จากสถิติที่ผ่านมา ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไต้หวันเดินทางไปประเทศไทยประมาณ 350,000 คนครั้ง โดยที่ในความคึกคักของท้องถนนในกรุงไทเป หรือตามศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้า ต่างก็จะมีร้านอาหารไทยตั้งอยู่ ประกอบกับหลายปีมานี้ ภาพยนตร์ไทยก็มีกลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยทั้งหลายนี้แสดงให้เห็นว่าชาวไต้หวัน มีความหลงใหลในวัฒนธรรมไทย และแน่นอนว่า มันนำมาซึ่งกระแสความนิยมในการเรียนภาษาไทยที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกทีด้วยเช่นกัน
หลายปีมานี้ ในไต้หวันจะมีกลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่มาจากประเทศอาเซียนมาอาศัยอยู่มากขึ้นทุกที และการที่นักธุรกิจไต้หวันหันไปลงทุนในประเทศอาเซียนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีส่วนทำให้เกิดกระแสความนิยมในการเรียนภาษาไทยขึ้น และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่มากขึ้นนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่งในไต้หวันต่างก็เปิดให้มีการเรียนการสอนภาษาไทยขึ้น เช่น ที่ National Taiwan University (NTU), National Taiwan Normal University (NTNU), National Chengchi University (NCCU) และ National Chi Nan University (NCNU) เป็นต้น
นอกจากสถาบันการศึกษาแล้ว ก็ยังมีองค์กรเอกชนที่เปิดสอนภาษาของประเทศอาเซียนผุดขึ้นอีกมากมายหลายแห่ง เช่น Mudita Thai Center, The Center for Public and Business Administration Education (CPBAE) at NCCU, Office of Continuing Education at Chung Yuan Christian University (CYCU), Taiwan External Trade and Development Council (TAITRA), hk97, SouthEastAsian Migrant inspired (SEAMi), Brilliant Time Bookstore, Wei-Chuan Cultural-Education Foundation และศูนย์สอนภาษาไทย Ha-Tai เป็นต้น ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็เปิดสอนภาษาไทยด้วยกันทั้งนั้น โดยในจำนวนนี้ Mudita Thai Center ถือเป็นหนึ่งในสถาบันรุ่นบุกเบิกด้านการเรียนการสอนภาษาไทยที่มีชื่อเสียงในไต้หวันด้วย
เรียนภาษาไทย ทั้งสนุกและผ่อนคลาย
บ่ายวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อน เมื่อเราเดินเข้าไปยัง Mudita Thai Center ก็จะได้ยินเสียงหัวเราะอันสดใสล่องลอยมา และที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียน ก็คือคุณครูซึ่งพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน ใช้สำเนียงและท่วงท่าอันน่าตื่นเต้นในการสอนเพื่อดึงดูดนักเรียนในชั้น คุณครูคนนี้ก็คือคุณเฮเลน หรือเจิ้งไห่หลุน (>G.|-[) ผู้ก่อตั้ง Mudita Thai Center คุณเฮเลนเป็นคนไต้หวันแท้ๆ และเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า และศรัทธาของเธอนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอเริ่มเรียนภาษาไทยด้วยตัวเอง โดยใช้วิธีการฟังจากเทปคาสเซ็ต เพียงเพราะต้องการที่จะฟังการบรรยายธรรมของพระอาจารย์ทั้งหลาย และในปี 1997 คุณเฮเลนได้ลาออกจากการเป็นข้าราชการประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย NTU เพื่อเดินทางไปศึกษาธรรมะในประเทศไทย พร้อมกับเรียนภาษาไทยไปด้วย
การที่คุณเฮเลนไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ทำให้เธอมีความรู้ความสามารถด้านภาษาไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเดินทางกลับมาไต้หวันแล้ว คุณเฮเลนยังได้ทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านในการบรรยายธรรม ก่อนที่เธอจะก่อตั้ง Mudita Thai Center ขึ้นในปี 2005 โดยในขณะนั้น การเรียนภาษาไทยยังไม่ได้รับความนิยมในไต้หวันมากนัก และเมื่อนึกย้อนกลับไปถึงในตอนแรกที่เริ่มเปิดสอน คุณเฮเลนบอกกับเราว่า °ßในตอนนั้นคิดว่าคงไม่ใครอยากมาเรียน แต่คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะมีคนมาสมัครเรียนถึง 8 คน°®
