกับภาพยนตร์และการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มาอ่านให้มากที่สุด และในช่วงที่เรียนปริญญาโทอยู่นั้น เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องวิจัย ปลดหลอดไฟในห้องออกแล้วนั่งดู DVD ที่เช่ามาทุกวัน เพื่อศึกษาภาพยนตร์ต่างๆ ด้วยตัวเอง และแม้แต่ในช่วงเบื้องหลังการถ่ายทำของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง เขาก็ไม่พลาดที่จะรับชม การที่เขาต้องพยายามประหยัดเงินจนไม่ค่อยกล้าออกไปเที่ยวหรือไปไหนมาไหนกับเพื่อนฝูง ทำให้เขาใช้เวลานอกเวลาเรียนเกือบทั้งหมดไปกับการศึกษาภาพยนตร์อย่างจริงจัง โดยในตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกว่าความพยายามของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญมากน้อยเพียงใด แต่มาถึงตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปก็รู้สึกได้เลยว่ามีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์งานในตอนนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาแห่งความลำบากที่เขาพยายามฝึกฝนตัวเองอยู่นั้น นักศึกษาจากพม่าที่ไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในตัวเองผู้นี้ ได้เกิดความชอบในภาพยนตร์เข้าอย่างจริงจัง ซึ่งแม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาก็ยังเห็นในพรสวรรค์ของเจ้าตัว
"ผมคงไม่กล้าเรียกว่าเป็นพรสวรรค์หรอก แต่หากว่าต้องถ่ายทำอะไรเหมือนๆ กันกับคนอื่นแล้วล่ะก็ ผมมักจะทำได้ดีกว่าเล็กน้อย แถมยังเร็วกว่าด้วย และเมื่อทำไปแล้วตัวเองก็รู้สึกดี รวมทั้งยังมีความภูมิใจในผลงานของตัวเองมากกว่าด้วย" จ้าวเต๋ออิ้งมักจะพูดอย่างถ่อมตนด้วยสำเนียงแบบพม่าที่ยังมีอยู่เล็กน้อย และเมื่อต้องพูดถึงตัวเอง เขาก็จะมีท่าทีขวยเขินออกมาให้เห็น ซึ่งเป็นอะไรที่แตกต่างกันมาก กับความรู้สึกในยามที่เราได้ชมภาพที่เขาถ่ายทอดออกมาผ่านทางภาพยนตร์
ภาพยนตร์สั้นเรื่อง Paloma Blanca ซึ่งผลงานที่เป็นปริญญานิพนธ์ของจ้าวเต๋ออิ้ง ถือเป็นงานที่สร้างชื่อให้กับเขาไม่น้อย เพราะได้รับการยอมรับจากหลายเวทีทั่วโลกจนได้ไปออกฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติหลายแห่ง ทั้งที่ปูซาน โคเปนเฮเกน ออสเตรเลีย และลียง จนมีโอกาสในการทำงานกับบริษัทโฆษณาในไต้หวัน ซึ่งการได้รับวีซ่าทำงานทำให้เขามีโอกาสได้อาศัยอยู่ในไต้หวันต่อไป และภายในช่วง 1 ปีของการทำงาน เขารับงานแบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อเก็บหอมรอมริบอย่างขันแข็ง จนในที่สุดก็สามารถช่วยพ่อแม่สร้างบ้านที่พม่าได้สำเร็จ และเพื่อให้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวันท่ามกลางบรรยากาศแห่งอิสระเสรีในการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เขาตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโท พร้อมกับคิดต่อไปเรื่อยๆ ว่าจะเอาเรื่องราวอะไรมาใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องต่อไปดี
ใช้ภาพในการถ่ายทอดเรื่องราวของบ้านเกิด
"ผมคิดว่าตัวเองดูหนังมาแล้วนับพันเรื่อง เพราะฉะนั้นจึงค่อยๆ ได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่างมาบ้าง และเรื่องที่ทำให้รู้สึกซาบซึ้งมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวที่คล้ายๆ กับเรื่องของตัวเอง ก็ด้วยความซาบซึ้งนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกอยากถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง เพื่อสร้างความซาบซึ้งให้กับผู้อื่นบ้าง"
