จู๋จื่อหู มิได้มีชื่อเสียงแค่ดอกไม้
ตามรอยการผลิตข้าวในไต้หวัน
เนื้อเรื่อง‧กัวเหม่ยอวี๋ ภาพ‧จวงคุนหรู แปล‧ แสงชัย กิตติภูมิวงศ์
กันยายน 2025
จู๋จื่อหู (竹子湖) เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะแหล่งปลูกดอกคาลล่า ลิลลี่ (Calla Lily) ที่งดงามราวกับภาพในฝัน ทว่าเมื่อย้อนเวลากลับไปราวร้อยปีก่อน พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวเผิงไหลหรือข้าวจาปอนิกา (蓬萊米) ซึ่งเป็นข้าวเมล็ดสั้น และเป็นหนึ่งในพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่สำคัญของไต้หวัน
ในปัจจุบัน จู๋จื่อหูได้เริ่มฟื้นคืนภาพวันวานผ่านการจัดตั้งชมรมนาข้าวเผิงไหล ซึ่งร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ในการปลูกข้าวพันธุ์นาคามูระ (Nakamura) บนผืนนาขนาดราว 100 ตารางเมตร บริเวณติ่งหู (頂湖) การปลูกข้าวในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพื่อทดลองหรืออนุรักษ์พันธุ์พืชเท่านั้น แต่ยังเป็นการสานต่อเรื่องราวประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า และฟื้นชีวิตให้กับทุ่งนาอันงดงามในอดีตของจู๋จื่อหูอีกครั้ง
ข้าวเป็นอาหารหลักของชาวไต้หวัน โดยข้าวที่รับประทานกันเป็นประจำคือข้าวเผิงไหล ซึ่งเป็นข้าวเมล็ดสั้น ในขณะที่ข้าวที่ใช้ทำอาหารแบบดั้งเดิม เช่น ขนมผักกาด (蘿蔔糕) ขนมวาก้วย (碗粿) หรือเส้นหมี่นั้น จะใช้ข้าวไจ้ไหลหรือข้าวเจ้าพันธุ์อินดิกา (在來米) ซึ่งเป็นข้าวเมล็ดยาว
ข้าวเผิงไหลถือกำเนิดขึ้นในช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน โดยมีการพัฒนาพันธุ์ต่อเนื่องในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบันมีเกินกว่า 200 สายพันธุ์แล้ว ไม่เพียงแต่มีสายพันธุ์เหมาะกับการบริโภคทั่วไป ยังมีข้าวที่มีคุณสมบัติเชิงหน้าที่ (Functional Rice) ตลอดจนข้าวที่ปลูกเป็นลวดลายหลากสีสันในท้องนา เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากจู๋จื่อหู
จู๋จื่อหู ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน (Yangmingshan National Park) ซึ่งมีระดับความสูงจากน้ำทะเล 650-670 เมตร พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบที่เกิดจากลาวาซึ่งไหลมาปิดกั้นทางน้ำ หลังการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อราว 350,000 ปีก่อน ต่อมาถูกกัดเซาะจนเกิดช่องทางให้น้ำไหลออก ทะเลสาบจึงค่อย ๆ แห้งกลายเป็นแอ่งพื้นที่ต่ำ ซึ่งบริเวณนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขา โดยทางตะวันออกคือเขาชีซิงซาน (七星山) ทางเหนือคือเขาเสี่ยวกวนอินซาน (小觀音山) ทางตะวันตกคือเขาต้าถุนซาน (大屯山) และทางใต้สามารถมองลงไปเห็นที่ราบของกรุงไทเปได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ พื้นที่นี้ยังถูกแบ่งออกเป็น 3 เขตย่อย ได้แก่ ตงหู (東湖) ติ่งหู (頂湖) และเซี่ยหู (下湖)
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ งานเทศกาลชมดอกคาลล่า ลิลลี่ของจู๋จื่อหู จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายขึ้นเขามาชมดอกไม้ จนดอกคาลล่า ลิลลี่ กลายเป็นจุดเด่นของที่นี่ อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2011 ชาวบ้านและเกษตรกรผู้ปลูกดอกไม้ในพื้นที่เริ่มสืบค้นประวัติศาสตร์ของข้าวในท้องถิ่น พวกเขารวมตัวกันจัดตั้งชมรมนาข้าวเผิงไหลพันธุ์ดั้งเดิมจู๋จื่อหู และร่วมมือกับภาควิชาพืชไร่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ฟื้นฟูการปลูกข้าวเผิงไหล โดยในปี ค.ศ. 2016 ได้ปลูกพันธุ์ข้าวนาคามูระที่สูญหายไปหลายสิบปี ฟื้นคืนภาพวิถีข้าวในอดีตให้กลับมาอีกครั้ง

ชาวนาในเขตจู๋จื่อหูรวมกลุ่มกันก่อตั้งชมรมนาข้าว เพื่อฟื้นฟูและปลูกข้าวพันธุ์นาคามูระ (Nakamura) ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของข้าวพันธุ์เผิงไหล (蓬萊米) เมื่อ 100 ปีที่แล้ว
การฟื้นฟูข้าวนาคามูระ โดยชาวนาแห่งจู๋จื่อหู
ในช่วงฤดูหนาวของเดือนธันวาคม ที่จู๋จื่อหูจะมีสายฝนโปรยปรายบางเบา อุณหภูมิต่ำกว่าตัวเมืองราว 5 องศาเซลเซียส เมื่อมองไปยังยอดเขาในระยะไกล จะเห็นหมอกขาวลอยล่องละมุนตา และระหว่างที่เดินทอดน่องบนเส้นทางภูเขาท่ามกลางละอองหมอก บรรยากาศรอบตัวก็ชวนให้รู้สึกราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในบทกวี ในยามนี้ คุณเฉินหย่งหรู (陳永如) ชาวสวนดอกไม้และยังเป็นหัวหน้าชมรมนาข้าวเผิงไหล ได้หอบถุงข้าวพันธุ์นาคามูระ สามถุงเล็กที่ผ่านการตากแดดมาแล้ว มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนประถมหูเถียน (湖田) เพื่อขอยืมอุปกรณ์สำหรับสีข้าว
เครื่องฝัดข้าวแบบโบราณที่สั่งซื้อทางออนไลน์ดูเก่าแก่และผ่านการใช้งานมานาน คุณเฉินหย่งหรู รีบจัดการเทข้าวเปลือกลงในช่องป้อนของเครื่อง จากนั้นใช้มือขวาหมุนด้ามจับ และใช้มือซ้ายเขย่ากระบะขึ้นลง ข้าวเปลือกค่อย ๆ ไหลลงจากช่องป้อนสู่กล่องรับ
ดูนี่สิ นี่คือข้าวเมล็ดลีบ คุณเฉินหย่งหรูกล่าวพลางชี้ไปยังเปลือกข้าวที่ลอยออกจากเครื่องตามแรงลม แกลบและสิ่งแปลกปลอมจะถูกลมพัดออกไป ส่วนเมล็ดข้าวที่หนักกว่าจะตกลงสู่ช่องทางออกที่ลาดเอียง
ข้าวเปลือกจะต้องผ่านขั้นตอนส่งเข้าเครื่องสีหลายครั้ง หลังแยกสิ่งแปลกปลอมออก ข้าวเปลือกเมล็ดสมบูรณ์จะถูกนำเข้าสู่เครื่องสีข้าวเพื่อกะเทาะเปลือก ในขั้นแรกเป็นการแยกเอาเปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบออก จากนั้นจะขัดชั้นรำหรือเยื่อหุ้มเมล็ดเพื่อแยกรำข้าว และในขั้นสุดท้ายจึงได้ข้าวสารคุณภาพดี แกลบและรำข้าวที่แยกออกมา จะถูกเก็บไว้ใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนข้าวสารจะถูกนำไปบริโภค ข้าวที่เพิ่งสีมาใหม่ ๆ แบบนี้จะอร่อยที่สุด ถ้าเก็บไว้นาน กลิ่นหอมจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว คุณเฉินหย่งหรูอธิบาย
ในวันถัดมา สมาชิกชมรมนาข้าวราว 20 คน พร้อมด้วยอาสาสมัครจากสมาคมเออิคิจิ อิโสะ (Eikichi Iso Historical Association) ได้มารวมตัวกันที่ภัตตาคารเหมียวป่าง (Miao Bang Garden Restaurant) เพื่อร่วมลิ้มรสข้าวนาคามูระที่หุงแล้ว และแลกเปลี่ยนเรื่องราวการปลูกคาลล่า ลิลลี่ และข้าวอย่างเพลิดเพลิน ข้าวจึงไม่ใช่เพียงอาหาร หากยังกลายเป็นสายใยที่สานสัมพันธ์อันอบอุ่นในชุมชนชนบทด้วย
