แม่น้ำและทะเลบรรจบกัน อย่างลงตัวที่ก้งเหลียว
สัมผัสเสน่ห์ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน
เนื้อเรื่อง‧เฉินฉวินฟาง ภาพ‧หลินเก๋อลี่ แปล‧แสงชัย กิตติภูมิวงศ์
พฤศจิกายน 2025
ด้านหน้าศาลเจ้าตงซิงที่ฝูหลง มีทัศนียภาพกว้างไกล มองเห็นปากแม่น้ำซวงซี ชายหาดหลงเหมิน สะพานแขวนหลงเหมิน และภูเขาที่อยู่ไกลสุดสายตา
มาร์แซล ปรูสต์ (Marcel Proust) นักเขียนชาวฝรั่งเศสเคยกล่าวไว้ว่า - การค้นพบที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาแผ่นดินใหม่ แต่คือการมองสิ่งเหล่านั้น ด้วยมุมมองใหม่
ในเขตอุทยานแห่งชาติชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือและอี๋หลาน บริเวณตั้งแต่แหลมปี๋โถว (鼻頭角) ไปจนถึงแหลมซานเตียว (三貂角) เรียกรวมว่า อ่าวซานเตียว (三貂灣) เป็นพื้นที่ที่อุดมด้วยวัฒนธรรมและผู้คน ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองผิงผู่และชาวฮั่น อีกทั้งยังเป็นจุดที่กองเรือสเปนเคยขึ้นฝั่ง ในสมัยที่เนเธอร์แลนด์และสเปนเข้ามามีอิทธิพล ต่อมาหลังจากมีการลงนามในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ หรือ สนธิสัญญาหม่ากวน (馬關條約) พื้นที่ดังกล่าวได้กลายเป็นจุดแรกที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบนเกาะไต้หวัน กาลเวลาผ่านไป สถานที่แห่งนี้กลับดำรงอยู่ราวกับดินแดนที่แยกขาดจากโลกภายนอก ที่ยังคงเก็บรักษาร่องรอยทางประวัติศาสตร์เอาไว้ พร้อมวิถีชีวิตอันเปี่ยมไปด้วยสีสันและน่าสนใจของผู้คนท้องถิ่น
กัวเฉิงเมิ่ง (郭城孟) ประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมท่องเที่ยวเชิงนิเวศไต้หวัน (Taiwan Ecotourism Association) กล่าวอย่างน่าสนใจว่า ไต้หวันเป็นผืนแผ่นดินที่มีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางนิเวศมากที่สุด ในพื้นที่เล็กที่สุดและในระยะทางสั้นที่สุด เขาและเพื่อนร่วมงานในสมาคมฯ ใช้มุมมองจากการอ่านภูมิทัศน์แห่งชีวิต เพื่อขุดค้นและบอกเล่าเรื่องราวความงดงามของอ่าวซานเตียว

จากการกัดเซาะโดยคลื่นทะเลและลม ทำให้ตามชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ เต็มไปด้วยโขดหินและก้อนหินรูปร่างแปลกตา ภาพนี้คือ หินประหลาด หนานหย่า (南雅奇岩) (ภาพ หลินหมินซวน)
ความมหัศจรรย์จากฝีมือธรรมชาติ
หากมองดูทั่วทั้งเกาะไต้หวัน จะพบว่าแถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ มีภูมิประเทศแบบแหลมและอ่าวอยู่มากเป็นพิเศษ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
เนื่องจากที่นี่ เทือกเขาตัดผ่านแนวชายฝั่งเกือบจะในแนวตั้งฉาก ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะของคลื่นในลักษณะต่าง ๆ ชั้นหินที่แข็งแกร่งสามารถต้านทานการกัดเซาะจนยื่นออกมาเป็นแหลม ส่วนหินที่อ่อนนุ่มกว่าก็ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนเว้าเข้าไปกลายเป็นอ่าว จึงก่อให้เกิดแนวชายฝั่งที่คดโค้งและสลับซับซ้อนต่อเนื่องยาวไกล
