ในยุคปัจจุบันที่สินค้า 3C ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย วันเวลาแห่งความสุขที่เคยเป็นของเราผ่านเลยไป ไม่อาจจะเรียกกลับคืนมาได้อีก แต่อานิสงส์ของกระแสความนิยมเขียนหนังสือด้วยลายมือ ทำให้ความอบอุ่นจากด้ามปากกากลับคืนมาสู่อุ้งมือของผู้คนอีกครั้ง
ในอดีตกล่องดินสอของเด็กนักเรียนไต้หวันทุกคนจะมีปากกา SKB กันทั้งนั้น เครื่องเขียนยี่ห้อ SKB มีชื่อเสียงและเก่าแก่ ก่อตั้งมานานเกินกว่า 60 ปีมีแหล่งกำเนิดมาจากเขตเหยียนเฉิงนครเกาสงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือและในอดีตเป็นย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน
หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม คนญี่ปุ่นทยอยอพยพเดินทางกลับประเทศ คุณหลูหรงหั่ว (盧榮火) ซึ่งเดิมทำงานในโรงเรียนสอนขับรถ ได้ซื้อกิจการร้านเครื่องเขียนกรีนเฮ้าส์ (Green House Stationery Store) ของโกโระ อาราคาว่า (Goro Arakawa) ในปี 1951 จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็น ร้านหนังสือเหวินหมิง (文明書局 : Wen Ming Books) และเริ่มนำเข้าเครื่องเขียนจากต่างประเทศ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น SKB ซึ่งย่อมาจากคำว่า Smooth Knowing และ Beauty โดยนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศแล้วทำการผลิตและบรรจุหีบห่อเอง
ปี 1959 SKB ผลิตปากกาหมึกซึมด้ามแรกออกสู่ตลาด และหนึ่งปีต่อมาปากกาหมึกซึม SKB รุ่น 22 ที่มีรูปทรงเรียวงาม ด้ามปากกาสีเขียวน้ำทะเล สวยคลาสสิก ได้รับการยกย่องว่าเป็น ปากกาหมึกซึมคลาสสิก คุณหลินก้วนหง (林冠宏) รองผู้จัดการฝ่ายการตลาดของปากกาหมึกซึม SKB กล่าวว่า ปากกาหมึกซึม SKB รุ่น 22 สนนราคาสูงถึง 75 เหรียญไต้หวัน ในขณะที่ข้าราชการไต้หวันในยุคนั้นมีเงินเดือนไม่ถึง 300 เหรียญไต้หวัน ซื้อปากกาด้ามนี้ต้องใช้เงินเกือบ 1/4 ของรายได้แต่ละเดือน
ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อปากกาหมึกซึม SKB รุ่น 22 ออกวางตลาดก็สร้างกระแสความนิยมเป็นอย่างมาก ในช่วงทศวรรษ 1960 ของรางวัลที่บรรดาสถานศึกษาส่วนใหญ่มอบให้แก่นักศึกษาเรียนดีที่สำเร็จการศึกษาก็คือปากกาหมึกซึมรุ่นนี้นี่เอง นอกจากนี้ คนทำงานส่วนใหญ่ก็นิยมเหน็บปากกาหมึกซึม SKB รุ่น 22 ไว้ที่กระเป๋าเสื้อแสดงถึงรสนิยมส่วนบุคคล โดยผู้ที่ก่อให้เกิดกระแสความนิยมดังกล่าวในยุคนั้นก็คือคุณหลูหรงหั่วนั่นเอง เขาใช้วิธีการลงโฆษณาในนิตยสารไลฟ์สไตล์ชื่อ The Rambler (自由談) ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับความนิยมในยุคทศวรรษ 1960
แม้กิจการปากกาหมึกซึมจะเป็นไปด้วยดี แต่คุณหลูหรงหั่วรู้สึกได้ถึงความนิยมของตลาดที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ระหว่างเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปหลายครั้ง คุณหลูหรงหั่วสังเกตเห็นว่าคนวัยทำงานที่นั่นมักจะเหน็บปากกาลูกลื่น 1 ด้าม ไว้ที่กระเป๋าเสื้อกันทุกคน เขารู้ได้ทันทีว่ายุคที่ปากกาลูกลื่นเข้ามาแทนที่ปากกาหมึกซึมกำลังจะมาถึง เขาจึงตัดสินใจหันมาผลิตปากกาลูกลื่นแทน
