รสชาติที่สืบทอดมานานนับศตวรรษของอาหารที่ทำจากข้าว
อาหารว่างพื้นบ้าน- ขนมหัวไชเท้า
เนื้อเรื่อง‧เฉินฉวินฟาง ภาพ‧หลินเก๋อลี่ แปล‧มณฑิรา ไชยวุฒิ
กันยายน 2025
ขนมหัวผักกาดหรือขนมหัวไชเท้า (ภาษาไต้หวันเรียกว่า ขนมไชเถ่าก้วย) เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ถือเป็นเมนูคลาสสิกบนโต๊ะอาหารในช่วงเทศกาลตรุษจีน และการนึ่งขนมก็ยังเป็นความทรงจำวัยเด็กของหลาย ๆ คน แต่มีน้อยคนนักที่ทราบว่า อาหารว่างไต้หวัน สีขาวและมีรสชาติเรียบง่ายนี้ มีที่มาจากการรำลึกถึงแม่ทัพคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง และได้สืบทอดต่อกันมา
จนถึงปัจจุบันนี้ ในหลายพื้นที่ของไต้หวัน ก็ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งที่รักษาศิลปะการทำขนมหัวผักกาดแบบดั้งเดิมไว้ พวกเขาเลือกที่จะโม่แป้งเอง ขูดหัวไชเท้าด้วยมือ ลงมือทุกขั้นตอนด้วยความตั้งใจ การที่พวกเขาคอยเฝ้าหน้าเตาไฟอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้กลิ่นหอมของข้าว และความหวานสดของหัวไชเท้าในขนมผักกาด ยังคงส่งกลิ่นหอมอบอวลอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย
ข้าวสวยที่คนไต้หวันนิยมรับประทานในปัจจุบัน มีลักษณะเหนียวนุ่มและหนึบ เป็นข้าวพันธุ์จาปอนิกาหรือข้าวเผิงไหล (蓬萊米) ซึ่งถูกนำเข้ามาปรับปรุงพันธุ์ในยุคสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ขณะที่ในช่วงก่อนหน้านั้น คือสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง บรรพบุรุษของชาวไต้หวันจะบริโภคข้าวพันธุ์อินดิกาหรือข้าวไจ้ไหล (在來米) เป็นหลัก ซึ่งมีเมล็ดยาวกว่าและเนื้อสัมผัสแข็งกว่า คุณหวางห้าวอี (王浩一) นักเขียนผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจประวัติศาสตร์อาหาร และเคยกล่าวไว้ในหนังสือ Snack Institute ข้าวพันธุ์ไจ้ไหล ถูกนำเข้ามาในไต้หวันช่วงปลายราชวงศ์หมิง และเป็นอาหารหลักของท้องถิ่นอยู่ประมาณ 290 ปีก่อนที่ข้าวเผิงไหลจะถือกำเนิดขึ้นมา ดังนั้นขนมที่ทำจากข้าว ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง อาทิ ขนมหัวผักกาด ขนมวาก้วย (碗粿) ฯลฯ จะต้องทำด้วยข้าวพันธุ์ไจ้ไหลเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ ในบรรดาอาหารว่างโบราณที่ทำจากข้าวแบบดั้งเดิม ไม่ได้มีข้าวเผิงไหลเป็นส่วนประกอบเลย

ซึ้งนึ่งไม้นี้คือประจักษ์พยานแห่งความรุ่งเรือง ที่อยู่เคียงข้างร้านหลินเจินก้วยบนถนนสายนี้ และจนถึงวันนี้ก็ยังคงถูกใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อนึ่งอาหารแบบดั้งเดิมที่ทำจากข้าว
เล่าประวัติศาสตร์ของอาหารไต้หวันที่ทำจากข้าว
คุณหวางห้าวอีเล่าว่า เนื่องจากต้องการรสสัมผัสที่แตกต่างกัน ดังนั้นก็จะมีบางอย่างที่ใช้ข้าวใหม่ และมีบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ข้าวเก่า ซึ่งเก็บไว้อย่างน้อย 9 เดือนขึ้นไป จึงจะให้เนื้อสัมผัสที่มีความยืดหยุ่นตอนกัดลงไป เช่น ขนมหัวผักกาด โร่วหยวนนึ่ง และก๋วยจั๊บน้ำใส ที่ล้วนต้องใช้ข้าวเก่า และจะเห็นได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียดเบื้องหลังการทำอาหารจากข้าวเหล่านี้
