เส้นทางรถไฟสายย่อยของไต้หวันที่วิ่งทอดไปตามชนบท ป่าเขา และท้องทะเล ทำให้ผู้คนที่เดินทางไปมาระหว่างเหนือใต้มีโอกาสได้ออกไปเดินเที่ยวมากขึ้น ภาพของท้องฟ้าและผืนน้ำที่เป็นสีเดียวกัน สถานีเงียบๆ เล็กๆ ที่ไร้ผู้คน ทำให้เส้นทางรถไฟสายย่อยของไต้หวันที่แยกตัวออกมาจากสายหลักกลายเป็นทั้งเส้นทางคมนาคมสำหรับใช้ในการเดินทางและเป็นเส้นทางสำหรับการพักผ่อนทางจิตวิญญาณที่ช่วยให้ผู้คนสามารถปลีกหนีและลืมความวุ่นวายของโลกภายนอก เพื่อให้ร่างกายได้หยุดพักและถือโอกาสค้นหาตัวเองไปในตัว
ในปี 2011 ที่ผ่านมา การรถไฟไต้หวัน (台鐵) ได้จับมือกับผู้ประกอบการชื่อดังในธุรกิจท่องเที่ยวอย่าง ezTravel ร่วมกันการผลักแคมเปญ ìขบวนรถไฟท่องเที่ยวแบบเรือสำราญî เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไต้หวัน ซึ่งสามารถสร้างความคึกคักให้กับสถานีรถไฟเล็กๆ หลายแห่งเป็นอย่างมาก ตั้งแต่สถานีหย่งเล่อ (永樂) ในซูอ้าว (蘇澳) ทางตอนเหนือ ไปจนถึงสถานีฟางเหย่ (枋野) ในผิงตง (屏東) ทางตอนใต้ ทำให้สถานีรถไฟที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักจนแทบจะถูกลืมไปแล้วเหล่านี้ได้มีโอกาสต้อนรับแขกผู้มาเยือนมากขึ้นไม่น้อย
คุณเซียวก้วนฉวิน (蕭冠群) ผู้บริหารของ ezTravel เห็นว่า ìนอกจากในด้านการคมนาคมแล้ว ควรจะเพิ่มในส่วนของวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับรถไฟเข้าไปให้มากขึ้นî โดยในตอนนั้น การรถไฟไต้หวันมีแนวคิดที่จะหันมาจับตลาดด้านการท่องเที่ยว จึงร่วมมือกับ ezTravel โดยทดลองเริ่มวิ่งในเส้นทางซู่หลิน-ซูอ้าว (樹林至蘇澳) และฮัวเหลียน-กวนซาน (花蓮至關山) ก่อน ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในปี 2011 จึงได้มีการเพิ่มขบวนรถเป็นอย่างน้อยเดือนละ 1 ขบวน โดยมีการขยายเส้นทางวิ่งและมีการปรับสถานีหยุดจอดให้แตกต่างจากแบบเดิมที่หยุดจอดเฉพาะสถานีใหญ่ ให้มีการหยุดจอดที่สถานีเล็กๆ หลายแห่ง เช่น สถานีฟงเถียน (豐田) ในฮัวเหลียน (花蓮) รวมถึงสถานีตัวเหลียง (多良) ในไถตง (台東) เป็นต้น
แม้แต่สถานีที่ไม่มีชานชาลาอย่างสถานีฟางเหย่ และสถานีซานหลี่ที่นักเขียนชื่อดังอย่างหลิวเค่อเซียง (劉克襄) เรียกว่าเป็น ìสถานีที่ไม่มีทางไปถึงî ยังถูกจัดให้เป็นปลายทางของโปรแกรมท่องเที่ยวตามเส้นทางรถไฟสายนี้ นอกจากนี้ สถานีฉีติ่ง (崎頂) ในเหมียวลี่ (苗栗) ก็เป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเช่นกัน แม้จะไม่มีชื่อเสียงเหมือนสถานีใหญ่ๆ และมีผู้มาเยือนเพียงวันละไม่ถึง 100 คน แต่เมื่อเดินออกไปเรื่อยๆ จะไปถึงอุโมงค์คู่ จื่อหมู่ซุ่ยเต้า (子母隧道) ที่มีบรรยากาศราวกับหลุดเข้าไปในการ์ตูนแอนิเมชันชื่อดังเรื่อง Spirited Away ของ Miyazaki Hayao ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวญี่ป่น ในฉากที่นางเอกหลุดจากโลกแห่งความเป็นจริงเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ
สำหรับสถานีเจียลู่ (加祿) ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นสถานีขนาดเล็กที่ใหญ่ที่สุด ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของขบวนรถไฟแบบเรือสำราญเช่นกัน คุณเซียวก้วนฉวินอธิบายว่า สถานีเจียลู่ที่อยู่ทางใต้บนเส้นทางย้อนกลับของทางรถไฟรอบเกาะนั้น ที่ผ่านมาเคยเป็นชุมทางสำคัญของขบวนรถไฟสายใต้ ซึ่งแม้ตัวสถานีจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก หากแต่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นสถานีใหญ่แห่งหนึ่งเลยทีเดียว
และเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสได้บรรยากาศที่ผ่อนคลายแบบสบายๆ ของสถานีเล็กๆ เหล่านี้ นอกจากจะมีการแวะจอดตามโปรแกรมท่องเที่ยวแล้ว เมื่อวิ่งผ่านสถานีที่ไม่มีชานชาลา เช่น สถานีฟางเหย่ หรือสถานีซานหลี่ ขบวนรถจะลดความเร็วลงและวิ่งผ่านอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วเพียงประมาณ 20 กม./ชม. เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสถึงบรรยากาศแบบสโลว์ไลฟ์ของสถานีเหล่านี้ได้มากขึ้นด้วย
เส้นทางที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
กับบรรยากาศที่แตกต่าง
การกลับสู่ความคึกคักของสถานีรถไฟเล็กๆ และกระแสความนิยมในการท่องเที่ยวตามเส้นทางรถไฟสายย่อย จากเดิมที่เป็นที่รู้จักเพียงรถไฟสายผิงซี (平溪) สายจี๋จี๋ (集集) และสายเน่ยวัน (內灣) เนื่องจากการเปิดตัวของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเลในปี 2014 ส่งผลให้เส้นทางรถไฟสายเซินอ้าว (深澳) ซึ่งหยุดให้บริการไปแล้วหลายปี มีโอกาสกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ส่วนที่ว่าเส้นทางสายใดเป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวที่สุดนั้น คุณซูเจาซวี่ (蘇昭旭) กูรูด้านรถไฟของไต้หวันหัวเราะแล้วบอกกับเราว่า เส้นทางรถไฟสายย่อยทุกเส้น ต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและต่างมีบรรยากาศที่น่าหลงใหลทั้งนั้น
คุณซูเจาซวี่กล่าวว่า ìเส้นทางรถไฟสายหลักที่วิ่งรอบเกาะไต้หวันก็เหมือนเป็นอาหารจานหลัก ส่วนเส้นทางสายย่อยก็เป็นเหมือนออเดิร์ฟ และอาหารจานเสริมอื่นๆ ซึ่งเมื่อชิมดูแล้วต่างก็มีรสชาติที่ไม่เหมือนกันî
นอกจากนี้ คุณซูยังเสริมอีกว่า ìการโดยสารรถไฟไปตามเส้นทางเซินอ้าว ก็เพื่อชมทิวทัศน์ชายทะเลî โดยเส้นทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีรุ่ยฟาง (瑞芳) ไปถึงปลายทางที่สถานีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งใหม่ ตลอดทางจะทอดยาวไปตามชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน เส้นทางวิ่งที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาอีกด้านหนึ่งเป็นทะเล ทำให้เส้นทางสายนี้เป็นทิวทัศน์ที่มีความโรแมนติกไม่แพ้ทางรถไฟเลียบชายฝั่งสายโชนัน-เอโนชิม่าของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
คุณซูเจาซวี่ชี้ว่า เส้นทางรถไฟสายเซินอ้าวซึ่งวิ่งผ่านบริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นเส้นทางรถไฟสายย่อยที่อยู่เหนือสุดของไต้หวันและเป็นเส้นทางที่มีความชันมากที่สุด โดยประวัติศาสตร์ของทางรถไฟสายนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึงปีค.ศ.1936 ซึ่งบริษัทเหมืองแร่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการขนส่งสินแร่ต่างๆ และมีการสร้างเส้นทางรถรางเบาในแถบจินกวาสือ (金瓜石) เพื่อใช้ในการขนถ่ายหินและทรายไปยังท่าเรือ ก่อนที่ในปีถัดมาจะมีการขยายเส้นทางไปยังเซินอ้าว ปาโต่วจื่อ (八斗子) จนถึงปาฉื่อเหมิน (八尺門) ซึ่งประชาชนทั่วไปก็ได้รับอานิสงส์จากเส้นทางสำหรับขนส่งสินค้าสายนี้ที่ได้กลายมาเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของผู้คนทั่วไปที่จะเดินทางระหว่างจีหลงกับรุ่ยฟางไปโดยปริยาย