ซึ่งก็เป็นจริงดังที่คาดการณ์ไว้ ปากกาลูกลื่นราคาย่อมเยาและใช้งานสะดวกเข้ามาแทนที่ปากกาหมึกซึมโดยสิ้นเชิง กลายเป็นปากกาที่ผู้คนทั่วไปนิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ด้วยเหตุนี้เอง ปากกาลูกลื่นหลายหลากชนิดจึงถูกผลิตออกมาจากโรงงานขนาดใหญ่ของ SKB ที่เขตเหยียนเฉิง นครเกาสง
ไม่ว่าจะเป็น ปากกาชุดสามสีซึ่งประกอบด้วย “หยกคราม หยกขาวและหยกเขียว” ที่ผู้คนยุคปัจจุบันไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว หรือปากกาลูกลื่นขนาดหัวปากกา 0.7 มม. รุ่น “Secretary” แม้กระทั่งปากกาลูกลื่นหมึกเจลที่มีกลิ่นหอม ด้ามปากกาเป็นลายดอกไม้ SKB ออกแบบและผลิตปากกาลูกลื่นปีละมากกว่า 10 ชนิด ยึดพื้นที่ส่วนใหญ่บนชั้นวางปากกาของร้านเครื่องเขียน กลายเป็นความทรงจำที่แสนคุ้นเคยของผู้คนข้ามยุคสมัย
ใช้เวลาชั่วครึ่งชีวิตอยู่กับปากกา
หากเปิดประวัติศาสตร์เครื่องเขียนไต้หวันจะพบชื่อ SKB ถูกบันทึกเอาไว้ ขณะที่ชื่อ “ลุงฝู” ก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ SKB เพราะหลังจบมัธยมปลายในปี 1970 ลุงฝูก็เริ่มเข้าทำงานในบริษัท SKB ตราบจนปัจจุบัน ลุงฝูซึ่งมีอายุ 63 ปี รับผิดชอบขั้นตอนการผลิตน้ำหมึกและไส้ปากกา แต่ละวันมีไส้ปากกาลูกลื่นผ่านมือแกหลายร้อยชิ้น นอกจากนี้ ยังต้องนำไส้ปากกาไปแช่ในน้ำยาและแอลกอฮอล์ครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นค่อยๆ เช็ดน้ำหมึกที่ซึมผ่านรอยต่อของไส้ดินสอออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วจึงนำไปอบให้แห้งโดยใช้แสงสีเหลืองของหลอดไฟฮาโลเจน
ปลายเล็บมือของลุงฝูมักจะแปดเปื้อนไปด้วยคราบน้ำหมึกสีน้ำเงินอยู่เสมอ คุณหลินก้วนหงที่เพิ่งเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ได้ไม่ถึงปีเห็นการทำงานของรุ่นพี่ พูดติดตลกว่า “ไม่รู้ว่ากลับบ้านไป ได้ล้างมือหรือเปล่า เพราะวันรุ่งขึ้น มือแกก็เปื้อนน้ำหมึกเหมือนเดิม”
แม้ปัจจุบันสถานที่ที่เคยใช้เป็นห้องรับประทานอาหารและพักผ่อนช่วงกลางวัน ให้เช่าทำเป็นสถานที่จอดรถไปแล้ว แต่ลุงฝูที่ใช้เวลาชั่วชีวิตอยู่กับปากกายังคงจดจำภาพในอดีตได้เป็นอย่างดี ปากกาหมึกซึม ปากกาลูกลื่น หรือปากกาชนิดใดก็ตาม ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลุงฝู แกหวนรำลึกถึงช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่กิจการของ SKB รุ่งเรืองถึงขีดสุด เถ้าแก่ยังเคยส่งพนักงานไปดูงานและฝึกงานที่ญี่ปุ่น พนักงาน 500 คน ผลัดกันเข้าทำงานวันละ 3 กะ เครื่องจักร 30 ตัว เปิดเดินเครื่องทั้งวันทั้งคืนไม่เคยหยุด ทุกวันปากกาที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่จะถูกขนขึ้นรถบรรทุก ลำเลียงไปยังสถานีรถไฟเพื่อส่งไปขายทางภาคเหนือ
กระแสความนิยมเขียนหนังสือด้วยลายมือ ฟื้นชีวิตปากกาหมึกซึม
จากการที่ความนิยมเสื่อมถอยลง คู่แข่งรายสำคัญเช่น Telex และ Bismarck ทยอยเลิกผลิตปากกา ทำให้ SKB กลายเป็นผู้ผลิตปากการายเดียวในไต้หวัน
ทศวรรษ 1990 อินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย วิกฤตกระดาษน้อยกับวิกฤตเด็กเกิดน้อยถาโถมเข้ามา SKB ซึ่งผลิตปากกาลูกลื่นเป็นหลัก จำเป็นต้องไตร่ตรองถึงอนาคตของบริษัทว่า “จะยึดตลาดปากกาลูกลื่นราคาถูกเอาไว้ต่อไปหรือหันไปรุกตลาดปากกาหมึกซึมที่ราคาสูงแทน” คุณหลินก้วนหงกล่าว
“ปากกาไม่ควรเป็นแค่เครื่องเขียน แต่ยังใช้เป็นเครื่องประดับได้ด้วย” จากแนวคิดนี้เอง ในปี 2012 SKB ได้ตัดสินใจตามช่างฝีมือเก่ากลับมาช่วยผลิตปากกาหมึกซึมอีกครั้ง และปากกาหมึกซึมคลาสสิกหลายรุ่น อาทิ รุ่น 22 หรือรุ่น 3 นิ้ว ที่ออกแบบให้พกพาสะดวก และรุ่นอื่นๆ กลายเป็นปากกาหมึกซึมล็อตแรกที่ SKB ผลิตออกสู่ตลาดอีกครั้ง
คุณเฉินหวงกู่ (陳皇谷) ผู้จัดการฝ่ายดีไซน์สินค้า ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการออกแบบของ SKB เปิดเผยว่า เพื่อให้ผู้บริโภคได้หวนรำลึกถึงอดีต ปากกา SKB ล็อตแรกจึงเลือกผลิตปากการุ่นเก่าที่สวยงามคลาสสิก โดยปรับเปลี่ยนในส่วนของหัวปากกาและสีเพียงเล็กน้อย ส่วนปากการุ่นใหม่หลายแบบ ใช้ไม้และทองเหลืองซึ่งเป็นวัสดุจากธรรมชาติมาทำเป็นด้ามปากกา ให้ความรู้สึกอบอุ่นใกล้ชิด อาทิ ชุดปากกาหมึกซึมด้ามทองเหลือง ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เดิมทีมดีไซน์ได้ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสินค้าตัวอย่าง อยู่มาวันหนึ่งคุณเฉินหวงกู่ไปเยี่ยมศาสตราจารย์ท่านหนึ่งแล้วเหน็บปากกาด้ามนี้ไปด้วย ได้รับความสนใจจากฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก ปากกาด้ามทองเหลืองที่คงไว้ซึ่งสีและเนื้อโลหะเดิมดึงดูดความสนใจจากผู้คนเกินความคาดหมาย
คุณเฉินหวงกู่จึงออกแบบฝาครอบและที่เสียบปากกาออกมาให้เข้าชุดกันซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งในระยะนี้ เกิดกระแสความนิยมเขียนหนังสือด้วยลายมือ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ SKB จะยอมตกกระแส
ก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณเย่เย่ (葉曄) นักเขียนอักษรจีนด้วยปากกาชื่อดัง ได้แชร์คลิปสอนการเขียนตัวอักษรจีนด้วยปากกาในแฟนเพจของตนเอง ปากกาที่เขาใช้เขียนคือปากกาลูกลื่นซึ่งเป็นหมึกฐานน้ำมัน ขนาดหัวปากกา 0.7 มม. รุ่น “Secretary” ของ SKB นั่นเอง คุณหลินก้วนหงกล่าวว่า ได้เห็นคุณเย่เย่ใช้ปากกาของบริษัทตัวเองมาเขียนตัวอักษรจีน รู้สึกประหลาดใจมาก ต่อมาเมื่อมีโอกาสรู้จักจึงได้สอบถามเหตุผล คำตอบของคุณเย่เย่คือ เพราะรู้สึกว่าเขียนลื่นเป็นพิเศษ
ที่มาของดินสอตรากระต่ายรุ่น 88 เพราะอยากให้ทุกคน “รวยรวย”
ภาคใต้ของไต้หวันมีปากกาหมึกซึม SKB ภาคเหนือมีดินสอตรากระต่าย โรงงานตั้งอยู่ที่ตำบลอู่เจี๋ย เมืองอี๋หลาน เครื่องเขียนทั้งสองยี่ห้อนี้ล้วนเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ตราตรึงอยู่ในใจของชาวไต้หวัน