จะยกตัวอย่างขนมหัวผักกาด ที่จำเป็นต้องใช้ข้าวเก่าซึ่งเก็บไว้อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไปมาแช่ในน้ำ แล้วจึงนำมาบดให้กลายเป็นน้ำข้าว ส่วนหัวไชเท้าจำเป็นต้องปอกเปลือกออก ขูดเป็นเส้น ๆ แล้วค่อยนำไปต้ม เพื่อกำจัดกลิ่นเหม็นเขียวของหัวไชเท้าออก จากนั้นก็จะนำหัวไชเท้าเป็นเส้น ๆ มาผสมกับน้ำข้าวคนให้เข้ากัน เทลงในแม่พิมพ์ และนำไปนึ่งด้วยไฟแรง ๆ เป็นเวลา 5-6 ชั่วโมง ซึ่งปริมาณของน้ำข้าว ระดับความสุกของการเคี่ยวหัวไชเท้า สัดส่วนที่ใส่ลงไป รวมถึงการควบคุมระดับของไฟและเวลาในการปรุง ทุกอย่างล้วนเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้
แต่กระนั้น วัฒนธรรมการทำอาหารจากข้าว ที่ทั้งยุ่งยากและพิถีพิถันเหล่านี้ สืบทอดกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีได้อย่างไร? คุณหวางห้าวอีได้ค้นคว้าจากเอกสารและประวัติศาสตร์ แล้วค่อย ๆ เล่าเรื่องราวของความกล้าหาญและความเสียสละออกมาว่า
ในช่วงปลายราชวงศ์หมิง เจิ้งเคอซ่วง (鄭克塽) แม่ทัพคนสุดท้ายในสมัยราชวงศ์หมิง มีความตั้งใจจะยอมจำนนต่อราชวงศ์ชิง หลังจากที่จูซู่กุ้ย (朱術桂) ขุนนางคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง ที่พำนักอยู่ในไต้หวันในขณะนั้น ทราบข่าวดังกล่าว จึงตัดสินใจสละชีพเพื่อชาติ โดยก่อนจะปลิดชีพตนเอง จูซู่กุ้ยซึ่งมีที่ดินผืนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำเอ้อเหรินในนครไถหนาน ได้เรียกเหล่าเกษตรกรที่ทำไร่ทำนาให้มาเข้าพบ แล้วมอบที่ดินเหล่านั้นให้แก่พวกเขา หลังจากมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ชาวบ้านได้จัดเตรียมอาหารจำพวกขนมก้วย (糕粿) ที่สื่อความหมายการเซ่นไหว้ เช่น ขนมเผือก (芋粿) ขนมเค้กน้ำตาลทรายแดง (黑糖粿) ขนมไชเถ่าก้วย (菜頭粿) แล้วแอบเอาไปเซ่นไหว้ที่หน้าสุสานของเขา เพื่อเป็นการรำลึกและขอบคุณ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 213 ปีที่ถูกปกครองโดยราชวงศ์ชิง ขนมก้วยเหล่านี้ และประเพณีการเซ่นไหว้ ก็ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวัน ประชาชนในท้องถิ่นไม่ต้องกังวลว่าจะถูกราชวงศ์ชิงปราบปรามอีกต่อไป จึงได้นำอาหารว่างแสนอร่อยเหล่านี้ ออกมาวางจำหน่ายตามท้องตลาด ก่อนจะค่อย ๆ กลายเป็นอาหารอันโอชะที่ได้รับความนิยมทั่วไต้หวัน

ข้าวเก่าพันธุ์ไจ้ไหลมีกลิ่นและรสสัมผัสที่เหมาะสมกับหัวไชเท้าฝอย คุณหวางห้าวอีใช้คำว่า อาหารเลิศรสที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน มาบรรยายถึงความอร่อยของขนมหัวผักกาด
อาหารเช้าแสนเรียบง่ายใต้ต้นไม้ใหญ่
หัวไชเท้าถือเป็นพืชในช่วงฤดูหนาว โดยสมัยที่ยังไม่มีการปลูกผักในที่อากาศเย็นจัด ขนมผักกาดจึงเป็นรสชาติที่มีเฉพาะช่วงเทศกาลตรุษจีนเท่านั้น