ยิ่งไปกว่านั้น ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดแรงตลอดฤดูกาล ยังเสริมพลังการกัดเซาะจากลมและคลื่นทะเล ทำให้เกิดโขดหินประหลาดแปลกตาทั่วทุกแห่ง อย่างบริเวณแหลมปี๋โถว เต็มไปด้วยหินรูปทรงเห็ดและหินรังผึ้ง ส่วนที่เอ้าตี่ (澳底) ก็มีหินเต่าศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า กุยเซียนเหยียน (龜蓁岩) และหินกุ้ยปินโก่ว (貴賓狗石) หรือหินสุนัขพุเดิล ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล ทำให้ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน เต็มไปด้วยผลงานประติมากรรมที่น่าทึ่งจากธรรมชาติ
ศาลเจ้าเจาหุ้ย (昭惠廟) เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชุมชนหลงเหมิน เป็นที่ประดิษฐานของเทพไคจางเซิ่งหวัง (開漳聖王) จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ศาลเจ้าเซิ่งหวัง
เที่ยวชมทิวทัศน์ที่ศาลเจ้าตงซิง
เมื่อยืนอยู่ที่ลานหน้าศาลเจ้าตงซิงกง (東興宮) ในย่านฝูหลง (福隆) แล้วทอดสายตามองออกไป จะเห็นทิวทัศน์กว้างไกลครอบคลุมปากแม่น้ำซวงซี (雙溪河雗) หาดทรายหลงเหมิน (龍門沙灘) สะพานแขวนหลงเหมิน (龍門鮸橋) แหลมปี๋โถว (鼻頭角) และเห็นแนวแถบเชิงเขาฝั่งตะวันตกของไต้หวันได้อย่างชัดเจน กัวเฉิงเมิ่งอธิบายว่า หาดทรายสีทองของฝูหลงนั้น เกิดจากเม็ดทรายที่มาจากเชิงเขาฝั่งตะวันตกซึ่งมีฝนตกชุก ช่วงฤดูฝนทรายจากภูเขาถูกน้ำฝนชะล้าง พัดพาลงมาตามลำน้ำซวงซีไหลออกไปที่ปากอ่าว ขณะเดียวกัน ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกลับพัดพาเม็ดทราย ที่ควรไหลลงสู่ทะเลให้ย้อนกลับขึ้นฝั่ง ประกอบกับกระแสคลื่นชายฝั่งตามแนวชายหาด ได้เคลื่อนย้ายเม็ดทรายไปตามแนวชายฝั่งเช่นกัน เมื่อกระแสน้ำจืดจากแม่น้ำและน้ำทะเลมาบรรจบกัน ทำให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นภูมิประเทศที่มีลักษณะแปลกตา ทรายสะสมบริเวณหนึ่งกลายเป็นแนวหาดทราย อีกบริเวณหนึ่งกลายเป็นสันดอนทรายที่ยื่นลงไปในทะเล
หาดทรายแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่บรรจบกันทางธรรมชาติเท่านั้น ยังเป็นพื้นที่ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มาตั้งถิ่นฐานด้วย เมื่อหนึ่ง-สองพันปีก่อน ชนเผ่าบาไซ (Basay) ซึ่งเป็นหนึ่งในชนเผ่าพื้นเมืองในพื้นที่ราบ หรือที่เรียกว่าผิงผู่ ได้เดินทางจากดินแดนในตำนานที่เรียกว่า Sanasai มายังไต้หวัน และขึ้นฝั่งที่หาดหลงเหมิน (龍門) จากนั้นกลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนย้ายขึ้นไปทางเหนือ จนกลายเป็นเผ่าคีตากาลัน (Ketagalan) อีกกลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนย้ายลงใต้ไปยังอี๋หลาน (宜蘭) และกลายเป็นเผ่าคาวาลัน (Kavalan) ยังมีกลุ่มหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แหลมซานเตียว และก่อตั้งชุมชนที่ปากแม่น้ำซวงซี ต่อมากลายเป็นชุมชนซานเตียว (幘貂社)
เมื่อ 300 ปีที่แล้ว บริเวณหลงเหมิน (龍門) และเอ้าตี่ (澳底) ถือเป็นเส้นทางคมนาคมทางเรือที่สะดวก จึงดึงดูดให้ชาวฮั่นอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หนึ่งในนั้นคือ อู๋ซา (櫋沙) ซึ่งใช้เอ้าตี่ (澳底) เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกเบิกพื้นที่อี๋หลาน สุสานของอู๋ซาในเอ้าตี่เป็นหลักฐานยืนยันทางประวัติศาสตร์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1895 หลังจากการลงนามสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ จุดแรกที่กองทหารรักษาพระองค์ของญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกบนเกาะไต้หวัน คือแถบเหยียนเหลียว (鹽寮) และได้ตั้งป้ายรำลึกการขึ้นฝั่ง ซึ่งปัจจุบันคือป้ายอนุสรณ์สถานต่อต้านญี่ปุ่นเหยียนเหลียว เมื่อได้ฟังเรื่องราวของชายหาดที่มีกลุ่มชนหลากหลายมาพบปะกัน ตลอดกว่า 2,000 ปี ก็จะเข้าใจได้ว่าประวัติศาสตร์ของไต้หวันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น และร่องรอยของความผันแปรที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ยังคงถูกซ่อนอยู่ในดินแดนแห่งนี้
คฤหาสน์ตระกูลอู๋ สไตล์ซานเหอย่วน ใช้หินถ่วงน้ำหนักเรือเป็นวัสดุก่อสร้าง หลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของการค้าทางทะเลในอดีต
อู๋หันเอิน จากสตูดิโอ Dawn Culture Studio พาทัวร์เดินชมชุมชน และแนะนำบ้านกรวดทราย ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
หลงเหมินที่ไม่ใช่โรงเตี๊ยม
หากต้องการสำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง การเดินทางไปยังหลงเหมิน ย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง
เคยได้ยินชื่อหลงเหมินไหม? อู๋หันเอิน (櫋駬恩) จาก Dawn Culture Studio มักจะโยนคำถามนี้ เพื่อเปิดบทสนทนาทุกครั้งที่นำคณะผู้สนใจออกเดินชมพื้นที่ บางคนอาจนึกถึงภาพยนตร์เรื่องเดชคัมภีร์แดนพยัคฆ์ (龍門客棧 Dragon Inn) หรือร้านเกี๊ยวชื่อดัง แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ (東餰角) กลับซ่อนเร้นภูมิหลังทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งเอาไว้
นับตั้งแต่ถนนเลียบชายฝั่งเปิดใช้งาน รถยนต์ส่วนใหญ่เลือกวิ่งผ่านนอกหมู่บ้าน ทำให้แทบไม่มีใครแวะเข้าไปในชุมชนจริง อู๋หันเอินเล่าว่า หลงเหมินเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำซวงซี (雙溪河) และมหาสมุทรแปซิฟิก ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่คึกคัก เนื่องจากติดปากแม่น้ำ จึงสามารถขนส่งสินค้าเชื่อมต่อไปยังจีหลงและตั้นสุ่ย รวมถึงทอดโยงเข้าสู่เส้นทางโบราณตั้นหลาน (淡蘭) และอี๋หลาน ทำให้ที่นี่เคยเป็นชุมชนรุ่งเรืองและใหญ่อันดับ 3 ของก้งเหลียว
เมื่อก้าวเข้าสู่หมู่บ้าน จะสัมผัสได้ทันทีว่าหลงเหมินเป็นชุมชนที่ผูกพันกับสายน้ำและท้องทะเลอย่างลึกซึ้ง ในอดีตผู้คนประกอบอาชีพด้วยการทำประมง ออกเรือลากอวนจับปลากลางทะเล ส่วนฤดูหนาวก็จะจับลูกปลาไหลที่ปากแม่น้ำซวงซี อาหารประจำถิ่นที่เรียกว่า ข้าวลากอวน ถือกำเนิดขึ้นจากวิถีนี้ เป็นเสบียงของชาวประมงที่ออกหาปลา โดยนำเห็ดหอม หมูสับ และกากหมูผัดเข้าด้วยกัน เติมข้าวสารหุงจนสุก แล้วห่อด้วยใบมาคารังกา (macaranga) หรือใบปอทะเล แล้วมัดด้วยหญ้ากกที่ขึ้นริมแม่น้ำ กลายเป็นรสชาติพื้นถิ่นที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์จากการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นแท้ ๆ
