ความอร่อยจากผัก ฉบับไต้หวัน
สวรรค์แห่งความสุขของผู้รักมังสวิรัติ
เนื้อเรื่อง‧ ซูลี่อิ่ง ภาพ‧ หลินหมินเซวียน แปล‧ รุ่งรัตน์ แซ่หยาง
พฤศจิกายน 2025
การบริโภคอาหารมังสวิรัติ (Vegan) กำลังกลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แม้แต่ไต้หวันเองก็นิยมรับประทานอาหารเทรนด์นี้ไม่น้อย ปัจจุบันมีชาวไต้หวันกว่า 14% รับประทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด และมีกลุ่มผู้รับประทานมังสวิรัติแบบยืดหยุ่นมากกว่า 40% และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและค้ำจุน ทั้งวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติของไต้หวัน ให้เฟื่องฟูและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากถามถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการกินมังสวิรัติของแต่ละคน เหตุผลที่ได้รับคงแตกต่างกันไป คุณเกาซิ่วจง (高秀忠) นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติสากล (International Vegan Industry Promotion Association : IVIPA) ถือเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของชาวไต้หวันที่รับประทานมังสวิรัติในยุคแรก ๆ
เนื่องจากครอบครัวทำธุรกิจร้านอาหาร สถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว จึงเผชิญทั้งช่วงที่รุ่งเรืองและช่วงที่ตกต่ำอยู่เป็นระยะ กระทั่งได้รับคำชี้แนะจากเตี่ยนฉวนซือ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม) แห่งลัทธิอีก้วนเต้า (一貫道) หรือลัทธิอนุตตรธรรม จึงหันมาทำอาหารมังสวิรัติ ทำให้ธุรกิจของครอบครัวสามารถพลิกฟื้นจากวิกฤติกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ประสบการณ์ครั้งสำคัญนี้ทำให้ชายผู้เคยหลงใหลในรสชาติของเนื้อสัตว์ กลายมาเป็นผู้รับประทานมังสวิรัติตั้งแต่อายุ 18 ปี และทำด้วยความเต็มใจมาตลอด ก่อนที่กระแส Vegan (วิถีชีวิตที่หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ทั้งในอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และการบริโภค) จะเข้ามาในไต้หวัน ผู้ที่เคร่งครัดในวิถีมังสวิรัติด้วยศรัทธาทางศาสนาเช่นเขา ก็ได้ยึดมั่นในวิถีนี้อย่างลึกซึ้งและมั่นคงแล้ว
คุณจางโย่วเฉวียน (張祐銓) นายกสมาคมสถาบันวิจัยด้านอาหารเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน (Sustainable Healthy Diets Research Institute : SHDRI) เป็นผู้ที่มีความรู้และเข้าใจถึงต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของวัฒนธรรมอาหารมังสวิรัติในไต้หวันอย่างลึกซึ้ง เขามองว่า วิถีมังสวิรัติด้วยศรัทธาทางศาสนาของไต้หวันนั้น มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความเปิดกว้างของสภาพสังคม
นับตั้งแต่การยกเลิกกฎอัยการศึกในปี ค.ศ. 1987 พุทธศาสนาได้เฟื่องฟูอย่างกว้างขวางในสังคมไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นนิกายฝอกวง ฝากู่ จงไถ หลิงจิ่วซาน ฉือจี้ หรือฝูจื้อ รวมถึงลัทธิอีก้วนเต้าที่ได้รับการรับรองอย่างถูกกฎหมาย แต่ละนิกายและกลุ่มศาสนา ล้วนจัดเตรียมอาหารเจให้แก่ผู้ศรัทธา ด้วยอิทธิพลจากข้อบัญญัติและแนวคิดทางศาสนา แม้จะไม่มีการบังคับให้ศาสนิกชนต้องรับประทานมังสวิรัติ แต่บรรดาผู้ศรัทธาต่างก็ซึมซับ และปฏิบัติตามด้วยความสมัครใจ และค่อย ๆ หล่อหลอมจนเป็นชุมชนมังสวิรัติที่มั่นคงและเข้มแข็ง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