คุณจ้าวเต๋ออิ้งบอกว่า ภาพยนตร์ของเขาไม่ได้ต้องการจะถ่ายทอดเรื่องราวที่พม่า ซึ่งเป็นบ้านเกิด หากแต่เขาต้องการจะเล่าเรื่องของตัวเองให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งฟัง เพราะว่าเรื่องราวของจ้าวเต๋ออิ้ง ไม่เหมือนกับเรื่องของเราๆ ท่านๆ ที่เติบโตมาในไต้หวัน แม้ภูมิลำเนาเดิมจะมาจากนานกิงในมณฑลเจียงซู หากแต่จ้าวเต๋ออิ้งเกิดและโตที่เมืองล่าเสี้ยวในรัฐฉาน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าใกล้กับจีนแผ่นดินใหญ่ วัยเด็กก่อน 16 ปี จ้าวเต๋ออิ้งต้องใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันแร้นแค้น โดยมีความร่ำรวยและอำนาจเป็นเครื่องตัดสินสถานะของผู้คนในสังคม ทำให้เขาตัดสินใจที่จะพยายามหนีจากความเป็นจริงอันเลวร้ายที่อยู่รอบตัวนี้ให้ได้
ในปี 1998 ครอบครัวของเขาซื้อใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยในไต้หวันมาให้ โดยใช้เงินในจำนวนที่แทบจะเท่ากับค่าใช้จ่ายของคนทั้งบ้านเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งจ้าวเต๋ออิ้งสามารถทำคะแนนสอบจนได้อยู่ใน 50 อันดับแรก จากจำนวนผู้สมัครกว่า 6,000 คน หลังจากนั้นทางบ้านใช้เวลาอีกถึงครึ่งปีในการเก็บอดออม จนสามารถซื้อสูทให้เขาได้ 1 ชุด พร้อมให้เงินติดตัวอีก 200 เหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะเดินทางมาศึกษาต่อในไต้หวัน และเพื่อหาเงินมาใช้ประทังชีวิตและใช้จ่ายค่าเล่าเรียน รวมทั้งสามารถส่งเงินกลับบ้านได้บ้าง เขาใช้ชีวิตแบบเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยตั้งแต่วันที่ 2 ที่เขาเดินทางมาถึงไต้หวันเลยทีเดียว
ซาบซึ้งใจรุ่นพี่สนับสนุน
ในช่วง 10 ปีที่จ้าวเต๋ออิ้งมาอยู่ในไต้หวัน เขาไม่เคยได้กลับบ้านเกิดเลย ก่อนที่ในปี 2008 จะเกิดความรู้สึกอยากบันทึกเรื่องราวของบ้านเกิดตัวเองขึ้นมา และกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาเอากล้องติดตัว แล้วเดินทางกลับพม่าไปเพียงลำพัง จากนั้นในปีถัดมา เขาก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักเรียนรุ่นแรกในโครงการ Golden Horse Film Academy ซึ่งจัดโดยเทศกาลภาพยนตร์ชื่อดังในแวดวงภาพยนตร์จีนอย่าง Golden Horse หรือม้าทองคำ และภายใต้การดูแลชี้แนะอย่างใกล้ชิดจากผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของไต้หวันคือโหวเสี้ยวเสียน (เจ้าของรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ในปี 2015) ทำให้จ้าวเต๋ออิ้งมีโอกาสถ่ายทำภาพยนตร์สั้นเรื่อง Huashin Incident จนสำเร็จ ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของผู้กำกับโหวในเวลาต่อมา
"ในตอนนั้น ผู้กำกับโหวบอกกับผมว่า แม้ขาดแคลนทรัพยากรก็สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้ ตัวท่านเองตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ท่านได้สอนอะไรให้ผมหลายอย่าง ซึ่งความสนับสนุนและกำลังใจจากท่าน ทำให้ผมมีความกล้าที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยตัวคนเดียว" จ้าวเต๋ออิ้งกล่าวด้วยความรำลึกถึงบุญคุณของผู้ใหญ่ในวงการภาพยนตร์ของไต้หวันที่มักให้การสนับสนุนคนรุ่นหลังอย่างเต็มที่
แม้แต่อังลี ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไต้หวันที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกก็เคยยอมฝ่าลมฝนอันหนาวเหน็บในช่วงฤดูหนาวของนครนิวยอร์กในปี 2014 เพื่อมาร่วมงานรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Ice Poison ของเขา ซึ่งเป็นภาพยนตร์พูดภาษาจีนเพียงเรื่องเดียวที่ได้เข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ Tribeca Film Festival ในปีนั้น เมื่อภาพยนตร์ฉายจบลง อังลียังได้กล่าวชมจ้าวเต๋ออิ้งที่แม้จะประสบปัญหาขาดแคลนทั้งทุนและเครื่องไม้เครื่องมือในการถ่ายทำ แต่ก็ยังสามารถถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีโครงสร้างครบสมบูรณ์ มีเรื่องราวที่พิเศษ และถ่ายทอดอารมณ์ของหนังออกมาได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมกันนี้ยังได้แบ่งปันประสบการณ์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ของตัวเองให้จ้าวเต๋ออิ้งได้ฟังถึงความแตกต่างของปัญหาในการถ่ายทำเพียงคนเดียวลำพังกับการมีทีมงาน 200 กว่าคน ว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนกันบ้าง และจ้าวเต๋ออิ้งก็ยังคงจำได้ดีว่าผู้ช่วยของอังลีได้บอกกับเขาว่า คืนก่อนหน้านี้ ผู้กำกับอังลีมีประชุมทั้งคืนและยังไม่ได้พักผ่อนเลย แต่ก็ยืนยันที่จะมาร่วมงานนี้ให้ได้ พร้อมทั้งยังได้เจียดเวลามารับประทานอาหารร่วมกับเขา เพื่อให้กำลังใจเขาด้วยตัวเอง ทำให้จนทุกวันนี้ ในใจของจ้าวเต๋ออิ้งก็ยังคงจดจำความประทับใจต่างๆ เหล่านี้ไว้อย่างมิรู้ลืม
ในปี 2010 จ้าวเต๋ออิ้งซื้อตั๋วเครื่องบิน 3 ใบ เพื่อเดินทางไปพม่าพร้อมกับโปรดิวเซอร์ ช่างบันทึกเสียง และนำกล้องไป 1 ตัว ก่อนจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกจนสำเร็จ คือเรื่อง Return to Burma ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวพม่า ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Current Award ในเทศกาลภาพยนตร์ที่ปูซาน และได้รับรางวัลเสือทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์ที่รอตเตอร์ดัมด้วย โดยก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปรอตเตอร์ดัมนั้น จ้าวเต๋ออิ้งก็ได้รับสัญชาติสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) อย่างเป็นทางการด้วย
จากนั้นในปี 2012 ภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องที่ 2 คือ Poor Folk ได้รับทุนสนับสนุนจาก International Film Festival Rotterdamís Hubert Bals Fund และในปี 2013 จ้าวเต๋ออิ้งพร้อมทีมงานเพียง 7 คน ก็ได้ออกเดินทางไปพม่าอีกครั้งเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ของเขาคือ Ice Poison ใช้เวลาในการถ่ายทำเพียง 10 วัน โดย Ice Poison ได้รับการคัดเลือกให้ฉายใน Panorama Section ของเทศกาลภาพยนตร์ที่เบอร์ลินในปี 2014 และได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ที่เอดินบะระ พร้อมทั้งส่งให้เขาคว้ารางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากทั้งเทศกาลภาพยนตร์ Peace & Love ของสวีเดน และเทศกาลภาพยนตร์ไทเปด้วย นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของไต้หวันไปเข้าร่วมการประกวดเพื่อชิงรางวัลออสการ์ในปี 2015 ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย หากแต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากแล้ว
แม้จะต้องรับบทหนักในการถ่ายทำด้วยการเป็นทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ ช่างภาพ และโปรดิวเซอร์ หากแต่จ้าวเต๋ออิ้งก็สามารถถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องยาวจนสำเร็จได้ โดยใช้งบประมาณเพียง 10,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น แถมในช่วงระหว่างนั้น เขายังสามารถถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีได้อีก 2 เรื่องคือ Jade Miners และ City of Jade ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตคนงานเหมืองของพี่ชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานถึง 20 ปี โดยจ้าวเต๋ออิ้งบอกว่า ภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขา จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวและเพื่อน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคย และเป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องหยิบยกขึ้นมาบอกเล่าให้ได้ ìสำหรับผมแล้ว หากไม่ได้ถ่ายทำเรื่องพวกนี้ก่อน ก็จะไม่สามารถถ่ายทำอย่างอื่นได้เลย หรือแม้แต่ The Road to Mandalay ก็เป็นเรื่องราวของพี่สาวของผมเอง พี่สาวอายุมากกว่าผม 12 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องราวของคนในรุ่นนั้น กับความใฝ่ฝันที่จะมาไต้หวันของคนเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศอาเซียนî
ขยายตลาดให้กว้างขึ้น
ภาพยนตร์ของจ้าวเต๋ออิ้งมีความสมดุลของอารมณ์ที่ลงตัวเป็นอย่างมาก และมักจะเป็นเรื่องราวของชีวิตคนธรรมดาสามัญที่ต้องต่อสู้กับโชคชะตาเพื่อไขว่คว้าโอกาสในการพาตัวเองให้พ้นจากความยากจนไปสู่ความร่ำรวย การถ่ายทำแบบ Long Take สามารถถ่ายทอดภาพแห่งความสิ้นหวังอันโศกเศร้าของคนในครอบครัว รวมไปจนถึงชะตาชีวิตของคนที่ถูกเอาเปรียบและย่ำยีโดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลยนั้น ได้กลายมาเป็นภาษาภาพยนตร์ในรูปแบบใหม่ที่กลายเป็นจุดสนใจซึ่งดึงดูดเหล่านักวิจารณ์ภาพยนตร์ทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
ในสายตาของจ้าวเต๋ออิ้งแล้ว ภาพยนตร์คือสิ่งที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ล้วนๆ โดยไม่มีเจตนาทางการเมืองและไม่มีแนวคิดทางสังคมใดๆ แอบแฝงอยู่เลย เขาเห็นว่าตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องเป็นปากเสียงให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในพม่า และเชื่อว่าไม่ว่าเขาจะถ่ายทอดอะไรออกมาก็ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ ภาพยนตร์ของเขาจึงมีการแสดงออกและมีมุมมองที่เป็นส่วนตัวมากๆ "ผมไม่มีภาระหรือความรับผิดชอบอะไรในการสร้างสรรค์งาน และไม่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร รวมทั้งยังไม่มีกลุ่มคนดูเป้าหมายด้วย ผมคิดเพียงแค่ว่าหากบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ออกมาแล้ว มันทำให้รู้สึกสบายใจ ซึ่งก็คงเป็นเหมือนการปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ออกมาในอีกรูปแบบหนึ่งของศิลปิน"
หากเรามองย้อนจากอีกมุมหนึ่งจะพบว่า การที่คนดูรู้จักจ้าวเต๋ออิ้งก็เนื่องมาจากภาพยนตร์เหล่านี้ The Road to Mandalay ใช้งบประมาณในการสร้างเกือบ 40 ล้านเหรียญไต้หวัน โดยเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างฝรั่งเศส เยอรมนี และพม่า เนื้อเรื่องได้หยิบยกประเด็นที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือปัญหาแรงงานจากประเทศยากจนที่เดินทางไปทำงานในประเทศที่ร่ำรวยกว่า อันเป็นประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก จนทำให้ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทผู้จัดจำหน่ายต่างชาติไม่น้อย และในครั้งนี้ทีมงานในกองถ่ายมีมากถึง 200 คน จึงถือเป็นครั้งแรกที่จ้าวเต๋ออิ้งมีโอกาสทำงานกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวด้วยงบประมาณสูง ซึ่งเมื่อเทียบกับสภาพตลาดหนังของไต้หวันในปัจจุบันที่อยู่ในภาวะค่อนข้างซบเซา จนทำให้ผู้กำกับภาพยนตร์หลายคนต้องเลื่อนการถ่ายทำออกไป จ้าวเต๋ออิ้งซึ่งไม่เคยเป็นกังวลในเรื่องทุนและทรัพยากรในการถ่ายทำ กลับสามารถรวบรวมทุนจากต่างประเทศได้ จนทำให้ตลาดหนังของเขาสามารถขยายตัวได้ในวงกว้างมากขึ้น
บทภาพยนตร์ของ The Road to Mandalay ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ด้วยความที่เขาไม่ได้ร่ำเรียนมาทางภาพยนตร์โดยตรง จึงไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง แต่ถึงกระนั้น จ้าวเต๋ออิ้งก็ไม่เคยกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขัน เขาจึงใช้วิธีส่งบทที่เขียนขึ้นนี้ไปร่วมการประกวดบทภาพยนตร์ในการประกวดที่สำคัญๆ ทั่วโลก ในทางหนึ่งก็หวังว่าจะสามารถนำเงินรางวัลมาใช้เป็นทุนในการถ่ายทำ อีกทางหนึ่งก็ต้องการจะพิสูจน์ว่าเรื่องราวของเขาได้รับการยอมรับจากเหล่าคณะกรรมการของกองประกวดทั่วโลกมากน้อยเพียงใด
