การฟื้นคืนวัฒนธรรมข้าว
ความพิถีพิถันเริ่มจากข้าวหนึ่งเมล็ด
เนื้อเรื่อง‧ซูลี่อิ๋ง ภาพ‧หลินหมินเซวียน แปล‧รุ่งรัตน์ แซ่หยาง
กันยายน 2025
ปริมาณการบริโภคข้าวของคนไต้หวันลดลงจนแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจุบันการบริโภคข้าวของคนไต้หวันลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากที่เคยบริโภคข้าวเฉลี่ยปีละ 80–90 กิโลกรัมต่อคนในช่วงทศวรรษ 1960–1970 และมีแนวโน้มว่าการบริโภคข้าวที่เคยมีปริมาณมากมาก่อน อาจมาถึงจุดที่การบริโภคข้าวสาลีแซงหน้าก็เป็นไปได้
แม้แนวโน้มโดยรวมจะชี้ให้เห็นว่า ปริมาณการบริโภคข้าวกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองให้ลึกลงไปจะพบว่า ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อย ทั้งชาวนา ผู้เชี่ยวชาญด้านข้าว และผู้ประกอบการร้านอาหารได้ร่วมมือกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ภายใต้แนวคิดจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร โดยพวกเขากำลังร่วมกันเขียนเรื่องราวบทใหม่อันน่าประทับใจของการเปลี่ยนผ่านจากการกินให้อิ่ม ไปสู่การกินอย่างรู้คุณค่าให้กับไต้หวัน
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ข้าวพันธุ์พื้นถิ่น ผลิดอกทั่วแผ่นดิน
หากย้อนเวลากลับไปในปี ค.ศ. 2002 ซึ่งเป็นปีที่ไต้หวันเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเป็นทางการ พร้อมกับการประกาศให้มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ ท่ามกลางการประท้วงอย่างรุนแรงจากกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ข้าวที่ปลูกในประเทศต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายใน อันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของคนในประเทศ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคข้าวลดลงอย่างต่อเนื่อง และจากปัจจัยภายนอก ที่มาจากข้าวนำเข้าจากต่างประเทศที่เข้ามารุกตลาดไต้หวันอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตก็ยังมีโอกาส เกษตรกรหัวใจแกร่งหลายคนได้หันมามุ่งมั่นพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพข้าวในประเทศ
หลังผ่านการปรับตัวมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ และด้วยแรงหนุนจากกระแสโซเชียลมีเดียในยุคดิจิทัล ทำให้การสร้างแบรนด์และการทำตลาดเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ช่องทางการซื้อขายก็มีความหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนอกจากโรงสีข้าวขนาดใหญ่ ที่สามารถป้อนสินค้าให้กับห้างค้าปลีกหรือซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว บรรดาแบรนด์ข้าวขนาดเล็กที่เน้นจุดขายอย่าง การซื้อตรงจากชาวนา หรือการเปิดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ก็มีเทคนิคและลูกเล่นมากมาย ไม่ว่าผู้บริโภคจะให้ความสำคัญที่เรื่องของราคา หรือผู้ที่ต้องการสนับสนุนการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการทำเกษตรอินทรีย์ ล้วนเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้ทั้งสิ้น ข้าวไต้หวันจึงก้าวเข้าสู่ยุคของสงครามข้าว ที่ผู้ประกอบการแต่ละรายต่างขับเคี่ยวแข่งขันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสมือนดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์เบ่งบานแข่งความงาม
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ชาวไต้หวันและญี่ปุ่นมีรสนิยมข้าวที่คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่าง