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเพาะปลูกสมัยใหม่ และการปรับปรุงสายพันธุ์ จึงทำให้มีหัวไชเท้ารับประทานในช่วงฤดูร้อน จนปัจจุบันนี้ ในไต้หวันล้วนสามารถรับประทานขนมผักกาดได้ทั้งสี่ฤดูตลอดปี ที่ตำบลโต่วหลิ่ว เมืองหยุนหลิน มีร้านชื่อว่า อาหนิวไชเถ่าก้วย (Ah Niu’s Radish Cake) ที่สืบทอดกิจการมาถึงรุ่นที่สองแล้ว ทางร้านฯ ใช้ข้าวพันธุ์ไจ้ไหลที่เพาะปลูกเอง ในทุกวันเมื่อฟ้าสาง เตาทอดใต้ต้นไม้ใหญ่ก็จะเริ่มส่งเสียงฉ่า ๆ ขนมผักกาดแต่ละชิ้นล้วนถูกเถ้าแก่เจ้าของร้าน คุณไล่กั๋วเจิ้ง (賴國正) ทอดจนเป็นสีเหลืองทอง ขณะที่เถ้าแก่เนี้ย คุณเซี่ยเพ่ยจวิน (謝佩君) ก็อยู่ข้าง ๆ ทำการตักน้ำจิ้มใส่ลงในกล่อง โดยขนมผักกาดที่กรอบจนหอม แล้วราดด้วยน้ำจิ้มสูตรโฮมเมดที่ทำจากข้าว เมื่อเสิร์ฟคู่กับซุปเลือดหมูหรือซุปมิโซะรวมมิตร ก็จะกลายเป็นอาหารเช้าที่ทำให้ผู้คนรู้สึกมีชีวิตชีวา
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขายอาหารเช้า คุณไล่กั๋วเจิ้งจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่งทุกวัน ซึ่งนอกจากเตรียมตั้งเตาเปิดร้านแล้ว ก็ยังต้องจัดเตรียมส่วนผสมก่อนทำการนึ่งขนมหัวผักกาด โดยจะต้องปอกเปลือก ขูดหัวไชเท้า คั้นน้ำข้าวให้เรียบร้อย จนกระทั่ง 11 โมงจึงค่อยเก็บร้าน โดยจะทำการนึ่งไว้ตลอดทั้งบ่าย พอตกเย็นขนมหัวผักกาดที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็จะถูกทิ้งไว้ให้เย็นอีกหนึ่งคืน เพื่อให้ขนมหัวผักกาดโดนลมธรรมชาติพัดจนแห้ง จึงจะพร้อมรับประทานสำหรับตอนเช้าของวันถัดไป
คุณไล่กั๋วเจิ้งยืนหยัดที่จะเลือกใช้หัวไชเท้าที่ปลูกในท้องถิ่น โดยคุณไล่ฯ ยิ้มแล้วพูดว่า หัวไชเท้ายิ่งเผ็ดร้อนยิ่งมีรสชาติ เพราะหลังจากนำไปต้ม เพื่อขจัดกลิ่นเหม็นเขียวแล้ว ก็จะได้รสหวานกลับคืนมา ร้านอาหนิวไชเถ่าก้วยยังยืนหยัดที่จะใช้ข้าวที่ปลูกเอง มาทำขนมหัวผักกาด คุณไล่เจิงเหมยเยี่ย (賴曾梅葉) แม่ของเถ้าแก่ที่ออกไปสำรวจทุ่งนาในตอนเช้าทุกวัน กล่าวว่า ต้องปลูกเองจึงจะรู้ว่าคุณภาพดีหรือไม่ดี โดยนอกจากจะใช้ข้าวแท้ ๆ มาทำเป็นขนมหัวผักกาดแล้ว ทัศนคติที่ยึดมั่นในเรื่องความพิถีพิถัน ก็ทำให้แม้แต่น้ำจิ้มก็ยังทำจากข้าวล้วน ๆ โดยไม่มีการผสมแป้งใด ๆ ลงไป จึงไม่แปลกใจที่เมื่อรับประทานแล้ว จะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของข้าว
คุณไล่เจิงเหมยเยี่ยที่มีอายุเกือบ 80 ปีแล้ว เผยให้เห็นรอยแผลเป็น ทั้งตื้นและลึกบนมือของเธอ พร้อมเล่าว่า ในสมัยก่อน ต้องใช้ฟืนนึ่งขนมไชเถ่าก้วย เธอจึงเคยเผลอโดนเลื่อยไฟฟ้าบาดขณะผ่าฟืน เธอหัวเราะแล้วพูดว่า ปัจจุบันนี้ใช้แก๊ส ทำให้สะดวกสบายขึ้นมากจริง ๆ เมื่อมองไปที่นิ้วมือของคุณไล่เจิงเหมยเยี่ย ที่มีร่องรอยจากการเย็บจนผิดรูปไปบ้าง ก็ทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนนักรบผู้กล้าหาญ ที่ใช้สองมือรักษารสชาติดั้งเดิมของไต้หวันเอาไว้
