พานพบออสโตรนีเซียน
ไต้หวันกับโลกมาบรรจบกัน ณ ที่แห่งนี้
เนื้อเรื่อง‧เติ้งหุ้ยฉุน ภาพ‧หลินหมินเซวียน แปล‧เจนนรี ตันตารา
มิถุนายน 2025

“เรือไถหม่าห้าว” (台馬號) ของขวัญจากสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ ประเทศพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกของไต้หวัน ถูกนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมก่อนประวัติศาสตร์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของไต้หวันกับกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน และยังเป็นสักขีพยานแห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศ
ไต้หวันถูกโลกมองเห็นในลักษณะที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไมโครชิปกลายเป็นคีย์เวิร์ดของไต้หวัน เมื่อศตวรรษที่แล้ว สินค้าที่ผลิตในไต้หวัน (Made in Taiwan หรือ MIT) แพร่หลายไปแทบจะทั่วโลก วงการวิชาการได้ทำการศึกษาเส้นทางการเดินทางไปยังหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกของกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน สันนิษฐานว่าไต้หวันอาจเป็นถิ่นกำเนิดของพวกเขา ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีตัวอักษร หยกไต้หวันยังเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายอย่างคึกคักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ไต้หวัน (National Museum of Prehistory) ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของไต้หวัน ก็คือสถานที่ที่บอกเล่าชีพจรของไต้หวัน ที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับโลก
พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ไต้หวัน (ต่อไปนี้เรียกว่า พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์) มีจุดเริ่มต้นมาจากการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายใต้ ในช่วงทศวรรษ 1980 มีการขุดพบโลงศพหินจำนวนมาก บริเวณสถานีรถไฟแห่งใหม่ของเมืองไถตง ซึ่งก็คือ “แหล่งโบราณคดีเปยหนาน” ที่รู้จักกันในปัจจุบัน การค้นพบมรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าว นำไปสู่การเปิดตัวพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ในปี ค.ศ. 2002
พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมอาคารในปี ค.ศ. 2020 และเปิดให้บริการใหม่ในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 2023 โดยใช้สโลแกน “ไต้หวันกับโลกมาบรรจบกัน ณ ที่แห่งนี้” เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับโลกอีกครั้ง

วัฒนธรรมเปยหนานค้นพบเครื่องประดับหยกจำนวนมาก แสดงถึงจุดรุ่งเรืองที่สุดของงานแกะสลักเครื่องหยกในยุคนั้น ภาพนี้คือ หยกรูปมนุษย์และสัตว์ ถือเป็นสมบัติประจำชาติ
เกาะคือเรือ ทะเลคือถนน
กลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียนคือกลุ่มชนและขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ที่ถูกกำหนดขึ้นจากภาษาออสโตรนีเซียนที่ใช้ คุณฟางจวินเหว่ย (方鈞瑋) หัวหน้าฝ่ายจัดแสดงและการเรียนรู้ของพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ เริ่มเล่าเรื่องจากทางเข้า “ห้องนิทรรศการออสโตรนีเซียน” ภัณฑารักษ์ฉายภาพแผนที่โลกแบบเมอร์เคเตอร์ โดยให้ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นจุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้นหันไปอยู่ด้านบน เพียงเปลี่ยนมุมมอง เราก็ได้เห็นพื้นทวีปที่ถูกโอบล้อมไปด้วยมหาสมุทร หมู่เกาะของกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน กระจัดกระจายไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก กลายเป็นองค์ประกอบหลักของภาพ ราวกับไข่มุกที่ถูกนำมาร้อยเรียงกันเป็นสายสร้อย