ทุกวันนี้ ข้าวที่ผู้คนทั่วไปนิยมบริโภคคือ ข้าวไถจิง 9 ซึ่งมีลักษณะเมล็ดใสและเหนียวนุ่ม ส่วนข้าวนาคามูระนั้น เมล็ดดูขาวขุ่นเล็กน้อย มีเส้นสีน้ำตาลพาดตรงกลางเมล็ด เมื่อหุงสุกจะได้ข้าวที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เนื้อสัมผัสแข็งเล็กน้อยและเหนียวนุ่มเคี้ยวเพลิน
ในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ข้าวพันธุ์นี้ถือว่ามีรสชาติเยี่ยมมาก แต่สำหรับชมรมนาข้าวในปัจจุบัน ข้าวพันธุ์นาคามูระไม่ใช่เรื่องของรสชาติอีกต่อไป หากแต่คือประวัติศาสตร์ที่เราต้องการรักษาไว้ คุณเฉินหย่งหรูกล่าว

คุณเฉินหย่งหรู ผู้ประสานงานชมรมนาข้าวแห่งนาข้าวเผิงไหลพันธุ์ดั้งเดิมที่จู๋จื่อหู ขณะกำลังใช้เครื่องสีข้าว (ภาพ กัวเหม่ยอวี๋)
เรื่องเล่าของข้าวเผิงไหล
ในช่วงราชวงศ์หมิงและชิง ผู้อพยพจากมณฑลฝูเจี้ยนและกวางตุ้งในจีน ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในไต้หวัน พร้อมนำพันธุ์ข้าวอินดิกา (Indica rice) หรือข้าวเมล็ดยาวเข้ามาด้วย ต่อมาในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน คนญี่ปุ่นไม่คุ้นเคย เนื่องจากข้าวชนิดนี้ไม่เหนียวนุ่มถูกปากแบบข้าวจาปอนิกา (Japonica rice) ของญี่ปุ่น จึงเริ่มมีการปลูกข้าวจาปอนิกาในไต้หวัน
สำนักงานบริหารอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซาน เปิดเผยว่า ในปี ค.ศ. 1921 นายอิวะโอะ สุซึตะ (Iwao Suzuta) เจ้าหน้าที่ฝ่ายเกษตรจากสถาบันวิจัย ภายใต้การกำกับของรัฐบาลไต้หวัน ในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครอง ร่วมกับนายคิอิชิโร่ ฮิระซาวะ (Kiichiro Hirazawa) เจ้าหน้าที่จากสมาคมเกษตร ได้เดินทางเข้ามาสำรวจพื้นที่รอบภูเขาต้าถุน พวกเขาพบว่าบริเวณจู๋จื่อหู มีภูมิอากาศคล้ายคลึงกับเกาะคิวชูของญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีภูมิประเทศที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสามด้าน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการผสมข้ามสายพันธุ์ จากการถ่ายละอองเกสรตามธรรมชาติ และยังสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคและแมลงได้อย่างดี จึงเห็นว่าพื้นที่นี้เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวพันธุ์บริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้จัดตั้งนาข้าวพันธุ์ดั้งเดิมขึ้นที่จู๋จื่อหู และพบว่าข้าวพันธุ์ญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า นาคามูระ (Nakamura) เจริญเติบโตได้ดีในจู๋จื่อหู ซึ่งเป็นพื้นที่สูง แต่เมื่อนำไปปลูกในพื้นที่ราบหลายแห่ง กลับไม่ประสบความสำเร็จ

เด็กนักเรียนโรงเรียนประถมหูเถียน พากันสนใจและทดลองใช้ เครื่องฝัดข้าวโบราณที่พบเห็นได้ยาก (ภาพ กัวเหม่ยอวี๋)
แหล่งกำเนิดของข้าวนาคามูระ และ ข้าวไทจง 65