เรื่องราวการฝึกฝนการทำขนมหัวผักกาดของคุณไล่เจิงเหมยเยี่ย เปรียบเสมือนภาพสะท้อนของผู้หญิงในยุคเดียวกัน เพราะขนมไชเถ่าก้วยเป็นเมนูที่ขาดไม่ได้ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ดังนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสมัยก่อนจึงต้องมีฝีมือ และเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวขนาดใหญ่ คุณไล่เจิงเหมยเยี่ยกับสามีจึงเอาขนมหัวผักกาด ออกไปขายตามริมถนนกันสองคน เธอหัวเราะแล้วพูดว่า วันแรกขายได้เพียง 360 เหรียญไต้หวันเท่านั้น แต่เพราะรสชาติฝีมือที่ดีจึงค่อย ๆ สั่งสมชื่อเสียงมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ อาหนิวไชเถ่าก้วยได้กลายมาเป็นรสชาติที่คนในท้องถิ่น จะแวะเวียนมารับประทานกันเป็นประจำ ส่วนลูกหลานซึ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เมื่อกลับมาเยือนภูมิลำเนา ก็จะต้องแวะมารับประทานเช่นกัน

รสชาติจากการเผาไม้ในป่าลึก
อีกคนหนึ่งที่ยังคงรักษารสชาติดั้งเดิมของขนมหัวผักกาดไว้ ก็คือคุณเจิงเจาหัว (曾招華) คุณแม่ชาวฮากกาที่อาศัยอยู่ในตำบลเอ๋อเหมย เมืองซินจู๋ บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในป่าลึกหลังนี้ มีกลิ่นหอมของถ่านไม้ที่กำลังเผาไหม้โชยออกมาเป็นระยะ ๆ นี่คือบ้านของคุณเจิงเจาหัวกับสามี คุณจวงฮ่วนจาง (莊煥章) เตาไฟสิบเตาตรงหน้ามีเสียงแตกปะทุจากไม้ฟืนที่กำลังเผาไหม้ เปลวไฟที่ลุกโชนกำลังนึ่งอาหาร ซึ่งก็คือ ขนมหัวไชเท้า (ไชเถ่าก้วย ในภาษาฮากกา) ที่ตระกูลจวงจะนำไปวางขายในตลาดในวันรุ่งขึ้น
คุณจวงฮ่วนจางพูดแบบนั้นกับพวกเรา ที่ร้อนจนเกือบจะเป็นลมว่า อยู่เฉย ๆ ไม่ได้! การทำอะไรแบบนี้มันลำบากจริง ๆ โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนกับกรกฎาคม ที่พอจุดไฟขึ้นมา อุณหภูมิจะอยู่ที่ระดับ 70–80 องศาเซลเซียส หากไม่นับขั้นตอนการเตรียมของก่อนหน้านี้ แค่การนึ่งขนมหัวผักกาดอย่างเดียว ก็ใช้เวลาอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงแล้ว และในช่วงระหว่างนี้ก็ต้องเฝ้าหน้าเตาตลอดเวลา เติมฟืนอย่างต่อเนื่อง และต้องคอยสังเกตน้ำในหม้อนึ่งให้ดี ห้ามปล่อยให้น้ำแห้งอย่างเด็ดขาด ส่วนการไปเก็บไม้กับผ่าฟืน ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แม้จะรู้ดีว่าการใช้ฟืนเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบาก แต่คุณเจิงเจาหัวเผยว่า เธอเคยทดลองเปลี่ยนมาใช้แก๊สแล้ว แต่จะทำยังไงรสชาติก็เคยไม่ถูกต้องเลย กลิ่นหอมของถ่านบนขนมหัวผักกาดที่ได้มาจากการเผาฟืนนั่นแหละ คือรสชาติดั้งเดิมที่เธอสืบทอดมาจากแม่สามี