โรงเรียนดินสอตรากระต่าย ซึ่งตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น พื้นที่ภายในแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นโรงงานผลิตดินสอ อีกส่วนหนึ่งปรับปรุงให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมได้ เดินเข้าไปภายในโรงงานเก่าแก่แห่งนี้ สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาก็คือดินสอตรากระต่ายรุ่น 88 สีเหลือง ที่ทุกคนคุ้นเคย
“ที่ตั้งชื่อดินสอรุ่นนี้ว่า “88” (อ่านว่า ปาปา เสียงใกล้เคียงกับคำว่า 發發 อ่านว่า ฟาฟา แปลว่า รวยรวย ความหมายคือหวังจะให้ทุกคน “รวยรวย” นั่นเอง” คุณถังจื้อเทียน (唐志天) ผู้อำนวยการและผู้บริหารรุ่นที่ 3 ของโรงเรียนดินสอตรากระต่ายอธิบายที่มาของชื่อดินสอรุ่นคลาสสิกนี้
แม้จะเป็นการดีไซน์ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ปัจจุบันดูแล้วไม่สะดุดตา แต่การตั้งชื่อและสีสันที่เลือกใช้ล้วนมีความหมายยิ่งใหญ่ และแม้ว่าราคาดินสอตรากระต่ายจะแค่ไม่กี่สตางค์แต่ในยุคที่ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้รับดินสอตรากระต่ายล้วนรู้สึกยินดีราวกับได้รับของมีค่า
ในทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่ดินสอตรากระต่ายเฟื่องฟูสุดขีด แต่ละปีผลิตดินสอออกมาอย่างน้อย 20-30 รุ่น และยังต้องแข่งขันกับดินสอยี่ห้ออื่นทั้งจากในและต่างประเทศ ในบรรดาดินสอมากมายหลากรุ่นหลายยี่ห้อ มีเพียงดินสอตรากระต่ายรุ่น 88 สีเหลืองเท่านั้นที่ผู้คนจดจำไม่รู้ลืม
เครื่องเขียนตรากระต่ายเกี่ยวพันกับเรื่องราวชีวิตของทุกคน
ด้วยเหตุที่ดินสอตรากระต่ายอยู่คู่ชาวไต้หวันมานานหลายสิบปี ดังนั้นจึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องราวช่วงหนึ่งในชีวิตของทุกคน
ในงานสัมมนาว่าด้วยการประกอบธุรกิจใหม่งานหนึ่ง พิธีกรเชิญผู้ร่วมงานแนะนำบริษัทของตนเอง คุณถังจื้อเทียนซึ่งมีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ด้วย เห็นว่าบรรยากาศในที่ประชุมเงียบกริบ จึงยกมือขึ้นแล้วแนะนำตัวเองว่า “ผมมาจากบริษัทเครื่องเขียนตรากระต่าย ..... ” แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันพูดจบประโยค พิธีกรรีบขัดจังหวะแล้วเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองสมัยที่เป็นนักเรียนกับเครื่องเขียนตรากระต่ายอย่างตื่นเต้นว่า สมัยนั้นเพื่อนนักเรียนในชั้นที่เป็นชาวฮ่องกงและมาเก๊านิยมซื้อปากกาลูกลื่นตรากระต่ายเป็นของฝากมากที่สุด ทุกครั้งที่กลับประเทศ จะหอบหิ้วปากกาลูกลื่นตรากระต่ายคนละ 1-2 กระเป๋า กลับไปแจกญาติมิตร
ไม่เพียงแค่ใช้เป็นของฝากเท่านั้น ในยุคที่เครื่องถ่ายเอกสารยังไม่แพร่หลาย ผู้คนจำนวนมากใช้ปากกาลูกลื่นตรากระต่ายที่เขียนจนหมึกหมดแล้ว เป็นเครื่องมือในการแกะสลักบนแผ่นเหล็ก คุณถังจื้อเทียนบอกว่า เพราะปลายปากกาในยุคนั้นจะค่อนข้างทู่และคุณภาพดีเป็นพิเศษ
สำหรับคนไต้หวันที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1950 1960 และ1970 ความทรงจำในวัยเด็กผูกพันกับปากกาลูกลื่นตรากระต่ายอย่างแน่นแฟ้น และหากถอดฝาปากกาสีน้ำเงินออก แล้วดึงไส้ปากกาออกมา นำด้ามปากกาที่ข้างในกลวงกดลงบนเปลือกส้ม จากนั้นใช้ตะเกียบสอดเข้าไปในด้ามปากกาอีกด้าน ความดันอากาศภายในด้ามปากกาดันให้เปลือกส้มพ่นออกมาราวกับลูกกระสุนปืนที่ยิงออกมาจากลำกล้องปืนปากกากลายมาเป็นปืนลมได้ในทันที