จางโย่วเฉวียน (คนที่ 3 จากขวา) นายกสมาคมสถาบันวิจัยด้านอาหารเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน ร่วมลงถนนเพื่อส่งเสียงแทนผู้บริโภคมังสวิรัติ
(ภาพ สมาคมสถาบันวิจัยด้านอาหารเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืน )
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
สมาคมโภชนาการมังสวิรัติแห่งไต้หวัน เดินหน้าส่งเสริมความรู้ด้านโภชนาการอาหารมังสวิรัติ เพื่อให้ผู้คนรับประทานมังสวิรัติได้อย่างครบคุณค่า (ภาพ สมาคมโภชนาการมังสวิรัติแห่งไต้หวัน)
ศาสนา สิ่งแวดล้อม สวัสดิภาพสัตว์และสุขภาพ ¡X เหตุผลในการกินมังสวิรัติมีได้ร้อยแปดพันประการ
คุณจางโย่วเฉวียน ผู้ซึ่งทำงานเคลื่อนไหวด้านมังสวิรัติในแนวหน้ามาอย่างยาวนาน เล่าย้อนความหลังว่า เมื่อปี 1991 เขาตัดสินใจหันมากินมังสวิรัติ เพราะมองเห็นข้อดีของการกินมังสวิรัติว่า เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมของโลก และระบบอาหารของมนุษย์ ไม่นานหลังจากนั้น เขาสังเกตเห็นว่า ร้านอาหารมังสวิรัติและโรงงานแปรรูปอาหารจำนวนไม่น้อยในขณะนั้น ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ดำเนินกิจการโดยผู้ศรัทธาในลัทธิอีก้วนเต้าทั้งสิ้น
ราวปี ค.ศ. 2008 องค์กรภาคประชาชนหลายกลุ่มในไต้หวัน ทั้งด้านศาสนา สิ่งแวดล้อม และสวัสดิภาพสัตว์ ได้ร่วมกันผลักดันขบวนการอาหารมังสวิรัติต้านภาวะโลกร้อน และสามารถรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนได้ถึง 1.19 ล้านคน แคมเปญ กินมังสวิรัติ รักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วยโลก ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทำให้การกินมังสวิรัติเริ่มถูกเชื่อมโยงเข้ากับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อม
คุณจางโย่วเฉวียน มองว่า ในปี ค.ศ. 2009 การรณรงค์ภายใต้แคมเปญ งดเนื้อสัตว์ทุกวันจันทร์ (Meatless Monday) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ตอบรับกระแส วันปลอดเนื้อสากล (Meatless Day) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสังคมไต้หวันต่อมุมมองเรื่องอาหารมังสวิรัติ ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้ประสานงานโครงการงดเนื้อสัตว์ทุกวันจันทร์ และได้เชิญชวนบุคคลมีชื่อเสียง หน่วยงานรัฐบาล และสถานศึกษาให้เข้าร่วมอย่างแข็งขัน พร้อมทั้งใช้วิธีการหลากหลาย เช่น การจัดแถลงข่าว การประชุมรับฟังความคิดเห็น การเสวนา และการเดินขบวน เพื่อเผยแพร่แนวคิดนี้ นับแต่นั้นมา ความเชื่อมโยงระหว่างการกินมังสวิรัติ กับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการต่อต้านภาวะโลกร้อน ก็ได้หยั่งรากลึกในจิตใจของผู้คนอย่างมั่นคง
ในปี ค.ศ. 2014 กระแสการเคลื่อนไหวเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ในไต้หวัน ได้ขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง และสอดรับกับกระแส Vegan จากโลกตะวันตกอย่างลงตัว ช่วงปี ค.ศ. 2014–2019 วิล ทัตเทิล (Will Tuttle) ผู้ได้รับสมญาว่า บิดาแห่งอาหารมังสวิรัติสากล และเป็นผู้เขียนหนังสือ The World Peace Diet (อาหารแห่งสันติภาพโลก) ได้เดินทางมาเยือนไต้หวันหลายครั้ง สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งวงการ และดึงดูดให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันมายอมรับ และเห็นคุณค่าของวิถีชีวิตมังสวิรัติแบบเคร่งครัด โดยไม่รับประทานและไม่ใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย
คุณจางโย่วเฉวียน มองว่า หากมองย้อนกลับไปตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการกินมังสวิรัติด้วยศรัทธาทางศาสนา มังสวิรัติเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือมังสวิรัติเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ และแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า มังสวิรัติเพื่อสุขภาพ จะเห็นได้ว่า จำนวนผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติในไต้หวันเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกแนวคิดเหล่านั้นต่างยอมรับและมีความสอดคล้องกัน โดยมีส่วนที่คล้ายคลึงจนไม่สามารถแบ่งแยกแต่ละแนวคิดออกจากกันได้อย่างชัดเจน แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของวัฒนธรรมอาหารมังสวิรัติของไต้หวัน ปัจจุบัน ร้านอาหารมังสวิรัติหลากหลายรูปแบบ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและแพร่หลาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกระแสมังสวิรัติเพื่อ สิ่งแวดล้อม และมังสวิรัติเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ ที่กำลังขยายตัวอย่างกว้างขวาง

เกาซิ่วจง นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติสากล (IVIPA)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
บรรยากาศคึกคักในงาน มหกรรมอุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติและวีแกนนานาชาติไทเป ที่จัดขึ้นทุกปี สะท้อนความรุ่งเรืองและความหลากหลายของอุตสาหกรรมมังสวิรัติในไต้หวัน
กินมังสวิรัติก็ครบคุณค่าได้
สิ่งที่แตกต่างจากในอดีตก็คือ แนวคิดเกี่ยวกับมังสวิรัติในปัจจุบัน ได้รับอิทธิพลจากหลักโภชนาการแบบตะวันตก ซึ่งให้ความสำคัญกับความเข้าใจเรื่องของสารอาหารมากขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติแปรรูป นอกจากจะใส่ใจในรูปลักษณ์และรสสัมผัสให้ใกล้เคียงกับอาหารเนื้อสัตว์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการควบคู่กันไป ตัวอย่างเช่น แบรนด์ผู้ผลิตโปรตีนจากพืช (Plant-based Meat) หลายๆ แบรนด์จะมีการเสริมธาตุเหล็ก สังกะสี และแคลเซียมเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีปริมาณโปรตีนและสารอาหารบางชนิดเทียบเท่ากับเนื้อวัว และสามารถทดแทนเนื้อสัตว์ได้
คุณเฉินถิงอวี้ (陳婷鈺) ผู้อำนวยการบริหารสมาคมโภชนาการมังสวิรัติแห่งไต้หวัน (Taiwan Vegetarian Nutrition Society : TVNS) และเป็นนักโภชนาการที่ได้รับใบอนุญาตทั้งจากไต้หวันและสหรัฐฯ เล่าว่า เธอเริ่มหันมากินมังสวิรัติระหว่างไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยได้รับอิทธิพลจากกระแส Vegan หลังจากที่เธอกลับมาไต้หวันเมื่อประมาณสิบปีก่อน เธอสังเกตว่าผู้บริโภคมังสวิรัติส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับหลักการ งดเนื้อ ไม่ฆ่าสัตว์ มากกว่า และมีความเข้าใจด้านโภชนาการค่อนข้างน้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่บริโภคมังสวิรัติก็เริ่มตระหนักมากขึ้นว่า หากต้องการรับประทานเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ก็จำเป็นต้องใส่ใจและพยายามมากขึ้น โดยเฉพาะการป้องกันการขาดสารอาหารบางชนิด ที่มักพบในกลุ่มผู้บริโภคมังสวิรัติ เช่น ธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสารอาหารที่พบมากในเนื้อสัตว์ รวมถึงแคลเซียมซึ่งพบในปริมาณสูงในนมวัว
อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตในไต้หวันซึ่งมีสภาพอากาศอบอุ่น ก็ถือว่ามีข้อได้เปรียบไม่น้อย โดยเฉพาะความหลากหลายของวัตถุดิบที่หาได้ง่ายเป็นเรื่องปกติ และผักกินใบที่มีอยู่หลากหลายชนิด นับเป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญ คุณเฉินถิงอวี้ อธิบายว่า ผู้บริโภคมังสวิรัติมักพึ่งพาผักใบเขียวที่มีสีเขียวเข้มในการเสริมธาตุเหล็กและแคลเซียม ในบรรดาผักเหล่านี้ ผักโขม มีปริมาณธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ ขณะที่ผักกาดเขียวกวางตุ้ง เป็นวัตถุดิบที่มีปริมาณแคลเซียมสูงมาก ผักทั้งสองชนิดนี้มีวางขายทั่วไปในไต้หวัน จึงหาได้ง่ายและสะดวกต่อการบริโภค
นอกจากนี้ ด้วยวิถีการกินแบบชาวจีน ทำให้ในไต้หวันมีผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหลากหลายชนิดและรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้ เต้าหู้แข็ง เต้าฮวย ฟองเต้าหู้ เต้าหู้ทอด เต้าหู้เหม็น หรือเต้าหู้ยี้ ล้วนมีให้เลือกนับไม่ถ้วน ถั่วเหลืองยังเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีปริมาณโปรตีนสูงที่สุด รองลงมาคือถั่วดำ ถั่วทั้งสองชนิดนี้ล้วนเป็นพันธุ์ที่พบได้ทั่วไปในไต้หวัน กล่าวได้ว่า ถ้าผู้ที่ทานเนื้อสัตว์อยากหันมารับประทานมังสวิรัติ เมื่อเทียบกับหลายประเทศทางตะวันตกแล้ว ไต้หวันน่าจะเป็นประเทศที่มีข้อจำกัดในการปรับเปลี่ยนสู่การกินมังสวิรัติที่น้อยกว่า และทำได้ง่ายที่สุดก็ว่าได้ เฉินถิงอวี้ กล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
ไต้หวันยังมีซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการอยู่อีกมากมาย น้ำมันเมล็ดคามีเลีย หรือน้ำมันเมล็ดชา (Camellia Oil) และน้ำมันงาขี้ม้อน (Perilla Oil) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นน้ำมันมะกอกแห่งโลกตะวันออก ต่างก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณสูง กรดไขมันสายยาวชนิดพิเศษนี้ มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบเรื้อรังในร่างกายที่มักพบในคนยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่ร่างกายได้รับมากเกินไปจากน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันสลัดจากการทานอาหารนอกบ้าน
คุณเฉินถิงอวี้ ยังกล่าวถึง ผักเบี้ยใหญ่ หรือ เพิร์สเลน (Purslane) หรือที่ชาวไต้หวันเรียกว่า นมหมู (อ่านว่า จูหมูหรู่ 猪母乳) ว่าเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่นกัน ขณะที่ฝรั่งพันธุ์พื้นเมืองไต้หวันก็เป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงมาก นอกจากนี้ มะขามป้อม (Indian Gooseberry) ซึ่งเคยเป็นพืชที่พบทั่วไปในยุคเกษตรกรรม และเป็นพืชที่ได้รับการส่งเสริมให้กลับมาปลูกอย่างจริงจังโดยหน่วยงานด้านเกษตรในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ก็มีปริมาณวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ และมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงมักถูกนำมาแปรรูปเป็นมะขามป้อมผง และถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งอาหารคุณภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ไต้หวันมีประชากรมังสวิรัติมากกว่า 3 ล้านคน ฐานผู้บริโภคที่มั่นคงเช่นนี้ ทำให้อาหารมังสวิรัติมีตัวเลือกหลากหลายรูปแบบ และหาได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ไต้หวันอุดมไปด้วยพืชผลนานาชนิด ผักและผลไม้หลายชนิดที่พบได้ทั่วไปต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น ฝรั่งและเมล็ดชาน้ำมัน เป็นต้น
ตัวเลือกอาหารมังสวิรัติ¡Kงดงามหลากหลาย ดั่งมวลบุปผชาติชูช่อเบ่งบาน
คุณเกาซิ่วจง ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหาร กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้กลุ่มผู้บริโภคมังสวิรัติในไต้หวันยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมร้านอาหาร ช่วงหนึ่งมาตรการป้องกันโรค ทำให้ต้องระงับการนั่งรับประทานในร้าน ส่งผลให้ร้านอาหารมังสวิรัติขนาดใหญ่ ซึ่งมีที่นั่งรองรับได้หลายร้อยถึงนับพันที่ ต้องเผชิญกับภาระต้นทุนแรงงานที่สูงเกินรับไหว จนต้องทยอยปิดกิจการลง
ตลาดที่ว่างลงจากการปิดตัวของร้านขนาดใหญ่จึงถูกแบ่งและกระจายไปยังผู้เล่นรายใหม่ ไม่เพียงแต่ร้านอาหารมังสวิรัติขนาดเล็กที่ผุดขึ้นทั่วทุกมุมเมืองเท่านั้น แต่ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ เช่น กลุ่มหย่างซิน (Yangxin Group) โดยสานต่อชื่อเสียงจากร้านอาหารติ่มซำมังสวิรัติ Yangxin Tea House ด้วยการใช้ศักยภาพด้านนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนาอย่างโดดเด่น ก่อตั้งร้านอาหารมังสวิรัติสไตล์เกาหลี Yache และร้านอาหารมังสวิรัติสไตล์อาหารเจียงซู-เจ้อเจียง Yangxin Salon ซึ่งกลายเป็นร้านยอดนิยมในปัจจุบัน
กล่าวได้ว่า โดยภาพรวมแล้ว เส้นแบ่งระหว่างร้านอาหารมังสวิรัติและร้านอาหารทั่วไปในปัจจุบัน เริ่มเลือนรางลง และไม่ได้แบ่งแยกชัดเจนเหมือนในอดีตอีกต่อไป
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติสากล (IVIPA) ได้จัดงาน มหกรรมอุตสาหกรรมอาหารมังสวิรัติและวีแกนไทเปนานาชาติ เป็นประจำทุกปี คุณเกาซิ่วจง ในฐานะประธานสมาคม สังเกตเห็นว่า อาหารมังสวิรัติมีการพัฒนาและออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับอาหารและผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เขากล่าวพร้อมยกตัวอย่างว่า เทมเป้และขนมขบเคี้ยวจากฟองเต้าหู้ เป็นหนึ่งในตัวเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในช่วงหลังนี้
นอกจากนี้ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาด ซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายเฉพาะสินค้ามังสวิรัติหลายแห่งเริ่มเปิดดำเนินการในไต้หวัน อาทิ Goodie Vegie (หรือกลุ่มเล่อซั่น : 樂膳) จากนครไทจงที่ขยายธุรกิจขึ้นสู่ภาคเหนือด้วยการเปิดร้าน Noemí Supermarket (樂覓 : เล่อมี่) และยังมีร้าน CDF (崇德發 : ฉงเต๋อฝา) ในเขตจงเหอของนครนิวไทเป และซูเปอร์มาร์เก็ต VES (悅素 : เยว่ซู่) ในนครไถหนาน เป็นต้น
ซูเปอร์มาร์เก็ตเหล่านี้ได้ลบภาพลักษณ์ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศทางศาสนาแบบดั้งเดิมออกไปอย่างสิ้นเชิง ภายในร้านนอกจากจะมีสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศแล้ว ยังมีสินค้านำเข้าให้เลือกมากมาย บรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกสดใส น่ารัก และดูทันสมัย แม้จำนวนร้านยังคงน้อยกว่าเครือซูเปอร์มาร์เก็ตดั้งเดิมอยู่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนซึ่งบ่งบอกว่าฐานกลุ่มผู้บริโภคมังสวิรัติในไต้หวันมีความมั่นคง และสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดอาหารและผลิตภัณฑ์แปรรูปมังสวิรัติที่หลากหลายและครบถ้วน
นอกจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายเฉพาะอาหารมังสวิรัติแล้ว ยังมีตลาดป๊อปอัพสายมังสวิรัติ ซึ่งเป็นร้านค้าชั่วคราวระยะสั้นเกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ Taiwan Vegan Frenzy ตลาดนัดอาหารมังสวิรัติสัญจรที่ตระเวนไปจัดตามสถานที่ต่างๆ ทั่วไต้หวันแบบเป็นครั้งคราวและเป็นกิจกรรมที่เก่าแก่ที่สุด โดยเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2015 ต่อด้วย No Meat Market ที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2019 ซึ่งมุ่งเน้นแนวคิด ไม่มีเนื้อก็มีความสุขได้ โดยผสมผสานกับแนวทางลดการใช้พลาสติกและความยั่งยืน รวมถึงไนท์มาร์เก็ตมังสวิรัติ ที่ใช้รถฟู้ดทรัคหลายคันออกตระเวนทั่วไต้หวัน สร้างสีสันให้แก่วงการอาหารมังสวิรัติในรูปแบบเคลื่อนที่
ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนสะท้อนสิ่งที่คุณจางโย่วเฉวียน เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า ไต้หวันคือดินแดนแห่งวัฒนธรรมการกินที่เปิดกว้างและหลอมรวมได้อย่างกลมกลืน นับตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของอาหารแปรรูปมังสวิรัติที่เลียนแบบเนื้อสัตว์ เช่น ไก่เจและเป็ดเจ ไปจนถึงประเพณีการกินอาหารแบบไคเซกิ หรือชุดอาหารที่เสิร์ฟเป็นคอร์สของญี่ปุ่น และขึ้นชื่อในเรื่องของการใช้พืชผักเป็นวัตถุดิบหลัก ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจากการใช้ผักและพืชผักเป็นวัตถุดิบหลัก พร้อมรากฐานจากอาหารไคเซกิของญี่ปุ่น เมื่อผสมผสานกับศักยภาพด้านนวัตกรรมและความสามารถในการหลอมรวมวัฒนธรรมอาหารของไต้หวัน จึงทำให้วัฒนธรรมมังสวิรัติมีความหลากหลายและเฟื่องฟู
ตั้งแต่พืชผักพื้นถิ่นที่หลากหลาย ไปจนถึงวัตถุดิบมังสวิรัติเลียนแบบเนื้อสัตว์ที่ครบครัน ตั้งแต่อาหารริมทางไปจนถึงเมนูหรูในร้านระดับพรีเมียม ตั้งแต่ครัวเอเชีย อาหารตะวันตก ไปจนถึงรสชาติจากแดนไกล ทุกสิ่งพร้อมสรรพในไต้หวัน จนทำให้ผู้ที่ใช้ชีวิตมังสวิรัติที่นี่รู้สึกภาคภูมิใจอยู่เสมอ พวกเขามักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การกินมังสวิรัติในไต้หวันนั้นแสนสะดวก และสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็น สวรรค์ของมังสวิรัติ และยินดีต้อนรับให้ทุกคนมาสัมผัสด้วยตนเอง
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
รูปแบบการบริโภคอาหารมังสวิรัติในไต้หวัน มีความหลากหลาย ในภาพเป็น No Meat Market หนึ่งในตลาดมังสวิรัติที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ภาพ หลินเก๋อลี่)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)