ชาวไต้หวันมีความหลงใหลในข้าวญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง แต่หากพิจารณาให้ถี่ถ้วน จะพบว่ารสชาติที่คล้ายคลึงกัน กลับมีความแตกต่างซ่อนอยู่ภายใน หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การเกษตร ข้าวดั้งเดิมที่ปลูกในไต้หวันคือข้าวเจ้าที่มีลักษณะเมล็ดยาวเรียว หรือที่เรียกว่า ข้าวอินดิกา (在來米) จนกระทั่งในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ชาวญี่ปุ่นได้นำเข้าข้าวพันธุ์เมล็ดสั้นป้อม หรือ ข้าวจาปอนิกา (蓬萊米) เข้ามาเพาะปลูก และได้เปลี่ยนแปลงวิถีการบริโภคข้าวของคนไต้หวันอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ ความนิยมในข้าวที่มีลักษณะอวบแน่น หนึบหนับ หอมหวาน จึงกลายเป็นรสชาติที่เป็นที่นิยมร่วมกัน ทั้งในไต้หวันและญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
หากพูดให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น คนญี่ปุ่นยึดถือความพิถีพิถันในการบริโภคข้าวอย่างมาก และให้ความสำคัญกับรสชาติที่แท้จริง เมล็ดข้าวสารต้องมีสีขาวใส ไม่มีรอยแตกหัก เมื่อนำไปหุงสุก ข้าวที่ได้ต้องสะอาดและไม่มีกลิ่นแปลกปลอม เพื่อให้เหมาะสมกับการรับประทานคู่กับเมนูอาหารญี่ปุ่น ที่ผ่านการรังสรรค์มาอย่างพิถีพิถันและงดงาม ในขณะที่คนไต้หวันคุ้นเคยกับการรับประทานข้าวคู่กับกับข้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารไต้หวันส่วนใหญ่มักปรุงโดยใช้วิธีผัดไฟแรงหรือปรุงรส จัดจ้าน ดังนั้นข้าวที่หุงขึ้นหม้อและมีกลิ่นหอมเท่านั้น จึงจะสามารถสู้รสกับเมนูกับข้าวต่าง ๆ ได้ และรับประทานร่วมกันได้อย่างพอดี
ด้วยบริบทดังกล่าว ข้าวไต้หวันจึงให้ความสำคัญกับกลิ่นหอมของข้าวเป็นพิเศษ ปัจจุบันข้าวที่วางจำหน่ายในท้องตลาด สามารถแบ่งคร่าว ๆ ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้าวพันธุ์ทั่วไปที่มีกลิ่นหอมแบบใบเตยหรือดอกมะลิ และอีกกลุ่มคือพันธุ์ข้าวหอม ที่ขึ้นชื่อเรื่องของกลิ่นหอมคล้ายเผือก ซึ่งข้าวทั้งสองกลุ่มต่างก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดข้าวในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเน้นข้าวขัดสีหรือข้าวขาวเป็นหลัก ขณะที่ในไต้หวัน ด้วยกระแสรักสุขภาพที่กำลังมาแรง ทำให้ไม่เพียงแต่ข้าวกล้องที่ได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ยังรวมถึงข้าวสีต่าง ๆ อย่างข้าวดำ ข้าวม่วง และข้าวแดง ก็เป็นที่พบเห็นได้บ่อยในท้องตลาด สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของผลิตผลทางการเกษตรในไต้หวันอย่างชัดเจน
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
คุณอู๋เลี่ยงควัน เกษตรกรผู้ชอบควบคุมการผลิตข้าวด้วยตัวเองทุกขั้นตอน เป็นคนถ่อมตน แต่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตข้าวอย่างมาก
บทบาทของผู้เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภคข้าว
เมื่อเรามีความชัดเจนในรสนิยมและมาตรฐานของตัวเราแล้ว คำถามข้อต่อไปที่ตามมา ก็คือจะกินอะไร? และจะกินอย่างไร? เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวของไต้หวันถือว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือสถานีวิจัยทางการเกษตร ต่างมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันประมาณกันว่า มีข้าวพันธุ์ต่าง ๆ กระจายอยู่ในตลาดมากกว่า 200 สายพันธุ์ แล้วผู้บริโภคจะเลือกข้าวที่ถูกใจ และตรงกับรสนิยมของตัวเองอย่างไร เมื่อมีทางเลือกมากมายเช่นนี้