แต่หลังจากนั้น เส้นทางรถไฟสายเซินอ้าวต้องปิดตัวลง หลังจากที่โรงไฟฟ้าเซินอ้าวปิดตัวลงและมีการตัดทางหลวงหมายเลข 2 ที่วิ่งเลียบชายฝั่งเหมือนกัน ก่อนจะมีการเปิดตัวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปาโต่วจื่อของเมืองจีหลง เส้นทางรถไฟสายนี้จึงได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสัมผัสถึงความงดงามของทิวทัศน์เลียบชายฝั่งที่ทอดตัวยาวไปตลอดข้างทาง
ส่วนเส้นทางรถไฟสายซานอี้-โห้วหลี่ (三義-后里) ที่เคยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยให้บริการในแบบรถไฟสำราญนี้ก่อนจะปิดตัวไปชั่วคราวอีกนั้น ก็เป็นเส้นทางภูเขาสายเก่าที่มีทิวทัศน์ซึ่งแตกต่างจากเส้นทางสายเซินอ้าว กับภาพอันงดงามของเมืองในภูเขาและทัศนียภาพตลอดสองข้างทางที่งดงามราวกับเป็นสวรรค์บนดินเลยทีเดียว
เส้นทางนี้จะวิ่งผ่านสะพานขาดหลงเถิง (龍騰斷橋)
สะพานอวี๋เถิงผิงเฉียว (魚藤坪橋) ซึ่งต่างก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ทำให้เส้นทางรถไฟสายภูเขาเส้นเก่าสายนี้มีศักยภาพในการขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยเส้นทางสายนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1908 และถือว่ามีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง โดยคุณซูเจาซวี่อธิบายว่า เส้นทางสายสั้นๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างซานอี้ที่อยู่เหนือสุดกับฟงหยวนที่อยู่ใต้สุด ถือเป็นเส้นทางที่นับว่าเป็นไมล์สุดท้ายที่เชื่อมต่อเส้นทางรถไฟสายตะวันตกระหว่างเหนือจรดใต้เข้าด้วยกันทั้งหมด โดยในขณะนั้น ทางรถไฟจากเหมียวลี่ไปทางเหนือและจากไทจงไปทางใต้ต่างก็เปิดให้บริการแล้ว การเชื่อมต่อของเส้นทางสายนี้ทำให้เส้นทางรถไฟของไต้หวันเชื่อมต่อกันเป็นเส้นเดียวตั้งแต่เหนือจรดใต้จนทำให้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญมากๆ ของไต้หวันเลยทีเดียว ความสำคัญของเส้นทางสายนี้ทำให้เกิดเป็นคำพูดที่กล่าวกันอย่างติดปากในสมัยนั้นว่า ìเส้นทางภูเขาสายเก่าที่เปิดใช้ ทำให้เส้นทางเชื่อมต่อทั่วไต้หวันî
เส้นทางย่อยที่มีศักยภาพ
รอการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
เส้นทางรถไฟสายย่อยที่ได้รับความนิยมทั้งสายจี๋จี๋ สายเน่ยวันและสายผิงซี ต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ในสายตาของคุณซูเจาซวี่แล้ว ยังมีเส้นทางย่อยอีกหลายเส้นทางที่ถูกหลงลืมอย่างน่าเสียดายและรอวันที่จะกลับมาถูกใช้งานอีกครั้ง
โดยเส้นทางที่คุณซูเห็นว่ามีศักยภาพที่สุด ก็คือเส้นทางสายเซินอ้าว ที่จะเชื่อมต่อระหว่างปาโต่วจื่อกับเหลียนต้ง (濂洞) โดยปัจจุบันเส้นทางสายเซินอ้าวมีสถานีปลายทางถึงแค่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล ซึ่งหากสามารถขยายเส้นทางวิ่งให้ยาวขึ้น โดยให้ทอดไปตามชายฝั่งทะเลไปจนถึงเหลียนต้งก็จะดียิ่งขึ้น และหากสามารถสร้างระบบรถกระเช้าขึ้นรองรับในแถบจินกวาสือและจิ่วเฟิ่นก็จะยิ่งสามารถทำให้ผู้คนได้มีโอกาสสัมผัสกับความงดงามของท้องทะเลและท้องฟ้าที่เป็นสีเดียวกันในแถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวันได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น
ส่วนเส้นทางที่น่าสนใจรองลงมา ได้แก่ เส้นทางสายท่าเรือฮัวเหลียน (花蓮港) ที่คุณซูเรียกว่าเป็นทางรถไฟที่อยู่ใกล้มหาสมุทรแปซิฟิกมากที่สุด