คุณฟางจวินเหว่ยอธิบายว่า “สำหรับชาวออสโตรนีเซียน เกาะเปรียบเสมือนเรือลำหนึ่ง ทรัพยากรบนเรือมีอย่างจำกัด เมื่อทุกคนลงเรือลำเดียวกัน ก็ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และทะเลไม่ใช่สิ่งกีดขวาง แต่เป็นถนนหนทางที่เชื่อมโยงหมู่เกาะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน” ชาวออสโตรนีเซียนอาจไม่มีแนวคิดเรื่อง “การตั้งถิ่นฐานแบบถาวร” แต่พวกเขามีจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยอยู่ในสายเลือด “พวกเขามีความยินดีที่จะเชื่อมโยง ติดต่อ แลกเปลี่ยนทรัพยากรต่าง ๆ กับเกาะใกล้เคียง ในวัฒนธรรมออสโตรนีเซียนมีเครือข่ายการแลกเปลี่ยนที่กว้างขวางมาก นี่คือหนึ่งในวิธีการหลบภัยธรรมชาติ โดยสามารถอพยพไปยังเกาะใกล้เคียงเพื่อหาที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องความยืดหยุ่นในปัจจุบันอย่างมาก”
การใช้ชีวิตแบบข้ามเกาะเช่นนี้ ทำให้ชาวออสโตรนีเซียนสามารถโลดแล่นไปทั่วท้องทะเล พวกเขาเป็นนักเดินเรือที่มีความชำนาญ ก่อนที่เทคโนโลยีการเดินเรือของชาติตะวันตกจะถูกคิดค้นขึ้น ชาวออสโตรนีเซียนก็สามารถเดินเรือ และไปตั้งรกรากบนดินแดนแห่งสุดท้ายของโลกที่ยังไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ โดยอาศัยการสังเกตดวงดาว สภาพอากาศ และกระแสน้ำในทะเล หากคำนวณช่วงเวลาของคลื่นอพยพครั้งสุดท้ายที่เดินทางไปถึงนิวซีแลนด์ จะอยู่ราวศตวรรษที่ 14 ซึ่งหมายความว่าชาวออสโตรนีเซียนได้ทำการสำรวจโลกเร็วกว่าชาวตะวันตกถึงหลายร้อยปี ความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า “เมื่อมองจากความสัมพันธ์ของเครือข่ายหมู่เกาะต่าง ๆ จะพบว่าพวกเขาไม่เคยอยู่โดดเดี่ยว ซึ่งรวมถึงไต้หวัน ยังคงเต้นไปพร้อมจังหวะของชีพจรโลก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”

ชาวออสโตรนีเซียนมีความเชี่ยวชาญด้านการเดินเรือ สำหรับพวกเขาแล้ว ท้องทะเลไม่ใช่สิ่งกีดขวาง แต่เป็นถนนที่เชื่อมโยงหมู่เกาะต่างๆเข้าด้วยกัน (ภาพจาก จวงคุนหรู)
การเดินทางระหว่างประเทศของหยกไต้หวัน
การขุดค้นพบเครื่องหยก เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ยืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้ว่าแหล่งผลิตหินหยกที่สำคัญของไต้หวัน อยู่ที่หมู่บ้านเฟิงเถียนในเมืองฮัวเหลียน แต่ก็มีการขุดพบหินหยกในแหล่งโบราณคดีอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงแหล่งโบราณคดีเปยหนานด้วย สะท้อนให้เห็นว่า เครื่องหยกมีการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนภายในเกาะอย่างคึกคัก
ไม่เพียงแต่บนเกาะเท่านั้น จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า หยกไต้หวันได้เดินทางไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ตัวอย่างเช่น ต่างหูหยกลิงลิง-โอ (Lingling-o) ที่มีปุ่มแหลมสามปุ่มยื่นออกมาด้านข้าง ซึ่งมีอายุราว 2,500 - 2,000 ปีที่แล้ว ถูกค้นพบในพื้นที่ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว ประเทศไทย และภาคกลางไปจนถึงภาคใต้ของเวียดนาม
“ต่างหูหยกลิงลิง-โอที่ค้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อไม่นานมานี้ กับต่างหูที่ถูกค้นพบในแหล่งโบราณคดีจิ้วเซียงหลาน (舊香蘭) ในเมืองไถตงของไต้หวัน มีลักษณะที่แตกต่างกันเล็กน้อย นักโบราณคดีจึงสันนิษฐานว่า อาจมีกลุ่มช่างฝีมือจากไต้หวันนำวัสดุเหล่านี้ เดินทางไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทำการประดิษฐ์เครื่องประดับให้เหมาะสมตามความต้องการของคนในท้องถิ่น จึงทำให้เกิดความแตกต่างกันเล็กน้อย” จากการวิเคราะห์วัสดุ ยังพบว่าหยกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็มีแร่โครไมต์ (Chromite) ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่บ่งชี้ว่า หยกเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากไต้หวัน จึงกล่าวได้ว่าเป็นอีกยุคหนึ่งของผลิตภัณฑ์ MIT และยังเป็นสิ่งยืนยันทฤษฎีที่ว่า ทะเลไม่เคยเป็นสิ่งกีดขวาง พวกเขามีการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปมาหาสู่กันตั้งแต่อดีตกาลแล้ว