กลิ่นอายของดินสอ ไออุ่นจากเครื่องเขียนตรากระต่าย
ของรางวัลที่รับมาจากมือคุณครู นำมาใช้เป็นหลอดเป่าฟองสบู่เล่น เป็นความทรงจำที่เกี่ยวกับปากกาตรากระต่ายของคนไต้หวันที่เกิดในช่วงทศวรรษ 1950 1960 และ1970 แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกับเครื่องเขียนตรากระต่าย คุณถังจื้อเทียนหวังจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความอบอุ่นจากผลิตภัณฑ์ของตรากระต่าย
จากเดิมที่เคยถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสามยี่ห้อดังของดินสอไต้หวัน เคียงคู่กับยี่ห้อ Liberty และ Simbalion หลังปี 1990 เนื่องจากอินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ประกอบกับวิกฤตเด็กเกิดน้อย ทำให้ยอดขายของดินสอตรากระต่ายลดลงอย่างฮวบฮาบ ต่อมาในปี 2008 ตัดสินใจปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็นโรงงานสำหรับการท่องเที่ยว จากนั้นเปลี่ยนชื่อโรงงานมาเป็น โรงเรียนดินสอตรากระต่าย
ดินสอมีการผลิตอย่างไร ดินสอมีส่วนผสมของตะกั่วหรือไม่ ปัญหามากมายเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่แน่ว่าจะรู้คำตอบ คุณถังจื้อเทียนบอกว่า มาเที่ยวชมโรงเรียนดินสอตรากระต่ายสักครั้ง จะได้รับคำตอบทันที
ช่วงที่เพิ่งเปิดดำเนินการใหม่ๆ โรงเรียนดินสอตรากระต่ายมีเพียงห้องจัดแสดงและการฉายวีดิทัศน์แนะนำง่ายๆ แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ได้เพิ่มกิจกรรมที่สนุกสนานและน่าสนใจหลายอย่าง อาทิ เปิดคอร์สพลศึกษา และ DIY ดินสอ เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อให้มีบรรยากาศคล้ายกับสถานศึกษา ได้ดัดแปลงโรงงานเก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มาเป็นห้องเรียนที่อบอวลด้วยบรรยากาศย้อนยุค ที่ประตูทางเข้า เดิมเป็นร้านสวัสดิการพนักงาน ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นร้านขายสินค้าสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ซึ่งภายในจัดวางดินสอรุ่นคลาสสิกและปากการุ่นใหม่ที่ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ ไว้จนเต็มร้าน ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เปิดให้เข้าชมขั้นตอนการผลิตภายในโรงงาน ตั้งแต่การเลือกวัสดุ ผ่าไม้ อบให้แห้ง ไสให้เข้ารูป การทำไส้ดินสอและอื่นๆ ซึ่งในอดีตไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปชมแต่ปัจจุบันเด็กๆสามารถไปดูด้วยตาของตนเองได้
คุณถังจื้อเทียนบอกว่า เพียงแค่ย่างก้าวเข้าไปภายในก็จะได้กลิ่นอ่อนๆ ของไม้และสีเคลือบดินสอ เมื่อเด็กๆ หยิบดินสอขึ้นมา ในสมองของพวกเขาจะหวนคิดไปถึงกลิ่นดินสอที่เคยได้สัมผัสมา
หยิบปากกาขึ้นมา ทำจิตให้สงบ จากนั้นค่อยๆ เขียนบันทึกออกมาสักหนึ่งวรรค ณเวลานี้สัมผัสในมือที่คุณรู้สึกได้เป็นอย่างไรแล้วมันได้เรียกความทรงจำของคุณในช่วงใดของชีวิตที่เกี่ยวกับปากกากลับมาบ้าง