ใกล้บ่อน้ำโบราณอายุกว่าร้อยปี มีคฤหาสน์ตระกูลอู๋สไตล์ซานเหอย่วน (บ้านสามเรือนล้อมลาน) ที่ก่อด้วยหินอย่างงดงามและสมบูรณ์ตั้งอยู่ อู๋หันเอินเล่าว่า หินแท่งยาว 2–3 เมตร ที่ใช้ทำฐานรากของเรือนหลังนี้คือ หินถ่วงเรือที่บรรทุกมาพร้อมกับเรือสินค้า สะท้อนถึงความมั่งคั่งจากการค้าทางเรือของตระกูลใหญ่ในอดีต และเป็นหลักฐานสำคัญในประวัติศาสตร์การบุกเบิกหลงเหมินอีกด้วย นอกจากนี้ ตามตรอกซอกซอยในหลงเหมิน ยังพบเห็นบ้านกรวดทราย ซึ่งใช้หินทรายที่ตกตะกอนอยู่ในแม่น้ำซวงซีมาก่อสร้าง มีคุณสมบัติกันลมและกันน้ำได้ดี เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ในหมู่บ้านเงียบสงบแห่งนี้ วัฒนธรรมการทำประมง การตั้งถิ่นฐานของชาวฮั่น ความรุ่งเรือง และเสื่อมถอยของการคมนาคมทางน้ำ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวพื้นเมืองกับชาวฮั่น และความอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณชายหาดที่หลากหลาย ทุกเรื่องราวเหล่านี้ ต่างซ้อนทับและหลอมรวมอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ในชุมชนอันเงียบสงบแห่งนี้
บนถนนเก่าก้งเหลียว ชาวบ้านตั้งแผงขายผักสดท้องถิ่นที่หน้าบ้านอย่างภาคภูมิใจ
ตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เล่นบนถนนเก่าก้งเหลียว
กัวเฉิงเมิ่งมองว่า การใช้วิถีชีวิตเป็นแกนกลางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น คือเสน่ห์เฉพาะของไต้หวัน หากหลงเหมินคือชุมชนประวัติศาสตร์ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างแม่น้ำกับทะเลแล้ว ถนนเก่าก้งเหลียวก็เป็นพื้นที่ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ ที่อบอวลด้วยน้ำใจไมตรีของผู้คน
ถนนสายนี้ยาวไม่ถึง 200 เมตร แต่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวในความทรงจำของผู้คน ต้นถนนมีคลินิกเล่อเหวิน (樂文) ของหมอจางอินเชา (章殷超) ผู้คอยดูแลสุขภาพชาวก้งเหลียวมายาวนาน ไม่เพียงจัดรถรับส่งคนไข้ถึงบ้าน แต่ยังออกตรวจรักษาคนไข้ถึงบ้านในพื้นที่ภูเขาห่างไกล
ตลอดสองฟากฝั่งของถนนสายเก่ายังมีร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ของผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว ร้านตัดผมโบราณ ร้านขนมเฉาอาก้วย (草蓎粿) - ขนมพื้นบ้านไต้หวันทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำคั้นโกฐจุฬาลัมพา ห่อไส้คาวหรือหวาน นึ่งจนหนึบหอม และแผงผักหน้าบ้านของคุณป้าที่ขายผักพื้นบ้านตามฤดูกาลกับฮ่วยซัว หรือกลอยพื้นเมือง (山藥) โดยยึดหลักขายเฉพาะของคุณภาพดีที่ผู้ซื้อมั่นใจได้
ในอดีต ถนนสายเก่าแห่งนี้เคยคึกคักเป็นอย่างยิ่ง มีแผงขายเนื้อหมูมากถึง 8–9 แผง และเต็มไปด้วยร้านรวงที่ขายสินค้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าสำคัญสำหรับผู้คนทั้งจากบนภูเขาและชุมชนชายฝั่งทะเล แม้วันนี้จะไม่คึกคักรุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับมีเสน่ห์ในความเรียบง่าย ชาวบ้านยังคงไปซักผ้าที่ลำธารฟางเจี่ยว (枋腳溪) และนั่งพูดคุยสัพเพเหระกัน
ที่ท้ายถนนมีร้านหลีเหอเหอ (狸譊禾) ขายผลผลิตเกษตรและงานหัตถกรรมท้องถิ่นหลากหลาย ผนังฟางข้าวในร้าน ถูกนำมาดัดแปลงกลายเป็นผนังจัดแสดง โดยทำจากรวงข้าวที่หักล้มจากพายุไต้ฝุ่น เป็นภาพที่สะท้อนร่องรอยแห่งความลำบากของชาวนาไว้อย่างลึกซึ้ง