เรื่องราวระดับนานาชาติในท้องถิ่น
เมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่งของห้องโถงนิทรรศการ จะพบเหรียญเงินของสเปนที่จัดแสดงคู่กับ หมวกเกราะเงินของนักรบชนเผ่าต๋าอู้ (Tao-達悟) แห่งเกาะหลันอวี่ของไต้หวัน เหตุใดจึงถูกจัดแสดงคู่กัน? เกาะหลันอวี่ไม่ได้ผลิตเงิน แล้วเงินเหล่านี้มาจากไหน? ปริศนานี้คงต้องเริ่มเล่าจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของไต้หวัน
ในศตวรรษที่ 16 เรือสินค้าของชาติตะวันตกเดินทางมาทำการค้าในเอเชีย โดยพวกเขามีการค้นพบเหมืองเงินในเม็กซิโกก่อน จึงนำเงินเหล่านั้นมาหลอมเป็นเหรียญเงิน จากนั้นได้นำไปยังจีนและฟิลิปปินส์เพื่อใช้แลกเปลี่ยนสินค้า ขณะเดินทางผ่านเกาะหลันอวี่ พวกเขาต้องการเติมเสบียง จึงทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวพื้นเมือง หลังจากที่ชาวต๋าอู้ได้รับเหรียญเงินเหล่านี้มา กลับนำไปหลอมเป็นแผ่นเงินบาง ๆ เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมดั้งเดิม เพิ่มความหมายทางวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นให้แก่สิ่งนี้ “ดังนั้นหมวกเกราะเงินใบนี้ แท้จริงแล้ว กำลังบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของการปฏิสัมพันธ์ในโลกหมู่เกาะ”

ต่างหูหยกลิงลิง-โอ (Lingling-o) นอกจากจะถูกขุดพบที่แหล่งโบราณคดีจิ้วเซียงหลานในเมืองไถตงแล้ว ยังค้นพบที่แหล่งโบราณคดีทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว ประเทศไทย และภาคกลางไปจนถึงภาคใต้ของเวียดนามเช่นกัน เป็นหลักฐานชี้ชัดว่า ไต้หวันเคยมีการติดต่อแลกเปลี่ยนกับ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สมมติฐานการออกจากไต้หวัน
คุณรู้ไหมว่าต้นปอสา (Broussonetia papyrifera) ต้นไม้ที่พบได้ทั่วไปในไต้หวัน เป็นเบาะแสสำคัญที่เชื่อมโยงไต้หวันกับกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน เราได้ไปเยี่ยมคุณจงกั๋วฟาง (鍾國芳) นักวิจัยของศูนย์วิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ สถาบันวิจัยแห่งชาติไต้หวัน (Biodiversity Research Center, Academia Sinica) เพื่อรับฟังเขาเล่าเรื่องราวของทางแยก ที่เริ่มจากพฤกษศาสตร์ไปสู่เรื่องราวทางมานุษยวิทยา
ในปี ค.ศ. 2008 พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ได้รับมอบของสะสมจากหมู่เกาะแปซิฟิก ที่เก็บรวบรวมมาตลอดชั่วชีวิตของคุณโยะชิชิกะ อิวาซะ (Yoshichika Iwasa) นักสะสมชาวญี่ปุ่น โดยสิ่งของส่วนใหญ่ทำจากวัสดุที่เป็นผ้าเปลือกไม้ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า ผ้าเปลือกไม้ส่วนใหญ่ทำมาจากต้นปอสา ซึ่งต้นปอสาที่พบในหมู่เกาะแปซิฟิกไม่ใช่พืชพื้นเมือง แต่ดูเหมือนว่าจะถูกนำเข้ามาพร้อมกับการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์
คุณจางจื้อซั่น (張至善) นักวิจัยที่ทำงานอยู่ในพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ชมรมของคุณจงกั๋วฟาง สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ได้เสนอแนวคิดเรื่องการศึกษาต้นปอสาให้แก่คุณจงกั๋วฟางว่า “เราสามารถใช้ DNA เพื่อตรวจสอบว่าต้นปอสาในหมู่เกาะแปซิฟิกเหล่านี้ มีต้นกำเนิดมาจากที่ไหนได้หรือไม่?”