คุณเชี่ยเจ้าซู (謝兆樞) ศาสตราจารย์เกียรติคุณแห่งภาควิชาพืชไร่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน กล่าวว่า นายเมงุมุ สุเอนากะ (Megumu Suenaga) ผู้อำนวยการสถานีทดลองการเกษตรไทจงในขณะนั้น (ปัจจุบันคือสถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรเขตไทจง กระทรวงเกษตร) ได้รับการช่วยเหลือจากนายเออิคิจิ อิโซะ (Eikichi Iso) นักวิชาการของสถานีทดลองการเกษตรแห่งรัฐบาลไต้หวัน โดยในปี ค.ศ. 1923 เขาเสนอวิธีการปลูกแบบใหม่คือ การปักดำต้นกล้าอ่อน และประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ และทำให้สามารถขยายพื้นที่ปลูกข้าวพันธุ์นาคามูระอย่างแพร่หลาย จากภาคเหนือไปยังภาคใต้ของไต้หวัน
ต่อมาในปี ค.ศ. 1926 ได้มีการคัดเลือกพันธุ์โดย อิโยะ เซนโงคุ (Iyo Sengoku) จนได้พันธุ์ข้าวใหม่ที่ต้านทานโรคได้ดีชื่อว่า เจียอี้หวั่น 2 (嘉義晚二號) ซึ่งเข้ามาแทนที่ข้าวพันธุ์นาคามูระ จากนั้นเริ่มเป็นที่นิยมทั่วไต้หวัน และในปีเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นในไต้หวันได้ประกาศให้ใช้ชื่อข้าวเผิงไหล เป็นชื่อเรียกข้าวพันธุ์ญี่ปุ่นที่ผ่านการปรับปรุงและปลูกในไต้หวัน โดยคำว่า เผิงไหล สื่อความหมายจากคำว่า เกาะเผิงไหลเซียนเต่าหรือเกาะสวรรค์เผิงไหล (蓬萊仙島) ตั้งแต่นั้นมา คำว่าข้าวเผิงไหล จึงกลายเป็นชื่อเรียกข้าวจาปอนิกาที่ปลูกในไต้หวัน ส่วนข้าวอินดิกาพื้นบ้านเดิมของไต้หวัน ได้ถูกเรียกว่า ข้าวไจ้ไหล (在來米)
การปรับปรุงพันธุ์ข้าวในไต้หวันเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1924 โดยนายเมงุมุ สุเอนากะ (Megumu Suenaga) ซึ่งได้นำพันธุ์ข้าวคาเมจิ (Kameji) มาผสมกับพันธุ์ชินริกิ (Shinriki) และดำเนินการคัดเลือกสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้ข้าวพันธุ์ใหม่ในปี ค.ศ. 1929 ชื่อว่า ไทจง 65 (台中65號)
ในแง่งานวิจัยทางวิชาการ การพัฒนาข้าวพันธุ์ไทจง 65 ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาข้าวของไต้หวัน ศ. เซี่ยเจ้าซู (謝兆樞) ระบุว่า ข้าวพันธุ์นี้ให้ผลผลิตสูง มีคุณภาพดี และมีความต้านทานต่อโรคไหม้ข้าว อีกทั้งยังมีการนำไปเพาะปลูกในที่นาดั้งเดิมจู๋จื่อหู เพื่อเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์และเผยแพร่ต่อไปทั่วประเทศ จนกลายเป็นหนึ่งในสายพันธุ์หลักของข้าวเผิงไหลในยุคเริ่มต้นของไต้หวัน
คุณสิงอวี่อี (邢禹依) นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันพืชและจุลชีววิทยา (Institute of Plant and Microbial Biology) ภายใต้สังกัดสถาบันวิจัยแห่งชาติไต้หวัน (Academia Sinica) ระบุว่า จุดเด่นสำคัญที่สุดของข้าวพันธุ์ไทจง 65 คือสามารถปลูกได้ปีละสองรอบ และยังถูกนำมาใช้เป็นพันธุ์พ่อแม่ในการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่อีกหลายชนิด ปัจจุบันข้าวเผิงไหลมากกว่า 85% ที่ปลูกในไต้หวัน ล้วนมีเชื้อสายสืบเนื่องมาจากข้าวไทจง 65 ทั้งสิ้น
ข้าวพันธุ์นาคามูระ แม้จะเคยรุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็หายไปจากผืนนาในไต้หวัน เพราะไม่สามารถต้านทานโรคไหม้ข้าวได้
แต่ในปัจจุบัน ชมรมนาข้าวแห่งจู๋จื่อหูประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูพันธุ์นาคามูระขึ้นอีกครั้ง