แม้รัฐบาลจะยังไม่มีการจัดตั้งระบบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพเฉพาะทางสำหรับข้าว แบบเดียวกับระบบผู้ชิมชาก็ตาม แต่ในภาคเอกชนยังมีกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับการโปรโมทข้าวไต้หวันเป็นอาชีพ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมุ่งมั่นในการส่งเสริมข้าวไต้หวันอย่างจริงจังแบบเงียบ ๆ พวกเขาชิมและประเมินข้าวหลากหลายสายพันธุ์อย่างกว้างขวาง และยังนำผู้บริโภคไปเยี่ยมชมแหล่งเพาะปลูกข้าวในสถานที่จริง พบปะพูดคุยกับชาวนา เรียนรู้ถึงสภาพภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ และเทคนิคการเพาะปลูกอย่างลึกซึ้ง ท้ายที่สุด พวกเขาจะใช้สายตาอันแม่นยำของผู้เชี่ยวชาญ ในการคัดสรรสายพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้บริโภค เสมือนเป็นตัวกลางหรือแม่สื่อของข้าว ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างชาวนาและผู้บริโภคโดยตรง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
สินค้าข้าวในไต้หวันมีแบรนด์ สายพันธุ์ แหล่งเพาะปลูกแตกต่างหลากหลาย วางจำหน่ายทั้งแบบแบ่งถุงและบรรจุสุญญากาศ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคครบถ้วน
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
จากการแนะนำของคุณสือเจี๋ยฟาง เชฟขนมหวานได้ใช้วัตถุดิบจากข้าวไถจิง 9 กับวานิลลาและนมสด ทำขนมสไตล์ฝรั่งเศสที่มีรูปร่างคล้ายกับบ๊ะจ่าง และกลายเป็นกระแสในวงการขนมหวาน (ภาพ Fusing Rice)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ข้าวไต้หวันที่ผ่านการปรุงอย่างถูกวิธี จะมีรสชาติดีไม่เป็นรองข้าวญี่ปุ่น
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
คุณหลินเม่าเซิง ทำการตลาดข้าวพันธุ์ต่าง ๆ โดยเน้นที่คุณลักษณะและการใช้งานเฉพาะของข้าวแต่ละพันธุ์ ทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้สะดวกมากขึ้น
การวางโครงร่างให้กับภาพของข้าวไต้หวัน
ยังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน บริษัทข้าวรายใหญ่แห่งหนึ่งได้นำข้าวเวียดนามมาผสมกับข้าวไต้หวัน และนำออกจำหน่ายในราคาถูก เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผย ได้ก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างรุนแรง ทว่ากลับมีบางคนเลือกที่จะทำตรงกันข้าม โดยเน้นการระบุแหล่งผลิตที่ชัดเจน สร้างความร่วมมือกับเกษตรกร ตลอดจนการชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ว่าเป็นข้าวพันธุ์เดี่ยว
เรามาถึงตำบลซีหูในเมืองเหมียวลี่ ซึ่งในช่วงเวลานี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศสดชื่นเย็นสบาย ข้าวที่เพิ่งหว่านไปเมื่อเดือนที่แล้ว กำลังงอกงามอย่างแข็งแรงอยู่กลางทุ่งนา สิ่งที่ผมตั้งใจทำเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เพียงแค่อยากให้ทุกคนรู้ว่าข้าวที่พวกเขากินนั้นเป็นพันธุ์อะไร คุณหลินเม่าเซิง (林茂生) ผู้ก่อตั้ง Mao Rice กล่าวด้วยความมุ่งมั่น ขณะยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งนาสีเขียวขจี ที่ทอดตัวไปไกลสุดสายตา