ในวงการวิชาการ เคยมีนักวิชาการเสนอสมมติฐานการแพร่กระจายของกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน ผ่านการย้ายถิ่นของเกษตรกรรมและภาษา นักโบราณคดีเชื่อว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บรรพบุรุษของกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน สามารถมีชีวิตอยู่รอดบนเกาะต่าง ๆ ก็คือพวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังชีพด้วยวิถีเกษตรกรรม จึงมีการนำทักษะทางการเกษตรและพืชที่จำเป็นติดตัวไปยังเกาะแห่งใหม่ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ การอพยพของมนุษย์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการกระจายทางภูมิศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตและพืชพันธุ์

ต้นปอสาเป็นพืชแยกเพศต่างต้นที่พบได้ยาก หากไม่ใช่ช่วงออกดอก จะแยกต้นตัวผู้กับต้นตัวเมียได้ยากมาก
(บน) ลักษณะภายนอกของต้นปอสามีความหลากหลายมาก แค่ใบของมันก็มีรูปร่างที่แตกต่างกันมากมาย
(ล่าง) ต้นปอสาในหมู่เกาะแปซิฟิกเกือบทั้งหมดเป็นต้นตัวเมีย จึงแทบไม่พบช่อดอกตัวผู้ ที่มีลักษณะคล้ายตัวหนอนเลย (ภาพจาก จงกั๋วฟาง)

ต้นปอสาเป็นพืชแยกเพศต่างต้นที่พบได้ยาก หากไม่ใช่ช่วงออกดอก จะแยกต้นตัวผู้กับต้นตัวเมียได้ยากมาก
(บน) ลักษณะภายนอกของต้นปอสามีความหลากหลายมาก แค่ใบของมันก็มีรูปร่างที่แตกต่างกันมากมาย
(ล่าง) ต้นปอสาในหมู่เกาะแปซิฟิกเกือบทั้งหมดเป็นต้นตัวเมีย จึงแทบไม่พบช่อดอกตัวผู้ ที่มีลักษณะคล้ายตัวหนอนเลย (ภาพจาก จงกั๋วฟาง)
ร่องรอยที่ซ่อนอยู่ใน DNA ต้นปอสา
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น คุณจงกั๋วฟางจึงเริ่มเก็บตัวอย่างต้นปอสาจากไต้หวันและประเทศใกล้เคียง และนำตัวอย่างต้นปอสาที่เก็บ กลับมาทำการวิเคราะห์ลำดับดีเอ็นเอ ผลปรากฏว่า “ต้นปอสาที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมผ้าเปลือกไม้ทั่วทั้งหมู่เกาะแปซิฟิก มีลำดับทางพันธุกรรมที่เหมือนกันแทบทั้งหมด โดยลำดับพันธุกรรม cp-17 ที่เหมือนกันนี้ นอกจากหมู่เกาะแปซิฟิกแล้ว ทั่วโลกมีเพียงภาคใต้ของไต้หวันเท่านั้น”
เนื่องจากต้นปอสาเป็นพืชแยกเพศต่างต้น ระหว่างต้นตัวผู้และต้นตัวเมียที่หายาก ทีมวิจัยของคุณจงกั๋วฟางจึงทำการเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมเพื่อทำการวิเคราะห์ เมื่อนำตัวอย่างไปตรวจสอบด้วยเทคนิคปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสหรือ PCR พบว่าต้นปอสาในหมู่เกาะแปซิฟิกทุกต้นที่มีลำดับพันธุกรรม cp-17 เป็นต้นตัวเมียทั้งหมด และไม่มียกเว้น “สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? ต้นปอสาในไต้หวันมีทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย สามารถขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ แต่ในหมู่เกาะแปซิฟิกมีเพียงต้นตัวเมียเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถขยายพันธุ์ได้เอง แสดงว่าในอดีตมนุษย์เป็นผู้นำไปที่นั่น” DNA ไม่โกหก “จากหลักฐานทั้งสองข้อนี้ พวกเราสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ต้นปอสาในหมู่เกาะแปซิฟิก มีต้นกำเนิดจากไต้หวันและถูกนำออกไปโดยมนุษย์!”