ผู้คนที่นี่ทุกคนก็เหมือนตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เล่น (Non-Player Character: NPC) ที่คุณต้องเข้าไปพูดคุยกับเขา แล้วคุณจะพบว่ามีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่เบื้องหลัง หยวนอีเจี๋ย (袁憡婕) เจ้าของร้าน U Pudding Coffee เล่าพร้อมรอยยิ้ม ในสายตาของเธอ ถนนเก่าก้งเหลียวอาจไม่ใช่สถานที่ที่คึกคักหรือเต็มไปด้วยการค้า หากแต่อบอวลด้วยอิสระและความอบอุ่น ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่
ร้านค้า หลี่เหอเหอ บนถนนเก่าก้งเหลียว เป็นพื้นที่จัดแสดงที่เชื่อมโยงระบบนิเวศและการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว มารับฟังเรื่องราวการฟื้นฟูนาขั้นบันได
วุ้นสาหร่ายเจลิเดียมของอาม่าชาวเล
ชีวิตริมชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ได้ดำเนินอยู่เพียงบนบกเท่านั้น หากยังผูกพันอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นอีกด้วย ที่เอ้าตี่ เราได้พบกับอาม่าเฉินเยว่หยุน (陳月雲) คุณย่านักดำน้ำ ผู้สืบสานวิถีทะเลมากว่า 60 ปี
ฉันเริ่มดำน้ำตั้งแต่อายุสิบขวบ อาม่าเฉิน วัย 74 ปีกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ชาวบ้านแถบนี้เรียกการดำน้ำเช่นนี้ว่า ฉาง-สุ่ย (tshàng-tsuí) หมายถึงการดำลงไปใต้น้ำเพื่อเก็บสาหร่ายเจลิเดียม (gelidium) เม่นทะเล และสัตว์ทะเลอื่น ๆ อีกกิจกรรมหนึ่งเรียกว่า เคี้ยะ-ซัว (khi▼-suann) คือการออกหากินตามเขตน้ำขึ้นน้ำลง เดินเก็บหรือปีนไปบนโขดหินเพื่อหาสัตว์น้ำ อาม่าผู้นี้เล่าว่า สมัยก่อน ชีวิตริมทะเลลำบากมาก คนอยู่บนภูเขาพึ่งพาภูเขา คนหาปลาก็ต้องพึ่งพาทะเล สำหรับคนที่อาศัยอยู่ริมชายฝั่ง ก็อยู่ได้ด้วยการเก็บหาของทะเลเพื่อยังชีพ
ฤดูกาลเก็บสาหร่ายเจลิเดียมบริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนของทุกปี โดยจะดำน้ำลงไปเก็บในช่วงน้ำลด สาหร่ายที่ได้จะถูกนำมาล้างและตากแห้งซ้ำถึง 7 ครั้ง เพื่อขจัดเศษหินและสิ่งสกปรกปนเปื้อนออก จนสีเปลี่ยนจากแดงน้ำตาลเป็นเหลืองอ่อน จากนั้นจึงนำไปต้มเป็นวุ้นที่อัดแน่นด้วยรสชาติแห่งท้องทะเล
งานของนักดำน้ำแห่งท้องทะเล เต็มไปด้วยความเสี่ยง ต้องอาศัยประสบการณ์ในการประเมินสภาพคลื่นลม แม้ถึงวัยที่ควรพักผ่อนอย่างสุขสบาย แต่การดำน้ำก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเมื่อฤดูเก็บสาหร่ายเวียนมาถึง เธอจะออกตามเสียงเรียกของท้องทะเลอีกครั้ง การดำน้ำลงไปเก็บสาหร่ายเจลิเดียม เพื่อนำมาทำวุ้นเนื้อนุ่มหนึบหนับ จึงเป็นการเฝ้าดูแลรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเอาไว้
หลังจากเก็บสาหร่ายเจลิเดียมแล้ว จะต้องนำมาผ่านกระบวนการล้างและตากแห้ง 7 รอบจนสีแดงน้ำตาลค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน จึงนำไปต้มเป็นวุ้นที่เปี่ยมด้วยรสชาติจากท้องทะเล
วุ้นสาหร่ายเจลิเดียม คือรสชาติแห่งชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ แต่ละคำที่ได้มา ไม่ง่ายเลย
ลิ้มลองรสชาติแห่งท้องทะเล
