ไต้หวันคือคลังสมบัติแห่งผลไม้เขตร้อน
นอกจากผลอะบิวแล้ว แอปเปิลสตาร์หรือลูกน้ำนมซึ่งเป็นไม้ผลในวงศ์พิกุล (Sapotaceae family) กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้เช่นกัน โดยพันธุ์ที่ปลูกในไต้หวันคือพันธุ์เปลือกชมพูที่ได้มาจากการผสมพันธุ์เปลือกสีม่วงดำเข้ากับเปลือกสีเขียว ลูกน้ำนมมีชื่อในภาษาจีนว่า “ซิงผิงกั่ว (แอปเปิลสตาร์)” เพราะเมื่อนำผลสุกมาผ่าขวางแล้ว จะเห็นแนวของเมล็ดเรียงรายกันอยู่เป็นรูปดาว โดยเนื้อของลูกน้ำนมจะมีน้ำสีขาวขุ่น จึงมีชื่อเรียกในภาษาเวียดนามว่า “vú sữa” ที่หมายถึงน้ำนม และหลังจากที่มีชาวเวียดนามย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในไต้หวันมากขึ้น แอปเปิลสตาร์จึงถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า หนิวหน่ายกั่ว (牛奶果) ซึ่งหมายถึงลูกน้ำนมนั่นเอง
การรับประทานลูกน้ำนมมีหลายวิธี สามารถนำผลมาผ่าครึ่งแล้วใช้ช้อนตักเนื้อออกมารับประทาน หรือสามารถรับประทานในแบบของคนเวียดนาม ด้วยการเจาะรูแล้วใช้หลอดดูด เนื้อของผลไม้ที่ถูกดูดเข้าปากช่วยเพิ่มรสสัมผัสและความรู้สึกในการรับประทานลูกน้ำนมสมชื่อจริงๆ
ทุกท่านอย่าเพิ่งคิดว่า ทั้งผลอะบิวและลูกน้ำนมเป็นผลไม้ที่เพิ่งนำเข้ามาปลูกในไต้หวันในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพราะที่จริงแล้วผลไม้ทั้งสองชนิดถูกนำเข้ามาในไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 โดยอาจารย์โอชิม่า คินทาโร่ นักวิชาการชาวญี่ปุ่น เมื่อครั้งที่ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเกษตรและวนศาสตร์แห่งไต้หวัน (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัย National Chung Hsing University: NCHU) นอกจากนี้ ลูกม่อนไข่หรือท้อเซียนที่เราเห็นกันบ่อย ๆ บนโต๊ะเครื่องเซ่น รวมไปถึงทุเรียนและละมุด ซึ่งเป็นผลไม้เขตร้อน ต่างก็ถูกนำเข้ามาในไต้หวันตั้งแต่ช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองเกาะไต้หวันเช่นกัน คุณหวังรุ่ยหมิ่น (王瑞閔) นักเขียนผู้ใช้นามปากกาว่า “ต้นไม้อ้วน” (胖胖樹) ซึ่งได้ออกหนังสือเกี่ยวกับผลไม้เมืองร้อนหลายเล่ม ได้เริ่มศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพืชเขตร้อนอย่างจริงจังตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาเห็นว่า ความนิยมปลูกต้นไม้เขตร้อนในไต้หวันในยุคการปกครองญี่ปุ่นนั้น เป็นเพราะไต้หวันมีสภาพภูมิอากาศที่มีความเหมาะสมมากกว่าญี่ปุ่น ไต้หวันจึงกลายเป็นฐานสำคัญในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพืชเขตร้อนของญี่ปุ่น ส่งผลให้มีการนำเข้าผลไม้เขตร้อนเข้ามาเป็นจำนวนมาก
หวังรุ่ยหมิ่นเห็นว่า แม้ยุคที่ญี่ปุ่นปกครองเกาะไต้หวันจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ยังคงมีการปลูกผลไม้เขตร้อนเหล่านี้อยู่ประปรายทางภาคกลางและภาคใต้ ตอนเด็กๆ ตัวเขาเองเคยมีโอกาสได้เห็นผลไม้หลายชนิดที่ตลาดดอกไม้ของไทจง แต่มีปริมาณไม่มากนัก จนมาถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่มีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่และแรงงานต่างชาติเดินทางเข้าสู่ไต้หวันมากขึ้น พวกเขาพบว่า ไต้หวันก็มีผลไม้แบบเดียวกับในภูมิลำเนาเดิม จึงพากันหาซื้อมารับประทานเพื่อคลายความคิดถึงบ้าน ส่งผลให้มีเกษตรกรไต้หวันจำนวนไม่น้อยหันมาเพาะปลูกผลไม้เหล่านี้มากขึ้น
หลังจากที่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่พำนักอาศัยอยู่ในไต้หวันเป็นเวลานานขึ้น ทำให้หลายคนเริ่มปลูกผักผลไม้จากบ้านเกิดในที่ดินของตัวเอง คุณฟ่านซื่อชิว (范氏秋) ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จากเวียดนามที่อาศัยอยู่ในเมืองผิงตงก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ฟ่านซื่อชิวหัวเราะพร้อมกับเล่าให้เราฟังว่า “ตอนที่ฉันอยู่เวียดนาม เคยตัดเย็บเสื้อผ้าและเป็นครู แต่ไม่เคยปลูกผัก” หลังจากแต่งงานและย้ายมาอยู่ในไต้หวันแล้ว เห็นว่าพี่น้องชาวเวียดนามต่างก็มีความคิดถึงผลไม้จากบ้านเกิด จึงทำให้เกิดความคิดที่จะทดลองปลูกขึ้น ฟ่านซื่อชิวที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี แม้จะเคยประสบภัยจากพายุไต้ฝุ่นที่พัดผ่าน และทำให้บรรดาต้นอ่อนที่เพาะไว้ปลิวกระจายจนหมดแปลง เธอก็เพียงแค่หัวเราะแล้วก็เริ่มปลูกใหม่ ภายหลังการลองผิดลองถูกมาสิบกว่าปี จึงค่อย ๆ ขยายพื้นที่ของสวนให้ใหญ่ขึ้น ในวันที่เราไปเยือน สวนของฟ่านซื่อชิวมีผลไม้เขตร้อนปลูกอยู่หลายชนิด ทั้งลูกน้ำนม เงาะ อินทผลัม ทุเรียน ขนุน และมะกอกฝรั่ง ทำให้มีความรู้สึกเหมือนกับเดินเข้าไปสู่ประเทศในอาเซียน จึงไม่น่าแปลกใจที่ฟานซื่อชิวบอกว่า ทุกครั้งที่เพื่อน ๆ ชาวเวียดนามมาเที่ยวเล่นที่นี่ ต่างก็รู้สึกดีใจมาก เพราะทุกแห่งหนคือผลไม้ที่ตัวเองคุ้นเคย เกิดความรู้สึกราวกับได้กลับบ้านเลยทีเดียว