ต้นปอสาได้กลายเป็นหนึ่งในหลักฐานสนับสนุนแนวคิดเรื่อง “ไต้หวันคือถิ่นกำเนิดเก่าแก่ที่สุด ที่สามารถสืบย้อนกลับไปของกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียน” ดูเหมือนว่ามีปัจจัยมากมายที่สนับสนุนแนวคิดนี้ หรือนี่อาจเป็นโชคชะตาบางอย่าง “ดังนั้น ผมจึงอยากทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ต้นปอสา มันคือพืชที่ถูกมองข้าม เปลือกของมันถูกนำมาใช้ทำผ้าเปลือกไม้ ซึ่งก็คือกระดาษชนิดหนึ่ง วิธีการทำกระดาษมีความเกี่ยวข้องกับต้นปอสาอย่างใกล้ชิด หากไม่มีต้นปอสาก็คงไม่มีกระดาษ นี่คือพืชที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มนุษยชาติอย่างแน่นอน”
วัฒนธรรมออสโตรนีเซียนในยุคปัจจุบัน
กลับมาที่พิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ คุณฟางจวินเหว่ยได้กล่าวถึงหน้าที่สำคัญของพิพิธภัณฑ์ นั่นคือการเชื่อมโยงองค์ความรู้กับประเด็นที่ผู้คนในยุคปัจจุบันให้ความสนใจ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เขายกตัวอย่างสุภาษิตของชาวเมารีที่กล่าวว่า “kia whakatōmuri te haere whakamua”แปลว่า พวกเราเดินถอยหลังไปสู่อนาคต โดยดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่อดีต มุมมองเกี่ยวกับเวลาที่มีความพิเศษและเป็นวัฏจักรนี้ บ่งบอกว่าอดีตและอนาคตไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน
คุณฟางจวินเหว่ยดึงความสนใจของเรากลับมาที่การเต้นรำเป็นวงล้อมคล้ายรูปตัวอักษร C ของชนพื้นเมืองไต้หวัน อย่างเช่น ชนเผ่าไผวัน (Paiwan) และชนเผ่าหลูไข่ (Lukai) เพื่ออธิบายว่า “ตัวอักษร C มีช่องโหว่หนึ่งช่อง ไม่ได้หมายถึงความไม่สมบูรณ์ แต่มันแสดงถึงการเปิดโอกาส ที่คอยต้อนรับให้ทุกคนเข้าร่วม” คุณรู้ไหมว่า ในภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน คำว่า “พวกเรา” สามารถพูดได้ 2 แบบ แบบแรกคือคำว่า kita ที่รวมผู้ฟังเข้าไปด้วย ส่วนอีกแบบหนึ่งคือ kami ไม่รวมผู้ฟัง (เหมือนกับคำว่า “พวกเรา” ในภาษาฮกเกี้ยนที่ใช้ได้สองคำ คือคำว่า 咱กับ 阮) พวกเราอยากเชิญชวนคุณมาเป็น kita มาร่วมทำความรู้จักและสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียนไปพร้อม ๆ กัน

วัสดุที่ใช้ทำผ้าเปลือกไม้ในหมู่เกาะแปซิฟิกมาจากต้นปอสา กลายเป็นเบาะแสสำคัญในการสืบค้นถิ่นกำเนิดของกลุ่มชาติพันธุ์ออสโตรนีเซียนในยุคปัจจุบัน
จากภาพ ชาวปาปัวนิวกินีทุบเปลือกไม้เพื่อทำผ้า และสวมใส่ผ้าเปลือกไม้ในงานเฉลิมฉลอง (ภาพจาก จงกั๋วฟาง)