เหตุผลที่ชายหนุ่มที่มีบุคลิกดูดีอย่างหลินเม่าเซิงได้เลือกข้าว เป็นพื้นฐานในการเริ่มธุรกิจใหม่ของเขานั้น สามารถสืบย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขากำลังจะเปลี่ยนเส้นทางอาชีพของเขา เพื่อนฝูงและครอบครัวได้แนะนำให้เขารู้จักกับครอบครัวของอู๋เลี่ยงควัน (吳亮寬) ซึ่งเป็นครอบครัวชาวนา อู๋เลี่ยงควันลาออกจากงานประจำในสำนักงานเทศบาล และกลับมาทำไร่ทำนาอย่างเต็มตัว เขาเป็นคนที่พิถีพิถันและเอาใจใส่ในรายละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเพาะกล้า ปลูกข้าวเกี่ยวข้าว การอบแห้ง การสีข้าว ไปจนถึงการบรรจุสินค้าเองทั้งหมดโดยไม่พึ่งพาคนอื่น แม้จะมีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 50 ไร่ แต่เขาก็ยังลงทุนด้วยเงินจำนวนมากเพื่อสร้างโรงงานแปรรูปขึ้นบนที่ดินของเขาเอง แม้อู๋เลี่ยงควันจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อผลิตข้าวคุณภาพดี แต่ด้วยนิสัยที่เป็นคนถ่อมตน เขาจึงจำกัดการจำหน่ายข้าวไว้เฉพาะการขายผ่านที่ทำการไปรษณีย์ท้องถิ่น หรือขายให้กับคนรู้จักใกล้ชิดเท่านั้น หลังจากค้นพบข้าวคุณภาพสูงที่ไม่ปรากฏโฉมต่อโลกภายนอกเช่นนี้ คุณหลินเม่าเซิงตัดสินใจใช้ชื่อเสียงของเขาเป็นเดิมพันในการสร้างแบรนด์ขึ้นมา เพื่อผลักดันให้สินค้าคุณภาพดีเหล่านี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ผลิตภัณฑ์ของ Mao Rice นั้นเรียบง่าย มีสินค้าเพียงสามประเภท โดยแต่ละประเภทจะใช้ข้าวพันธุ์เดียวกันในการผลิตเท่านั้น เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้บริโภคทั่วไปยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับข้าวพันธุ์ต่าง ๆ มากนัก เขาจึงเน้นที่คุณสมบัติของข้าวแต่ละสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการบริโภคที่ต่างกัน ข้าวพันธุ์ไถหนง 77 มีลักษณะเมล็ดสั้นอวบอิ่ม หนึบนุ่ม เนื้อข้าวสารใสมันวาว เหมาะสำหรับอาหารประเภทเดียวกับที่ใช้ข้าวญี่ปุ่นพันธุ์โคชิฮิคาริ ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ชั้นเลิศระดับพรีเมียม สำหรับข้าวพันธุ์ไถหนง 71 มีความชุ่มชื้นสูง และมีคุณสมบัติที่ดีต่อการเกิดเจลาติไนเซชั่น เหมาะสำหรับการทานข้าวนุ่มไม่ใช่ข้าวแข็ง จึงทำเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวสำหรับต้มโจ๊ก และข้าวพันธุ์ไถหนงเซียน 22 เป็นพันธุ์ที่มีปริมาณอะไมโลสสูง เมื่อหุงสุกข้าวจะมีลักษณะร่วน ข้าวไม่เละไม่ติดกัน เคี้ยวมัน เหมาะสำหรับทำข้าวผัดหรือข้าวผสมผัก จึงเรียกว่าข้าวสำหรับทำข้าวผัด
เมื่อมองในแง่ของกระบวนการพัฒนาวัฒนธรรมการกิน สิ่งที่คุณหลินเม่าเซิงกำลังทำอยู่ ไม่ใช่เพียงแค่การค้าขายทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับบทบาทสำคัญ ในเรื่องของการให้ความรู้เรื่องอาหารและการเกษตรด้วย กล่าวได้ว่า การสร้างความเข้าใจในเรื่องของข้าวพันธุ์เดี่ยว ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น นับเป็นก้าวแรกของการเดินบนเส้นทางการปรุงแต่งอาหารอย่างพิถีพิถัน เมื่อเข้าใจในการแยกรสชาติได้แล้ว จึงจะสามารถรับรู้รสชาติที่แท้จริง และนำไปสู่การสร้างรสนิยม อันมีคุณค่าได้ในภายหลัง
เขากล่าวว่า เมื่อผู้บริโภครู้จักข้อดีข้อเสียของข้าวแต่ละชนิด ก็จะค่อย ๆ สร้างชุดความคิดในการเลือกซื้ออย่างมีอิสระ รู้ว่าชอบกินอะไรและซื้อกับใคร รู้จักการตัดสินใจเลือกอย่างชาญฉลาด ซึ่งก็คือวัฏจักรเชิงบวกที่แท้จริง เมื่อคนเรามีอำนาจควบคุมอาหารของตัวเองได้ อุตสาหกรรมก็จะเจริญรุ่งเรือง นั่นแหละคือรากฐานที่แท้จริงของทุกสิ่ง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
คุณหลินเม่าเซิง (ขวา) และ คุณอู๋เลี่ยงควัน (ซ้าย) ร่วมมือกันผลิตสินค้าคุณภาพระดับพรีเมียมสำหรับผู้บริโภคที่พิถีพิถันในเรื่องข้าว (ภาพ หลินหมินเซวียน)