"บทภาพยนตร์ของ The Road to Mandalay ถูกแก้ไขถึง 12 ครั้ง" จ้าวเต๋ออิ้งย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาที่ต้องคอยมานั่งแก้บท แต่ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาได้มีโอกาสทำความรู้จักกับกรรมการที่ตัดสินตามงานประกวดหลายคน และยังได้รับโอกาสในการส่งบทภาพยนตร์ไปประกวดในต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ เขายังต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อหาเงินทุน การที่ต้องทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์เองด้วย จึงต้องเรียนรู้การจัดจำหน่ายของภาพยนตร์ และทำให้รู้ว่าในการพบปะกับเหล่านักลงทุน จะต้องรู้จัก "ขาย" ผลงานของตัวเองให้เป็น และด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อประกอบกับการวิเคราะห์อย่างสมเหตุผล จะต้องพยายามหาหนทางให้ผลงานของตัวเองมีโอกาสถ่ายทำออกมาเป็นภาพยนตร์ให้ได้ และในวันนี้ที่ผลงานของเขาได้รับรางวัลอีกครั้ง ทำให้จ้าวเต๋ออิ้งถึงกับพูดด้วยความซาบซึ้งว่า "การได้รับกำลังใจเช่นนี้ ทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น และช่วยกระตุ้นให้สามารถเดินต่อไปบนเส้นทางของภาพยนตร์ได้อย่างไม่ย่อท้อ"
ภาพยนตร์ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องของการลงมือทำ
ปีนี้จ้าวเต๋ออิ้งซึ่งอายุ 33 ปีแล้ว เขาได้ตระเวนไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลกเพื่อเข้าร่วมงานในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกว่า 100 ครั้ง และมีหลายประเทศที่จัดนิทรรศการขึ้นเพื่อแสดงผลงานของเขาโดยเฉพาะ แต่ผู้กำกับจ้าวไม่เคยเห็นว่าตัวเองเป็นคนเก่งเลิศเลออะไรเลย ชีวิตประจำวันของเขาก็ยังคงเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีรถยนต์หรูๆ ไม่สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง หากไม่ถ่ายทำภาพยนตร์ก็จะทำกับข้าวรับประทานเอง และใช้เวลาไปกับการนั่งอ่านบทภาพยนตร์หรือดูรายละเอียดของโครงการที่เสนอมา ซึ่งในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ให้สัมภาษณ์กับเรา ผู้กำกับจ้าวจะต้องเดินทางไปยังนครเวนิสเพื่อร่วมงานออกฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง The Road to Mandalay ซึ่งเป็นรอบแรกของโลก โดยที่เจ้าตัวก็เป็นกังวลไม่น้อย กลัวว่าภาษาอังกฤษของตัวเองจะไม่ดีพอ จึงต้องคอยเตือนตัวเองว่า อย่าลืมพกเครื่องแปลภาษาติดตัวไปด้วย เห็นได้ชัดว่าภาพยนตร์ไม่ใช่เรื่องของความฝันอันยิ่งใหญ่อะไร หากแต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้กำกับจ้าวไปแล้ว
"ผมไม่ค่อยพูดว่าภาพยนตร์เป็นเรื่องของความฝัน เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่อะไรแบบนั้น สำหรับผมแล้ว ภาพยนตร์คือเรื่องของการลงมือทำ มีเรื่องราวมีโครงการมากมายรอให้เราค่อยๆ ลงมือทำทีละขั้น ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ก็จะทำได้ดีมากขึ้นเท่านั้น" คุณจ้าวเต๋ออิ้งบอกว่า เขาเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา หากวันใดวันหนึ่งจะต้องย้อนกลับไปสู่การถ่ายทำภาพยนตร์แบบทำงานคนเดียวอีกครั้ง ความมีอิสระเสรีของไต้หวันได้มอบแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานให้เขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันวงการภาพยนตร์ของไต้หวันก็ได้อาศัยผู้กำกับภาพยนตร์ที่มาจากต่างแดนผู้นี้ ในการเปิดประตูสู่สิ่งใหม่ๆ มากขึ้นเช่นกัน และจ้าวเต๋ออิ้งก็เชื่อมั่นเสมอว่า ความเชื่อมั่นและตั้งใจที่เขาอุทิศให้กับภาพยนตร์จะไม่ถูกจำกัดด้วยทุนหรืองบประมาณในการสร้าง ขอเพียงเป็นภาพที่ถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ไม่ว่าจะอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วก็จะถูกมองเห็นได้อยู่ดี