ปัจจุบันในไต้หวันมีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 ทะลุ 360,000 คน ในจำนวนนี้มีหลายคนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก เช่น โจวหลงน่า (鄒隆娜) ผู้กำกับชาวไต้หวัน เชื้อสายฟิลิปปินส์ ซึ่งใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อในการสมานรอยแผลที่บาดหมางกันระหว่างไต้หวันกับฟิลิปปินส์, เฉินโย่วจิน (陳又津) ผู้สืบทอดความกล้าหาญจากคุณแม่ชาวอินโดนีเซีย มุ่งมั่นกับชีวิตและงานเขียน, จางหวั่นเจา (張婉昭) นักเต้นที่พลิกชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า บุคคลเหล่านี้ถือเป็นนักสร้างสรรค์ที่ค้นพบตัวเองได้อย่างแท้จริง ผลงานของพวกเขาเป็นตัวชี้ถึงคำตอบของคำถามที่ว่า "ฉันเป็นใคร" ได้ดีโดยไม่ต้องให้ใครมาจำกัดความ
โลกแห่งภาพยนตร์ของโจวหลงน่า
ภายในงานเสวนาหลังฉายภาพยนตร์ในเทศกาลภาพยนตร์ New Nanyang Film Festival (新南洋影展) ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไต้หวัน (國立臺灣藝術大學: National Taiwan University of Arts) ผู้กำกับคลื่นลูกใหม่อย่างโจวหลงน่าได้สร้างความประทับใจให้กับกลุ่มคนดู จากผลงานเรื่อง "อานี" (Arnie) ที่มีความยาวเพียง 23 นาที เธอเกิดที่ไต้หวัน แต่เติบโตที่ฟิลิปปินส์ จนกระทั่งอายุ 10 ขวบ จึงได้เดินทางกลับมาไต้หวันอีกครั้ง คุณพ่อของเธอมาจากมณฑลเจียงซี ในจีนแผ่นดินใหญ่ แม่เป็นคนฟิลิปปินส์ ทั้งสองได้สร้างชีวิตอันสมบูรณ์ของโจวหลงน่าขึ้นมา แต่ก็มอบความรู้สึกต่างถิ่นให้แก่เธอไปตลอดกาลด้วยเช่นกัน
ความรักระหว่างคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่โจวหลงน่าให้ความสนใจมากที่สุดในขณะนี้ ไม่ว่าธีมของเรื่องจัดอยู่ในประเภทใด สิ่งที่เธอใส่ใจมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร แรงงานข้ามชาติชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง อาจจะมีสถานะเป็นลูก หรืออาจจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งมีรักครั้งแรก และหากพูดถึงเรื่องของ "การยอมรับ" ในภาพยนตร์เรื่อง "Chicharon" (薯片) สิ่งที่อยู่ในใจของเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครของเรื่อง เป็นเพียงความเหงาและอ้างว้างเท่านั้น ไม่ใช่ความเจ็บปวดเรื่องชาติพันธุ์ แต่ย้อนไปสู่ความสัมพันธ์และความรู้สึกระหว่างคนกับคน เรื่องราวนั้นๆ จึงจะสามารถสร้างความซาบซึ้งใจให้เกิดขึ้นได้
โจวหลงน่ากล่าวว่า ตนเองไม่อาจนับว่าเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 เธอพูดให้กำลังใจเยาวชนรุ่นที่สองซึ่งเป็นลูกหลานของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นแรกและมีภูมิหลังที่คล้ายกันว่า "อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนน่าสงสาร ถ้ามีปัญหาก็ให้แก้ไข สังคมทำให้เราจมอยู่กับความโศกเศร้ามากเกินไป อันที่จริง บางครั้งหากเราเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับบาดแผลในใจ ก็จะทำให้มองไม่เห็นจุดแข็งหรือจุดเด่นของตัวเอง เราควรที่จะสร้างโลกของเราเองในแบบที่เราต้องการดีกว่า พยายามมุ่งสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าคุณมีศักยภาพมากพอที่จะทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ ก็ควรที่จะลงมือทำ ไม่ใช่ว่าคุณมีปัญหา ถึงจะมาทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แต่ในเมื่อคุณมีศักยภาพ ก็ควรที่จะขยันและมุมานะเข้าไว้"
สำหรับโจวหลงน่าแล้ว ภาพยนตร์คือโลกใบใหม่ที่มีทั้งความมหัศจรรย์และความเป็นจริงปะปนกันไป การส่องแสงสว่างเข้าไปในความมืดมิด ก็เหมือนกับอิทธิพลที่ได้รับจากภาพยนตร์ ซึ่งในบางครั้งอาจไม่เพียงพอที่จะส่องนำทางได้ แต่ฉันบอกคุณได้ว่า ที่ใดมีความฝัน ที่นั่นย่อมมีแสงสว่าง