ศ. เผิงหยุนหมิง (彭雲明) จากภาควิชาพืชไร่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน กล่าวว่า การที่สามารถปลูกกลับมาได้อีกครั้ง มันคือเรื่องราวที่น่าประทับใจ ซึ่งการฟื้นฟูพันธุ์นี้สำเร็จได้เพราะความพยายามของหลายฝ่าย โดยเฉพาะ ศ. เซี่ยเจ้าซู ที่เป็นผู้นำในการติดต่อขอรับเมล็ดพันธุ์ จากสถาบันวิจัยพันธุกรรมแห่งชาติของญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งยินดีมอบเมล็ดพันธุ์ให้ ต่อมาได้รับการสนับสนุนทางเทคนิค จากสถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรเขตไทจง และสามารถปลูกสำเร็จที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันในปี ค.ศ. 2015 และกลับมาปลูกที่จู๋จื่อหูอีกครั้งในปี ค.ศ. 2016

สมาชิกชมรมนาข้าวข้าวเผิงไหลพันธุ์ดั้งเดิมที่จู๋จื่อหู มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า ชิมข้าวใหม่ด้วยความยินดี
ตามรอยข้าวในจู๋จื่อหู
นายเออิคิจิ อิโซะ (Eikichi Iso) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาด้านการปรับปรุงพันธุ์และการวิจัยข้าวในไต้หวัน เขาเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาการเกษตรเขตร้อนแห่งที่ 3 สังกัดคณะวิทยาศาสตร์และเกษตร มหาวิทยาลัยจักรวรรดิไทโฮกุ (Taihoku Imperial University) ซึ่งภายหลังกลายมาเป็นภาควิชาพืชไร่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันในปัจจุบัน นอกจากนี้ อิโซะยังเคยทำงานในห้องเตรียมการปรับปรุงพันธุ์ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันเรียกขานกันว่า บ้านเออิคิจิ อิโซะ อีกทั้งเขายังมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งที่ทำการและคลังเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวเผิงไหลที่จู๋จื่อหูในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นหอเรื่องราวข้าวเผิงไหล ซึ่งสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน โดยแห่งหนึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์วิจัยข้าว ส่วนอีกแห่งเป็นสถานีขยายพันธุ์ข้าวพันธุ์ดั้งเดิม ปัจจุบันทั้งสองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรุงไทเป โดยกระทรวงวัฒนธรรม
นายเออิคิจิ อิโซะ (Eikichi Iso) ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลังว่าเป็นบิดาแห่งข้าวเผิงไหล ขณะที่นายเมงุมุ สุเอนากะ (Megumu Suenaga) ผู้ปรับปรุงพันธุ์เผิงไหล ก็ได้รับการเรียกขานว่ามารดาแห่งข้าวเผิงไหล
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักงานวิศวกรรมธรณี สังกัดกองโยธา กรุงไทเป ได้ดำเนินการปรับปรุงลำธารและตลิ่งหลายสายในจู๋จื่อหู บริเวณทางเข้าชุมชนตงหูและจู๋จื่อหู ใกล้กับเส้นทางเดินเลียบธารน้ำที่สุ่ยเชอเหลียว (水車寮) มีทางแยกสายหนึ่งที่มุ่งไปยังโรงสีข้าว ซึ่งในสมัยญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ได้ถูกสร้างขึ้นจากการระดมทุนของผู้มีฐานะในท้องถิ่น แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงซากกังหันน้ำหนึ่งตัวและกำแพงหนึ่งด้าน แต่ทางการได้ติดตั้งผนังกระจกใส พร้อมภาพอธิบายโครงสร้างของกังหันน้ำสมัยก่อน เพื่อกระตุ้นความทรงจำและจินตนาการของผู้คนต่อวิถีชีวิตในชนบท

กลุ่มชาวนาที่จู๋จื่อหูไม่ได้ให้ความสำคัญกับรสชาติของข้าวนาคามูระ แต่คำนึงถึง เรื่องราวท้องถิ่นที่แฝงอยู่ในข้าวพันธุ์นี้ต่างหาก
ปรับภูมิทัศน์ลำธาร สร้างทางเดินเชื่อมต่อเส้นทางหลักแห่งไทเป
ทางเดินเลียบลำธารไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่พักผ่อนหรือออกกำลังกาย สำหรับผู้คนในเมืองเท่านั้น หากแต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางหลักแห่งไทเป (台北大縱走) ซึ่งเชื่อมโยงภูเขาสำคัญทั้ง 5 ลูกรอบกรุงไทเปเข้าด้วยกัน เช่น เส้นทางสุ่ยเหว่ยปาลาข่า (水尾巴拉卡) เส้นทางเลียบลำธารหยางหมิงซี (陽明溪) เส้นทางวนรอบติ่งหู (頂湖環狀)
นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางวนรอบไร่ดอกคาลล่า ลิลลี่ (海芋環狀) ซึ่งเลียบลำธารผ่านสวนดอกไม้สวยงาม กลายเป็นจุดเดินชมยอดนิยมในช่วงฤดูคาลล่า ลิลลี่บาน

ที่ทำการนาข้าวเผิงไหลพันธุ์ดั้งเดิม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น หอเรื่องราวข้าวเผิงไหลพันธุ์ดั้งเดิม และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์ เพื่อสานต่อประวัติศาสตร์ข้าวเผิงไหลในไต้หวัน
เขียนเรื่องราวข้าวไต้หวันที่น่าสนใจ
ภูมิทัศน์ของจู๋จื่อหูเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในยุคปลายราชวงศ์ชิง เน้นชา ไผ่เมิ่งจง และส้ม ยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน เน้นการปลูกข้าวเผิงไหล ส่วนยุครัฐบาลสาธารณรัฐจีน (หลังปี ค.ศ. 1949) เปลี่ยนไปปลูกผักและดอกไม้เมืองหนาว และตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา จู๋จื่อหูเปลี่ยนบทบาทอีกครั้งเป็นเกษตรกรรมเชิงท่องเที่ยว เพื่อรองรับกระแสการพักผ่อนของผู้คนในเมือง ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานบริหารอุทยานหยางหมิงซาน พบว่า ดอกคาลล่า ลิลลี่ที่กลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่นั้น ถูกเกษตรกรนำเข้ามาปลูกตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้ว
เฉินหย่งหรูกล่าวว่า พวกเราไม่ได้ปลูกข้าวมา 40 ปีแล้ว พร้อมเสริมว่า จู๋จื่อหูคือสถานที่แรกที่ข้าวจาปอนิกาถือกำเนิดเมล็ดแรกในไต้หวัน การฟื้นฟูการปลูกข้าวอีกครั้งจึงมีความหมายอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเราตระหนักว่า จะต้องสืบทอดจากรุ่นก่อน แล้วส่งต่อให้รุ่นใหม่ เพื่อให้คนรุ่นหลังไม่ลืมเรื่องราวของที่นี่
การไปท่องเที่ยวที่จู๋จื่อหู จึงไม่ใช่เพียงเพื่อชมดอกคาลล่าลิลลี่ ไฮเดรนเยีย หรือกินผักพื้นบ้านกับไก่บ้านเท่านั้น แต่ยังควรค่าแก่การซึมซับเรื่องราวในอดีตที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิต และความหมายของแผ่นดินแห่งนี้


หอเรื่องราวข้าวเผิงไหลพันธุ์ดั้งเดิมที่จู๋จื่อหู จัดแสดงบรรยากาศเกษตรโบราณ และเครื่องมือการเกษตรยุคเก่า

นกยางเปียเดินเล่นเพลิดเพลินอย่างสบายใจในไร่ดอกคาลล่า ลิลลี่ ท่ามกลางความเงียบสงบบนภูเขา

ดอกคาลล่า ลิลลี่เป็นสัญลักษณ์ของจู๋จื่อหู

สำนักงานทรัพยากรดินกรุงไทเปได้ฟื้นฟูลำธาร สร้างภูมิทัศน์งดงาม เพื่อให้จู๋จื่อหูเหมาะกับการเดินป่าและพักผ่อนหย่อนใจ