คุณซูเจาซวี่เห็นว่า เดิมทีเส้นทางรถไฟสายท่าเรือฮัวเหลียนถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ ตามแผน 10 โครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแผนพัฒนาประเทศของไต้หวันในช่วงนั้น และเป็นเส้นทางที่อยู่ใกล้กับมหาสมุทรแปซิฟิกมากที่สุดใน 3 เส้นทางรถไฟที่ติดกับท่าเรือที่มีอยู่ในปัจจุบัน ภาพความงดงามของท้องฟ้าและมหาสมุทรสีฟ้าที่เห็นอยู่ตรงหน้าถือเป็นภาพที่สามารถสร้างความประทับใจได้อย่างไม่รู้ลืม โดยขณะนี้ เส้นทางสายนี้ถูกใช้งานเฉพาะการขนส่งสินค้า หากสามารถนำมาดัดแปลงใช้ในการขนส่งผู้โดยสารด้วย ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดโอกาสทางธุรกิจในตลาดท่องเที่ยวมากขึ้นไม่น้อย
นอกจากนี้ เส้นทางอีกสายหนึ่งที่คุณซูเห็นว่ามีศักยภาพในการเปิดใช้งานคือเส้นทางสายท่าเรือตงกั่งในเขตเมืองผิงตง ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเจิ้นอัน (鎮安) และตงกั่ง (東港) มีความยาวเพียง 6.2 กม. เดิมทีเส้นทางสายตงกั่งถือเป็นเส้นทางสายหลักของทางรถไฟในไต้หวัน หากแต่ในปี 1940 การรถไฟไต้หวันได้มีการปรับเปลี่ยนเส้นทางวิ่ง หันมาใช้เส้นทางสายเฉาโจว (潮州) ที่เชื่อมต่อระหว่างเจิ้นอันกับฟางเหลียว (枋寮) แทน ทำให้เส้นทางสายตงกั่งกลายเป็นเส้นทางสายย่อยไป โดยก่อนจะหยุดใช้งานในปีค.ศ.1991 เส้นทางสายนี้ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับเส้นทางรับส่งของรถบัสได้ ทำให้จำนวนผู้โดยสารลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ต้องหยุดให้บริการในที่สุด
อย่างไรก็ดี จากการที่เส้นทางสายนี้อยู่ทางตอนใต้ของเกาะไต้หวัน และมีภาพทิวทัศน์สองข้างทางที่สวยงามของบ่อเลี้ยงปลาที่มีกระจายอยู่ทั่ว หากเปิดใช้งานใหม่และสามารถนำมาเชื่อมต่อกับอ่าวต้าเผิงวัน (大鵬灣) ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งกีฬาและสันทนาการทางน้ำที่สำคัญ รวมไปจนถึงผนวกรวมเข้ากับตงกั่งที่มีปลาบลูฟินทูน่าเป็นสินค้าเด่นประจำท้องถิ่น และเทศกาลแห่เจ้าเผาเรือ ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญของประชาชนในพื้นที่ ก็จะกลายเป็นเส้นทางรถไฟสายย่อยที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใครอีกเส้นหนึ่ง
เมื่อพูดถึงทางรถไฟ คุณซูเจาซวี่ก็เหมือนกำลังพูดถึงสิ่งล้ำค่าประจำตระกูล สำหรับคุณซูแล้ว การได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ ไม่เพียงแต่จะเป็นการเดินทางเพื่อความผ่อนคลายทางจิตใจ หากแต่ยังเป็นความรู้สึกที่เป็นอิสระเหมือนถูกปลดปล่อย เพราะสามารถชื่นชมความงามของสองข้างทางได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องพะวงกับปัญหาเรื่องเส้นทางและปัญหารถติด ซึ่งคนที่ขับรถไปเองไม่สามารถสัมผัสได้ ลองหาเวลาโดยสารรถไฟท่องเที่ยวดูบ้าง จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแบบวันวานที่ย้อนกลับมาให้เราได้สัมผัส เพราะ ìการโดยสารรถไฟก็เหมือนการเดินทางของความทรงจำแห่งชีวิต ซึ่งให้ความรู้สึกที่ล้ำลึกไม่เหมือนที่เคยเป็นî คุณซูกล่าว
ìสถานีรถไฟก็คือประตูสู่บ้านเกิด คือป้อมปราการแห่งความคิดถึงบ้าน ชานชาลาเป็นเสมือนเวทีแห่งการพบกันและจากลา ทางรถไฟคือสิ่งที่ร้อยเรียงความทรงจำและความคิดถึงเข้าไว้ด้วยกัน เส้นทางสายย่อยแต่ละเส้นทาง ต่างก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันî นี่คือนิยามของเส้นทางรถไฟสายย่อยของไต้หวันที่น่าหลงใหล คุณซูเจาซวี่ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้กับเรา