ความมั่นใจของผู้เชี่ยวชาญการเลือกข้าว
คุณสือเจี๋ยฟาง (石傑方) ผู้ดำเนินกิจการร้านข้าวสารฟู่ซิง หรือ Fusing Rice ในตลาดเฉียวจง ย่านปั่นเฉียวของนครนิวไทเป เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีฐานะเป็นกระบอกเสียงในเรื่องของข้าว
การทำธุรกิจของ Fusing Rice มีแนวทางที่แตกต่างไปจาก Mao Rice อย่างสิ้นเชิง นอกจากการแบ่งขายข้าวสารใส่ถุงแบบชั่งกิโลแล้ว ร้าน Fusing Rice ยังจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงสุญญากาศ ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับตลาดเฉพาะที่มีราคาสูงอีกด้วย เมื่อไล่ดูชนิดของข้าวที่จำหน่ายอยู่ในร้าน ก็พบว่ามีมากถึง 20 ชนิดด้วยกัน
คุณสือเจี๋ยฟาง มีประสบการณ์ทำงานในร้านจัดซื้อสินค้าชื่อดังมานานถึง 16 ปี และมีมุมมองเกี่ยวกับมาตรฐานในการเลือกสินค้า เป็นแบบฉบับของเขาเอง คนส่วนใหญ่มักคิดว่า บางสิ่งบางอย่างนั้นดีเพียงเพราะคนอื่นบอกว่าดี หรือรู้สึกว่ามันไม่ดีนัก เพราะคนอื่นบอกว่ามันแย่ แต่ประสบการณ์และมาตรฐานของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน การตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ขึ้นกับดุลพินิจส่วนบุคคล ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยขายของโดยใช้วิธีกดดันหรือบังคับลูกค้า แทนที่จะทำเช่นนั้น เขากลับใช้ความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการสั่งสมมาในอดีต เพื่อคัดสรรข้าวคุณภาพดีจากแหล่งต่าง ๆ และระหว่างที่ขายให้ลูกค้า เขาจะทำความเข้าใจความชอบและความต้องการของลูกค้าอย่างถ่องแท้เสียก่อน จากนั้นจึงให้คำแนะนำได้อย่างตรงประเด็น
ลูกค้าหลักในตลาดแห่งนี้ คือบรรดาแม่บ้านที่มีหน้าที่จัดเตรียมอาหารให้กับครอบครัวทุกวัน ซึ่งมักจะคำนึงเรื่องของราคาเป็นหลัก ทำให้ข้าวสารแบ่งขายแบบใส่ถุงชั่งกิโลเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ส่วนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบลองของใหม่ แต่ทำอาหารไม่บ่อยนัก มักจะกังวลว่าถ้าซื้อในปริมาณมากจะกินไม่หมด จึงไม่ติดใจราคาที่อาจจะสูงกว่าเล็กน้อย และมักเลือกข้าวมียี่ห้อที่บรรจุในถุงขนาดเล็กหรือแบบสุญญากาศ ซึ่งเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเขา อีกทั้งบริเวณรอบตลาดยังมีโรงงานตั้งอยู่หลายแห่ง และมีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานจำนวนไม่น้อย ผู้บริโภคกลุ่มนี้ไม่ได้เน้นเรื่องคุณภาพข้าวมากนัก แต่ต้องการข้าวที่มีรสชาติใกล้เคียงกับบ้านเกิด เพื่อคลายความคิดถึงบ้าน ทางร้านจึงนำเข้าข้าวหอมจากประเทศไทยมารองรับลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย
ร้าน Fusing Rice ยังร่วมมือกับร้านอาหารหลายสิบแห่ง เนื่องจากร้านอาหารแต่ละแห่งมีความต้องการไม่เหมือนกัน คุณสือเจี๋ยฟางจึงไม่เพียงจัดหาข้าวให้เท่านั้น แต่ยังรับบทเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแนะนำพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมให้อีกด้วย เช่น ในร้านอาหารสไตล์ฮ่องกงที่ใช้ข้าว See Mew ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวหอมดั้งเดิมของจีน สำหรับทำโจ๊กหรือข้าวอบหม้อดิน เขาจึงแนะนำให้ใช้ข้าวหอมจากไทยที่มีรสสัมผัสใกล้เคียงกัน แต่สามารถหาได้ง่ายกว่ามาทดแทน หรือเมนูข้าวหน้าหมูสับพะโล้ที่ขึ้นชื่อ และเป็นอาหารคลาสสิคที่นิยมเสิร์ฟในร้านอาหารสไตล์ไต้หวัน เมนูนี้มีจุดต้องระวังคือข้าวจะต้องไม่เละเกินไป หลังจากราดน้ำพะโล้ลงบนข้าวแล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านต้นทุนของร้านค้า เขาจึงทดลองผสมข้าวไต้หวันที่มีความนุ่มเหนียว เข้ากับข้าวหอมไทยที่แห้งกว่า และได้รสชาติที่ดีที่สุดจากข้าวทั้งสองชนิด