จนทุกวันนี้ สิบกว่าปีผ่านไป คุณเฮเลนสอนนักเรียนแล้วหลายพันคน มีทั้งที่เป็นนักเรียนนักศึกษา นักกีฬา นักธุรกิจ ครูอาจารย์ รวมไปจนถึงนักข่าว หลากหลายอาชีพมาก มีทั้งคนที่มาเรียนเพราะบริษัทจะส่งไปทำงานในประเทศไทย หรือมีคนมาเรียนเพราะมีเพื่อนเป็นคนไทย แต่โดยรวมๆ แล้ว ส่วนใหญ่จะมาเรียนเพราะต้องการไปท่องเที่ยว หรือชื่นชอบวัฒนธรรมไทย
และเมื่อมีความรักความชอบเป็นแรงผลักดันในการเรียน ทำให้ที่ Mudita Thai Center มีนักเรียนไม่น้อยที่สามารถเรียนภาษาไทยได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี คุณเฮเลนบอกว่า คำในภาษาไทยเกิดจากการผสมระหว่างพยัญชนะและสระ โดยมีพยัญชนะ 44 ตัว และมีสระ 21 รูป 32 เสียง ส่วนการเขียนตัวเลขใช้ตัวเลขไทยไม่ใช้เลขอารบิก ไวยากรณ์และการสร้างประโยคในภาษาไทยคล้ายคลึงกับภาษาจีน แต่ไม่มีการใช้เครื่องหมายวรรคตอน การจะเรียนภาษาไทยในระดับเขียนอ่านนั้น ต้องใช้ความพากเพียรเป็นอย่างมาก จึงขอให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่หัดเรียนใหม่ๆ ว่า ควรจะเริ่มต้นเรียนจากบทสนทนาก่อน และหลังจากที่ได้มีโอกาสเรียนรู้จากเพื่อนๆ ในชั้นเรียนที่มาร่วมแลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์ในไปท่องเที่ยวหรือทำงานที่ประเทศไทยแล้ว จะมีส่วนช่วยให้การเรียนภาษาก้าวหน้าได้ดียิ่งขึ้น และมีความมั่นใจมากขึ้นด้วย บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความสนุกสนานในชั้นเรียนมีส่วนช่วยให้นักเรียนที่เพิ่งจะเลิกงานมาเข้าเรียน รู้สึกได้ว่าสามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกอึดอัดจากการทำงาน จึงมีนักเรียนหลายคนบอกกับเราอย่างยิ้มแย้มว่า รู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอการมาเรียนแต่ละครั้งมาก เพราะการเรียนภาษาไทยได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ช่วยผ่อนคลายความกดดันได้เป็นอย่างดี
การเรียนการสอนภาษาไทยในสถาบันศึกษา
เปลี่ยนฉากมายังสถาบันศึกษากันบ้าง อ.พิชญ์ สัตย์ตระกูลวงศ์
(<B١d)w) ที่ปัจจุบันเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกของภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัย National Taiwan University คืออาจารย์สอนวิชาภาษาไทยที่ประจำอยู่ใน College of Liberal Arts, NTU และ Foreign Language Center, NCCU โดย อ.พิชญ์ ซึ่งเป็นคนไทยนั้น เคยเดินทางไปเรียนภาษาจีนที่ประเทศจีน 1 ปี ก่อนจะกลับไปทำงานเป็นล่ามในประเทศไทย แต่หลังจากทำงานได้ระยะหนึ่ง ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะพัฒนาภาษาจีนของตัวเองให้ดีขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางมาศึกษาต่อในไต้หวันในปี 2007
และหลังจากที่จบการศึกษาระดับมหาบัณฑิต จากคณะ
วารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัย National Taiwan University แล้ว ก็ได้เข้าทำงานในบริษัทโฆษณา ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้ไปสอนภาษาไทยที่ศูนย์สอนภาษาต่างประเทศของมหาวิทยาลัย NCCU ซึ่ง อ.พิชญ์บอกกับเราว่า °ßในตอนนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถสอนภาษาไทยในไต้หวันได้ จึงรู้สึกว่าสุดยอดมาก°® และเพื่อไขว่คว้าโอกาสในการเติบโตบนเส้นทางการเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยในไต้หวัน ที่แม้จะมีชั่วโมงสอนเพียงสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง แถมยังเป็นอาจารย์พิเศษที่รับค่าตอบแทนเป็นรายชั่วโมง หากแต่ อ.