เมื่อเดินเลียบชายฝั่งขึ้นไปทางเหนือ แสงแดดของอ่าวซานเตียวสาดส่องลงบนแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ที่นี่คือที่ตั้งของฟาร์ม Nice Store เนื่องจากบริเวณทะเลอ่าวซานเตียว เป็นจุดบรรจบของกระแสน้ำทะเล ประกอบกับความเค็มของน้ำทะเลที่คงที่ มีโซนช่วงน้ำขึ้นน้ำลงที่เต็มไปด้วยโขดหิน จึงเหมาะสมกับการเป็นแหล่งเติบโตของหอยเป๋าฮื้อ กล่าวได้ว่า 80% ของผลผลิตหอยเป๋าฮื้อในไต้หวันมาจากอ่าวแห่งนี้
หลี่เซิ่งซิง (李謆興) ผู้ก่อตั้ง Nice Store เป็นชาวก้งเหลียวโดยกำเนิด เขากลับบ้านเกิดเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพื่อสืบทอดกิจการเพาะเลี้ยงจากพ่อ จากที่เคยเลี้ยงเพียงหอยเป๋าฮื้อ ปัจจุบันได้ขยายไปสู่การเลี้ยงกุ้งขาว สาหร่ายพวงองุ่น และเม่นทะเลสีม่วงอีกด้วย ช่วยชุบชีวิตบ่อเพาะเลี้ยงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทิ้งร้าง ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เมื่อมาเยือน Nice Store นอกจากจะเลือกซื้ออาหารทะเลสด ๆ ได้แล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถร่วมทัวร์ ชมระบบนิเวศของฟาร์มเพาะเลี้ยง ลองย่างหอยเป๋าฮื้อด้วยตัวเอง หรือจับสายฉีดน้ำให้อาหารหอยเป๋าฮื้อ หลี่เซิ่งซิง ผู้คร่ำหวอดในเมนูหอยเป๋าฮื้อบอกว่า การย่างไฟคือวิธีที่ได้รสชาติของหอยเป๋าฮื้อดีที่สุด เพราะเป็นรสชาติในความทรงจำ ฤดูเก็บหอยเป๋าฮื้อจะเริ่มตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วง ยาวไปถึงฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงที่ลมหนาวจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดแรง บรรดาผู้ใหญ่ในบ้านจะยุ่งกับการเก็บหอย ส่วนเด็ก ๆ จะนั่งผิงไฟคลายหนาว แล้วแอบเอาหอยเป๋าฮื้อไปย่างกิน แม้จะโดนดุบ่อย ๆ แต่เป็นภาพในความทรงจำที่ยากต่อการลืมเลือน
ปัจจุบัน หลี่เซิ่งซิง ได้นำวัตถุดิบสดใหม่จากอ่าวซานเตียว มาแปรรูปเป็นเมนูใหม่ ๆ อย่าง เส้นบะหมี่สาหร่ายพวงองุ่น พิซซ่าหน้าทะเล เป็นต้น เป็นการส่งเสริมให้รสชาติจากทะเลชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน หลี่เซิ่งซิงเชื่อว่า การสร้างสรรค์ท้องถิ่นต้องสร้างอุตสาหกรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์ในพื้นที่ เพื่อดึงให้คนรุ่นใหม่กลับบ้าน และพร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ ฟาร์มเพาะเลี้ยงที่สะท้อนแสงระยิบระยับดุจคลื่นทะเล จึงเป็นเหมือนการใช้ชีวิตอย่างมั่นคง ที่ค่อย ๆ บ่มเพาะรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ
พื้นที่อ่าวซานเตียวเต็มไปด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ระบบนิเวศชายฝั่งและภูมิปัญญาของผู้คนริมทะเล ซึ่งรอให้นักเดินทางเข้ามาค้นหา เพียงแค่คุณยอมผ่อนจังหวะชีวิต เปิดประสาทสัมผัสให้กว้าง ดินแดนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ พร้อมตอบรับการมาเยือนของคุณในแบบที่ไม่คาดคิด
หลี่เซิ่งซิง จากฟาร์ม Nice Store ฟื้นฟูฟาร์มสัตว์น้ำเก่าร้าง ทำการเพาะเลี้ยงกุ้งขาว และเม่นทะเลสีม่วงอย่างยั่งยืน
ฟาร์ม Nice Store อาศัยความเหมาะสมของสภาพชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ผสานกับการเพาะเลี้ยงแบบเป็นมิตร เพื่อเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อและสาหร่ายพวงองุ่น ให้ผู้คนได้ลิ้มรสภูมิปัญญาและรสชาติจากธรรมชาติของชายฝั่งแห่งนี้