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
คุณสือเจี๋ยฟางร่วมมือกับธุรกิจต่างสาขา จัดสัมมนาเรื่องข้าว เพื่อส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารและการเกษตร
ความพิถีพิถันในการบริโภคข้าว
ภายใต้ผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรวม ปริมาณการบริโภคข้าวของคนไต้หวันลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกปี แม้หน่วยงานด้านการเกษตร จะออกมาเชิญชวนให้คนกินข้าวไต้หวันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคำ แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกลงไปจะพบว่า การปลูกฝังและความพิถีพิถันในวัฒนธรรมการทำอาหารจากข้าวนั้น ยังคงเติบโตและไม่เคยหยุดนิ่ง และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความโดดเด่นที่น่าจับตามอง
นอกจากการนำเสนอแบรนด์ข้าวใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องแล้ว สินค้าที่ใช้ข้าวเป็นวัตถุดิบ เช่น ชิโอะโคจิ (เครื่องปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่ทำจากข้าวหมักโคจิและเกลือ) อามาซาเกะ (สาเกหวาน) และแครกเกอร์ข้าว ก็เคยสร้างกระแสนิยมในช่วงเวลาต่าง ๆ ก่อนจะกลายเป็นที่รู้จักในครัวเรือนทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารหลายแห่ง รวมถึงการจัดงานเลี้ยงที่มีขนาดของการจัดงานและรูปแบบแตกต่างกันที่ใช้ข้าวเป็นธีมหลัก ซึ่งล้วนแต่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เมนูที่หลากหลายจากข้าว และใช้การจับคู่เมนูอาหารที่ครบครัน เพื่อนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ของข้าวให้กับผู้บริโภค
นับว่าเป็นความโชคดี ที่ยังมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยกันส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยแนะนำและอธิบายขั้นตอนการหุงข้าวให้อร่อย อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยให้กับผู้คน ทำให้จำนวนคนที่หันมาพิถีพิถันกับการหุงข้าวรับประทานในบ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกัน ร้านอาหารหลายแห่งเริ่มมีแนวคิดของการกินอาหารท้องถิ่น และหันมาใช้ข้าวที่ปลูกในประเทศมากขึ้น รวมทั้งการค้นพบศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของข้าวไต้หวัน ผ่านความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงอาหาร จากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารทั้งหลาย
กว่าจะได้มาซึ่งข้าวต้มสักถ้วยหรือข้าวสวยสักจานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเบื้องหลังนั้นต้องพึ่งพาความขยันขันแข็งของชาวนาและการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละขั้นตอนอย่างเข้มงวด เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งควรหันมาร่วมมือกันใส่ใจ และให้ความสำคัญกับข้าวทุกเมล็ด และข้าวทุกจานที่อยู่บนโต๊ะอาหารของเราอย่างจริงจัง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
การยกระดับรสนิยมของผู้คนและการสั่งสมวัฒนธรรม สามารถเริ่มได้จากข้าวบนโต๊ะอาหารของเรา (ภาพ Fusing Rice)