พิชญ์กลับรู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่ท้าทายมาก แม้จะต้องยอมเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นพนักงานรับเงินเดือนประจำ หันมารับค่าตอบแทนรายชั่วโมง เพียงชั่วโมงละ 550 เหรียญไต้หวัน และมีรายได้เพียงเดือนละไม่ถึง 10,000 เหรียญไต้หวันด้วยซ้ำ แต่ก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาตั้งใจทำงานสอนภาษาไทยเพียงอย่างเดียว ซึ่งด้วยความได้เปรียบที่เป็นคนไทยและสามารถพูดภาษาจีนได้เป็นอย่างดี ทำให้ อ.พิชญ์ที่เริ่มการสอนภาษาไทยใน NCCU เพียงแห่งเดียว ปัจจุบันนี้ ทั้งใน NTU, CYCU, Taiwan Police College, China Youth Corp. รวมไปจนถึง TAITRA ซึ่งเป็นหน่วยงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลไต้หวัน ต่างก็มีคอร์สเรียนภาษาไทยของ อ.พิชญ์เปิดสอนอยู่ทั้งนั้น
นักเรียนของอ.พิชญ์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักศึกษา ที่นอกจากจะมีนักศึกษาไต้หวันแล้ว ยังมีมาจากมาเลเซีย พม่า หรือแม้แต่จากประเทศไทยด้วย โดยในช่วงหลายปีมานี้ ประเด็นเกี่ยวกับอาเซียนกลายเป็นที่สนใจในไต้หวันมากขึ้น ทำให้มีนักศึกษาสนใจมาลงทะเบียนเรียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด NTU จึงได้เปิดวิชาภาษาไทยชั้นต้นขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะเรียนภาษาไทยของเหล่านักศึกษาด้วย
สำหรับสาเหตุที่นักศึกษาเลือกลงทะเบียนเรียนนั้น มีมากมายหลายเหตุผล มีทั้งที่ชอบวัฒนธรรมไทย มีบางคนวางแผนจะไปท่องเที่ยวในประเทศไทย มีบางคนอยากไปเป็นอาสาสมัครทางภาคเหนือของไทย รวมไปจนถึงมีบางคนที่อยากเพิ่มพูนความสามารถทางภาษาเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าในแถบประเทศอาเซียน ซึ่ง อ.พิชญ์ชี้ว่า °ßการเรียนภาษาไทยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ผมจะพยายามเตือนให้นักศึกษาพิจารณาอย่างรอบคอบ ถึงสาเหตุที่เลือกมาลงเรียนวิชาภาษาไทย°® ด้วยความหวังว่านักศึกษาจะสามารถค้นพบแรงผลักดันที่ทำให้ตัวเองสนใจที่จะเรียนรู้ มากกว่าการทำอะไรตามแฟชั่น
หากพูดถึงความได้เปรียบในการหางานจากการที่มีความรู้ภาษาไทยนั้น ทั้งคุณเฮเลนและ อ.พิชญ์ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ความสามารถด้านภาษาไทยอาจมีส่วนช่วยเพิ่มคะแนนให้ ในส่วนของประวัติส่วนตัวในการสมัครงาน หากแต่มันไม่ใช่เป็นปัจจัยชี้ขาดที่จะตัดสินว่าเราจะได้งานทำหรือไม่ ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มพูนความสามารถและความเชี่ยวชาญในสายงานที่เราจะทำงานมากกว่าอย่างอื่น
จากการที่มีกลุ่มผู้สนใจเรียนภาษาไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการจัดตั้งสมาคมแลกเปลี่ยนด้านภาษาและวัฒนธรรมไทย-ไต้หวันขึ้นในปี 2015 ซึ่งทางสมาคมก็มีโครงการในการส่งเสริมเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไทยในไต้หวัน มีการเปิดคอร์สสอนภาษาไทย และมีการเปิดทดสอบวัดระดับภาษาไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่ภาษาไทยไปยังทุกแห่งหนทั่วไต้หวันด้วย
ประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นสยามเมืองยิ้ม มีวัฒนธรรมอันล้ำลึกและมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง จนสามารถดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวให้เดินทางไปเยือนได้อย่างมากมาย และส่งผลให้เกิดความต้องการที่จะเรียนภาษาไทยขึ้น ซึ่งการเรียนภาษาถือเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเข้าใจและเข้าถึงวัฒนธรรมนั้นๆ เราจึงหวังว่ากระแสความนิยมในการเรียนภาษาไทยในไต้หวันนี้ จะสามารถเป็นสะพานในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและไทย ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน