俗諺「一府、二鹿、三艋舺」,說明了歷史上,台南府城、彰化鹿港及台北艋舺,開台初期3大通商港市的繁華景況。
鹿港走過清領及日據,古城今日的面貌,就像捺了彩妝,遠看是現代美,細看則是時間沉澱後的靜謐與古樸。走看鹿港,必須以「慢遊」的節奏與「漫遊」的閑情,才能觸摸到豐富的歷史底蘊。
คำโบราณ “หนึ่งเมือง สองลู่ สามหม่งจ่า” กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของการติดต่อการค้า 3 เมืองท่าที่รุ่งเรืองในยุคเริ่มศักราชไต้หวัน ได้แก่ เมืองไถหนาน ลู่กั่ง จางฮว่าและหมงเจี่ยที่ไทเป
ปี ค.ศ. 1784 (เฉียนหลงปีที่ 49) ลู่กั่งศ์ชิงจัดเป็น “ท่าเรือหลัก” คือเป็นท่าเรือเพื่อการพาณิชย์กับภายนอก ส่งผลให ้ลู่กั่งมีความสำคัญไม่น้อยในด้านประวัติศาสตร์
หลังยุคการปกครองของราชวงศ์ชิงและญี่ปุ่น โฉมหน้าของเมืองโบราณในปัจจุบัน เสมือนได้รับการแต่งเติมความงาม มองไกลๆคือความสวยแบบยุคใหม่ ถ้ามองลึกลงไปจะพบร่องรอยตะกอนแห่งอดีตที่สงบและเรียบง่าย ท่องเที่ยวลู่กั่ง ต้องใช้จังหวะแบบเดิน “ทอดน่อง” และอารมณ์อัน “สุนทรีย์” จึงจะสามารถสัมผัสความลึกล้ำแห่งประวัติศาสตร์อันอุดมสมบูรณ์ได้อย่างเต็มที่
ลู่กั่งนับจากเปิดท่ามาถึงตอนนี้ ได้พัฒนาเส้นทางจากท่าเรือภายในสู่ภายนอก เนื่องจากชายทะเลเป็นพื้นที่ลุ่ม สมัยราชวงศ์ชิงจึงใช้วิธีการถมดินยกระดับพื้นให้สูงขึ้น ถนนหลักสายแรกที่สร้างขึ้นก็คือถนนจงซันในปัจจุบัน
ลู่กั่งโบราณขึ้นชื่ออยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ไม่พบฟ้า ไม่พบดิน ไม่พบผู้หญิง
“ไม่พบฟ้า” เปรียบเปรยถึงร้านค้าริมถนนจงซัน เนื่องจากต้องทำการซื้อขายตลอดปี ต้องติดตั้งเต็นท์กันฝนและกันแดดหน้าร้านตลอดทาง ทำให้ผู้คนที่เดินอยู่เมื่อแหงนหน้าขึ้นจะมองไม่เห็นท้องฟ้า จะเห็นได้ว่าในเวลานั้นการค้ารุ่งเรืองเพียงใด “ไม่พบดิน” กล่าวถึงพื้นที่ปูเต็มด้วยอิฐแดง ทำให้มองไม่เห็นพื้นดิน “ไม่พบผู้หญิง” หมายถึงเวลานั้นยังยึดถือประเพณีเท้าดอกบัวคือการรัดเท้าให้เล็กของผู้หญิง ดังนั้นเวลาที่ผู้หญิงเดินจะไม่ค่อยสะดวก จึงไม่ค่อยนิยมที่จะออกนอกบ้าน
ปัจจุบัน นอกจากถนนโบราณลู่กั่งที่ยังรักษาพื้นอิฐแดงหลังบูรณะซ่อมแซมแล้ว “ไม่พบฟ้า” และ “ไม่พบผู้หญิง” ได้เลือนหายไปนานแล้ว ลู่กั่งในเวลานี้ ควรใช้การบรรยายด้วย “3 มาก” ได้แก่ โบราณสถานมาก อาหารหลากหลาย และช่างฝีมือสืบสานศิลปวัฒนธรรมมากมาย ลู่กั่งในอดีตก็มีมุมแบบใหม่ๆ มาเริ่มต้นการเดินทอดน่องท่องชมจากถนนหมู่บ้านศิลปะกุ้ยฮวากัน
ถนนหมู่บ้านศิลปะกุ้ยฮวา แหล่งรวมงานหัตถกรรมเชิงสร้างสรรค์
ระหว่างการปกครองของญี่ปุ่นในรัชสมัยจักรพรรดิโชวะ ชาวญี่ปุ่นได้ถมดินที่ลุ่มริมแม่น้ำเพื่อสร้างบ้านในบริเวณนี้ โดยสร้างเป็นหอพักแบบญี่ปุ่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการพักอาศัย หลังไต้หวันได้รับเอกราช รัฐบาลได้ให้ข้าราชการและครูอาศัยต่อไป เมื่อคนรุ่นก่อนแก่เฒ่าลาโลกไปตามกาลเวลา จำนวนผู้อยู่อาศัยก็น้อยลงทุกที รัฐบาลจึงให้การช่วยเหลือย้ายที่อยู่ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีบริเวณที่จะจัดสรรได้ใหม่ หลังทำการซ่อมแซมบูรณะหอพักแบบญี่ปุ่นแล้ว ได้ตั้งชื่อว่า “ถนนหมู่บ้านศิลปะกุ้ยฮวา”
กลางหมู่บ้านศิลปะมีถนนกว้างใหญ่สายหนึ่ง หอพักแบบญี่ปุ่นที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง นับแต่ปีค.ศ.2010 เป็นต้นมา ได้เปิดใหศิลปินและช่างฝีมือยื่นขอเข้าอยู่อาศัย ปัจจุบันมีศิลปินอาศัยรวมอยู่ 10 ครัวเรือน หอพักไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ได้แปลงเปลี่ยนเป็นห้องทำงานของศิลปินและช่างฝีมือ สัดส่วนของ “หอพัก” ได้สร้างสรรค์ “ความสนิทสนม” จาก “การเป็นเพื่อนบ้าน” ของศิลปินและช่างฝีมือ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้ชมแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งศิลปะ
ศิลปินที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มีพื้นเพแห่งศิลป์ที่แตกต่างกัน ประกอบด้วยศิลปะที่มีคนเป็นส่วนร่วมและภาพถ่าย สีน้ำมัน การบรรเลงดนตรีและขับร้อง ภาพวาดนิทานเด็กและภาพวาดประกอบ การต่อผ้า และงานเขียนพู่กันจีน เป็นต้น โดยพวกเขาใช้ “กระแสนิยม” แห่งยุคผสมผสานกับแนว “โบราณ” ของลู่กั่ง
ซือจวิ้นโสงผู้ทำหัวสิงโต เป็นหนึ่งในบรรดานักศิลปะที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่โดดเด่นผู้หนึ่ง
วัฒนธรรมสิงโตไต้หวัน เก็บสะสมที่ซือกงก่วน
“ที่นี้มีแต่ ‘สัตว์ดุร้าย’ เด็กๆบางคนไม่กล้าเข้ามา”
ซือจวิ้นโสงผู้ทำหัวสิงโตวัย 55 ปี กล่าวถึง “ห้องทำงานซือกงก่วน” ตั้งอยู่บนเลขที่ 15 ถนนกุ้ยฮวาของตนเอง การแสดงเชิดสิงโตของประเพณีงานวัด ขบวนกังฟูหรือกายกรรมพื้นบ้านล้วนต้องใช้หัวสิงโตทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลา36 ปีที่ผ่านมา ซือจวิ้นโสงสะสมหัวสิงโตทั้งเล็กและใหญ่มากกว่าหมื่นชิ้น แบ่งเป็น 40 กว่าชนิดเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหัวสิงโตของไต้หวัน บนผนังของซือกงก่วน ก็มีหัวสิงโต
ที่ซือจวิ้นโสงเก็บสะสมแขวนอยู่เกินกว่า 10 ชิ้นการทำหัวสิงโตไม่ใช่งานหัตถกรรมแบบดั้งเดิมของลู่กั่ง แต่ปัจจุบันจะดูแบบของหัวสิงโตที่สมบูรณ์ที่สุด ก็มีเพียงต้องมาหาซือจวิ้นโสงที่ลู่กั่งเท่านั้น บิดาของซือจวิ้นโสงเดิมผลิตของเล่นแบบจีน ทำกลองเล็กและหัวสิงโตของเด็กเล่น เป็นต้น และทำหัวสิงโตใหญ่ในบางคราว ซือจวิ้นโสงวาดลงสีหัวสิงโตเป็นตั้งแต่เด็ก หลังพ้นเกณฑ์ทหาร กลับบ้านมาสืบทอดกิจการของครอบครัว ยิ่งทำยิ่งสนใจและได้วิจัยหัวสิงโตรูปแบบต่างๆและเก็บสะสม เมื่อลูกค้าสั่งทำหัวสิงโต1 ชิ้น เขาก็จะผลิต 2 ชิ้น โดยตัวเองจะเก็บไว้ 1 ชิ้น สะสมมาเรื่อยๆ จนมีจำนวนมากมายในปัจจุบัน
สำนักกังฟูต่างมีการสืบสานวัฒนธรรมหัวสิงโตและวิธีการทำของตนเอง ขณะช่วยทำหัวสิงโตให้กับสำนักกังฟู ซือจวิ้นโสงก็ได้รวบรวมจัดทำสายของหัวสิงโตในแต่ละท้องที่ไปพร้อมกัน เช่น หัวสิงโตของจีนแผ่นดินใหญ่ที่สำคัญแบ่งเป็นสายปักกิ่ง กวางตุ้งและฝูเจี้ยนเป็นหลัก สิงโตไต้หวันนั้นเป็นสายฝูเจี้ยน ใช้สีน้ำเงินและสีเขียวเป็นหลัก
สำหรับสิงโตไต้หวันเองก็มีการแบ่งตามเขตพื้นที่ ซือจวิ้นโสงระบุว่า หัวสิงโตในเขตภาคเหนือส่วนปากสามารถขยับได้ (คายโขว่) เรียกว่า “เป่ยคายโขว่” หัวสิงโตของหมู่บ้านชาวจีนฮากกาเรียกว่า “เค่อเจียคายโขว่” หัวสิงโตของภาคกลางและใต้เกือบทั้งหมดเป็นแบบ “ปิดปาก” ซือจวิ้นโสงกล่าวว่า “ภาคกลางและภาคใต้ยังมีที่ไม่เหมือนกัน หัวสิงโตของภาคกลางตรงหน้าผากจะนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทางไถหนานลงไปหัวสิงโตซ่งเจียงเฉินลักษณะเด่นแบบแบนราบจะยิ่งชัดเจนขึ้น”
นักท่องเที่ยวที่เข้าชมซือกงก่วนจำนวนมาก ต่างประหลาดใจเมื่อได้เห็นหัวสิงโตที่มีจมูกหมูหัวหนึ่ง ซือจวิ้นโสงยิ้มและกล่าวว่า เคยมีลูกค้าชนเผ่าพื้นเมืองสั่งทำหัวสิงโตที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าพื้นเมือง แต่ไม่ได้ให้แบบตัวอย่าง ทำให้ตนปวดหัวเป็นอย่างมาก ในที่สุดได้เสนอให้ทำหัวสิงโตที่มีจมูกเหมือนหมูป่าแต่มีความน่าเกรงขามแบบสิงโต ฝ่ายตรงข้ามก็ตกลงอย่างพึงพอใจ หัวสิงโตที่แปลกไม่เหมือนใครที่ใดก็เกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
วัดหลงซันซื่อลู่กั่ง ศาลเจ้าเทียนโฮ่วกง พลาดชมไม่ได้
นักร้องและประพันธ์เพลงหลัวต้าโย่วไม่เคยไปลู่กั่ง แต่สามารถแต่งเพลง “เมืองเล็กลู่กั่ง” ขึ้นในปี ค.ศ.1980 จากเพลงจีนอมตะเพลงนี้ ทำให้รู้ได้ถึงความหมายโดยนัยแห่งเสน่ห์ตลอดจนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของลู่กั่ง ผู้ที่เคยฟังเพลงนี้ เมื่อไปถึงลู่กั่งจะต้องไปชมสถานที่ซึ่งในเพลงกล่าวซ้ำหลายครั้งคือศาลเจ้าแม่มาจู่เทียนโฮ่วกง และถนนโบราณลู่กั่งที่ปูพื้นเต็มไปด้วยอิฐสีแดง
“มาลู่กั่งชมโบราณสถาน เดินตามทางอิฐสีแดง รับรองไม่หลงทาง” เฉินซื่อเสียนเจ้าของสตูดิโอลู่สุ่ยเฉ่าถัง ซึ่งได้ออกหนังสือเกี่ยวกับการสำรวจประวัติศาสตร์วัฒนธรรมลู่กั่งและโบราณสถานแล้วกว่าสิบเล่ม กล่าวแบ่งปันเคล็ดลับในการท่องชมลู่กั่ง วัดหลงซันซื่อสร้างขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิงและได้ย้ายมายังที่อยู่ปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ.1786 เป็นโบราณสถานแห่งชาติของลู่กั่ง และนอกจาก
ศาลเจ้าเทียนโฮ่วกงแล้วเป็นวัดที่เฉินซื่อเสียนแนะนำต้องไปชมให้ได้ วัดทั้งสองแห่งนี้ตั้งอยู่สองด้านของถนนจงซัน ตรงกลางมีทางเดินอิฐแดงของซอยโบราณจิ่วชวีเชื่อมต่อกัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินชมโบราณสถานได้สะดวกยิ่งขึ้น
วัดโบราณในลู่กั่งมีจุดเด่นให้ชมแตกต่างกัน เฉินซื่อเสียนในตอนที่นำชมโบราณสถานศาลเจ้าเทียนโฮ่วกง จะเตือนให้นักท่องเที่ยวสังเกตการแกะสลักหิน แกะสลักไม้อันละเอียดประณีตและการวาดลวดลายสีสันอันงดงามของวัดในลู่กั่ง ที่วัดหลงซันซื่อก็จะเตือนให้นักท่องเที่ยวแหงนหน้าขึ้นมองที่ด้านบนของเวที ชมงานสถาปัตยกรรมเพดานแบบบ่อแปดเหลี่ยมอันละเอียดประณีตที่สุดและรักษาไว้จากสมัยแรกสุดในไต้หวัน ตลอดจนการตกแต่งบริเวณที่ยังคงรักษาไว้อย่างสมบูรณ์นับแต่สร้างวัดมา อีกทั้งเมื่อเดินตามทางอิฐแดงของซอยจิ่วชวีไม่ว่าจะเป็น “หออี้โหลว”ที่ร่มรื่นด้วยเงาไม้ หรือ “หอสืออี๋โหลว” แหล่งพบปะของนักเดินทางในอดีตของลู่กั่ง หรือประตู “ไอ้เหมิน” ที่ใช้เป็นเส้นแบ่งเขตรักษาความปลอดภัยป้องกันโจรผู้ร้ายและอิทธิพลแก๊งค์มาเฟีย ต่างล้วนมีคุณค่าของการเดินชมอย่างละเอียด
นอกจากนี้ หากมีความสนใจต่อขนมของลู่กั่ง อย่าลืม
แวะเยี่ยมชมร้าน “ยวี่เจินไจ”ผู้บุกเบิกตำราขนมฟ่งเหยี่ยนเกา บนถนนหมิงจู๋ ร้านแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1877 มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ฟ่งเหยี่ยนเกา หนิวเสอปิ่ง (ขนมลิ้นวัว) เสน่ห์ไม่เลือนหายของร้านขนมดั้งเดิม
ขนมก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองเล็กในไต้หวัน พื้นที่ต่างกันก็พัฒนาขนมที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป เช่นขนมอวี่โถวซู(เค้กเผือก)ของต้าเจี่ย ขนมตู้ฉี(สะดือ)ปิ่งของเหมียวลี่ และฟ้งหลีซู(พายสับปะรด)ของเหวยเล่อซันชิวที่ปัจจุบันได้กลายเป็นของฝากติดมือจากหนานโถวแล้ว เป็นต้น
ร้านที่เป็นตัวแทนของลู่กั่งมี 3 แห่ง ได้แก่ ยวี่เจินไจ เจิ้งซิงเจินและเจิ้งยวี่เจิน ร้านทั้ง 3 แห่งนี้เป็นร้านเก่าแก่นับร้อยปี ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเจิ้งฉุยอาจารย์ทำขนมที่เชิญมาจากเมืองฉวนโจวจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งนั้น
รศ.หลี่ม่งจวิน แห่งศูนย์วิชาศึกษาทั่วไปมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจี้ยนกว่อระบุว่า ตระกูลยวี่เจินไจแต่เดิมทำอาชีพค้าผ้า จากนั้นได้เชิญอาจารย์เจิ้งฉุยซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 16 ปี มาช่วยทำการวิจัยพัฒนาสูตรขนมให้กับครอบครัว ภายหลังเจิ้งฉุยก็ได้กลายเป็นผู้ร่วมบุกเบิกเจิ้งซิงเจินและเจิ้งยวี่เจินด้วย ในปีนั้นเจิ้งฉุยนำเคล็ดลับตำราอาหารว่างทานกับน้ำชามาไต้หวันด้วย 1 เล่ม ใช้ฝีมือทำขนมฟ้งเหยี่ยนเกา สมัยญี่ปุ่นปกครอง เข้าร่วมแข่งขันการทำขนมทั่วญี่ปุ่น ได้รับรางวัลเหรียญทอง สร้างชื่อเสียงให้กับขนมลู่กั่ง ขนมชิ้นบางๆ รูปลักษณ์เหมือนตาหงส์ จึงได้รับการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ขนมลู่กั่งนับแต่นั้นมา
นอกจากนี้ขนมของชาวบ้านลู่กั่ง “หนิวเสอปิ่ง” ก็มีจุดเด่นไม่น้อย ต่างจากขนมหนิวเสอปิ่งของอี๋หลานที่เป็นแผ่นบางและกรอบ ขนมหนิวเสอปิ่งของลู่กั่งแผ่นหนา ร่วนและอ่อน อีกทั้งยังมีไส้สตรอเบอร์รี่และเผือกเป็นต้นหลายรสให้เลือกด้วย
เศรษฐกิจอาหารอร่อยเฟื่องฟู คู่แข่งของขนมลู่กั่งมิได้มีเพียงขนมอร่อยจากเมืองอื่น แต่ยังมีอาหารอร่อยจากเมืองอื่นๆมาเป็นคู่แข่งขันด้วย หลี่หม่งจวินแนะนำว่า หากสามารถผสมผสานผลิตภัณฑ์กับการบรรจุหีบห่อแสดงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมลู่กั่ง กล่าวถึงเรื่องราวที่ชวนให้หลงใหลอีกครั้ง เช่นนี้ขนมลู่กั่งก็จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น
ลู่กั่งอันอุดมสมบูรณ์ เมืองเล็กที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแบบโบราณ มาท่องเที่ยว ณ ที่แห่งนี้ คุณจะได้รับประโยชน์แบบเต็มเปี่ยมอย่างแน่นอน