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน คุณเจิงเจาหัวเกิดความคิดที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ เพื่อเลี้ยงดูลูกสี่คน และหารายได้เสริมมาจุนเจือครอบครัว เธอเรียนรู้ทักษะฝีมือในการทำขนมหัวผักกาดมาจากแม่สามี โดยพยายามควบคุมอุณหภูมิและระยะเวลา ในการทำขนมหัวผักกาดอยู่หลายครั้ง จนค่อย ๆ ออกมาเป็นขนมหัวผักกาดที่เธอเองพึงพอใจ คุณเจิงเจาหัว กล่าวว่า การจะทำขนมหัวผักกาดให้อร่อย ต้องไม่เสียดายวัตถุดิบ เธอใช้ข้าวพันธุ์ไจ้ไหลของไต้หวัน และเลือกใช้หัวไชเท้าที่เหมาะสมตามฤดูกาล โดยฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว จะใช้ของภาคใต้ที่มีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ส่วนฤดูร้อนก็ใช้ของตำบลผูหลี่ หัวไชเท้าซอยจะถูกแช่อยู่ในน้ำข้าวทั่วทุกอณู จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมขนมผักกาดที่นึ่งด้วยการเผาฟืนของคุณเจิงเจาหัว จะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของหัวไชเท้าในทุกคำที่รับประทาน
สมัยก่อนทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน ต่างใช้การเผาฟืนในการนึ่งขนมหัวผักกาด แต่ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่ทำเช่นนี้ ดังนั้น เพื่อให้ลูกหลานรุ่นต่อไป ได้ลิ้มลองรสชาติความอร่อยแบบดั้งเดิม แม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน คุณเจิงเจาหัวก็ยังคงยืนหยัดที่จะใช้การเผาฟืน ในการทำขนมหัวผักกาดต่อไป เพราะการได้เห็นสีหน้าของลูกค้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เมื่อรับประทานขนมหัวผักกาด ถือว่าเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเธอ

คุณเจิงเจาหัว (ทางซ้าย) เรียนรู้กรรมวิธีการทำขนมหัวผักกาดจากแม่สามี และตอนนี้ก็ได้ลงมือถ่ายทอดวิชาให้กับลูกสาวด้วยตนเอง
ถนนสายอาหารที่ทำจากข้าว ประจักษ์พยาน การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ร้านหลินเจินก้วย (林貞粿行) ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 โดยมีผู้ก่อตั้งรุ่นแรกคือ คุณหลินเจิน (林貞) ที่เริ่มต้นจากรถเข็นเล็ก ๆ ในย่านต้าเต้าเฉิง จนกระทั่งพัฒนามาเป็นร้านขายส่งขนมที่ทำจากข้าว ซึ่งขนมหัวผักกาด ขนมเผือก ขนมเผือกนึ่ง (芋粿巧 อ่านว่า อวี้ก้วยเฉียว) ฯลฯ ที่วางขายอยู่ในตลาดสดหลายแห่งของกรุงไทเปกับนครนิวไทเป ล้วนมาจากร้านหลินเจินก้วยทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหารจากตะวันตกที่แพร่หลาย ทำให้คนยุคนี้มีสัดส่วนการรับประทานอาหารนอกบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น พฤติกรรมการไปตลาดสดเพื่อซื้อขนมหัวผักกาด กลับมาทอดรับประทานเองที่บ้าน จึงดูเหมือนจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ซึ่งร้านหลินเจินก้วยก็ได้พบเห็นการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของเมนูอาหารจากข้าวแบบดั้งเดิม
ต้าเต้าเฉิงเป็นพื้นที่แรก ๆ ของกรุงไทเปที่ได้รับการพัฒนา โดยในอดีต มีผู้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ร้านขายอาหารเล็ก ๆ ซึ่งขายอาหารที่ทำจากข้าว อันถือเป็นแหล่งเติมพลังงานให้กับพวกเขา ตั้งอยู่เป็นจำนวนมากบริเวณย่านการค้าเหยียนซาน จนเคยได้รับการขนานนามว่า ถนนสายอาหารที่ทำจากข้าว คุณหลินอวี้เฉียง (林裕強) ผู้สืบทอดกิจการรุ่นที่ 2 นึกถึงสมัยเด็ก ๆ ซึ่งมีร้านจำหน่ายอาหารที่ทำจากข้าว ประมาณ 20-30 ร้าน ตั้งอยู่บนถนนสายนี้
การเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ทำให้ร้านขายอาหารที่ทำจากข้าวบนถนนสายนี้ค่อย ๆ ทยอยปิดตัวลงทีละร้าน แต่คุณหลินเจิน พร้อมด้วยลูกชายทั้งสองคน คือ คุณหลินอวี้เฉียงกับคุณหลินเจียชิ่ง (林家慶) กลับสามารถรักษาชื่อเสียงของร้าน ให้คงอยู่บนถนนสายนี้ต่อไปได้ ทั้งนี้ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่ตั้งเดิมของทางร้านต้องเผชิญกับการพัฒนาเมืองใหม่ คุณหลินเจินซึ่งทำขนมหัวผักกาดมาตลอดชีวิต ทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นลูกมาลำบาก จึงพูดติดตลกออกไปว่า ให้พวกเขาเลิกกิจการไปเลยดีกว่า แต่สองพี่น้องกลับทนไม่ได้ที่รสชาติอันเป็นมรดกของครอบครัวจะต้องเลือนหายไป ทั้งคู่จึงตัดสินใจย้ายร้านหลินเจินก้วยไปยังเขตซินจวง นครนิวไทเป และปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นโรงงานผลิตอาหารแปรรูป

นวัตกรรมของอาหารไต้หวันดั้งเดิมที่ทำจากข้าว
เมื่อจำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้น แต่ค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายต่อหัวของลูกค้ากลับลดลง ประกอบกับพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนที่เปลี่ยนไป ทำให้คุณหลินอวี้เฉียงรู้ดีว่า จะต้องหาหนทางใหม่ ๆ เพื่อให้กิจการของร้านสามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเรียกลูกชายคุณหลินฝันไข่ (林凡凱) ซึ่งทำงานออกแบบภูมิทัศน์ในสหรัฐอเมริกา กลับมาช่วยสร้างแบรนด์หลินเจินก้วย และพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ
คุณหลินฝันไข่ซึ่งเกิดในยุคดิจิทัล และเติบโตมาท่ามกลางผู้ใหญ่ในครอบครัวที่มีความมุ่งมั่นต่อการทำขนมก้วย เขาจึงอยากให้ผู้คนจำนวนมาก ได้เห็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมอาหารไต้หวันที่ทำจากข้าว การวางแนวคิดแบรนด์เป็นนวัตกรรมของอาหารไต้หวันดั้งเดิมที่ทำจากข้าว ทำให้คุณหลินฝันไข่ได้ลองนำเอาขนมหัวผักกาดแบบดั้งเดิม มาเป็นพื้นฐานต่อยอดในการพัฒนารสชาติที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ การเติมซอส XO, กุ้งซากุระ และหอยเชลล์ลงไป เพื่อนำเสนอความสดจากท้องทะเลของขนมหัวผักกาดรสซอส XO ทะเลคู่ หรือจะเป็นการเติมน้ำมันงากับเห็ดหัวลิง ลงไปผสมรวมกันกับวัตถุดิบจากข้าว เพื่อทำออกมาเป็นเมนูขนมผักกาดน้ำมันงาเห็ดหัวลิง ยิ่งไปกว่านั้น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดูเรียบง่าย ก็ทำให้อาหารจากข้าวของร้านหลินเจินก้วย กลายเป็นกระแส และได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่จำนวนมากบนโลกออนไลน์
ต่อจากนั้น คุณหลินฝันไข่ก็ยังได้เริ่มวางแผนที่จะเปิดหน้าร้านในทำเลเดิมของร้านบริเวณย่านต้าเต้าเฉิง โดยนำเอาควันของการนึ่งขนมก้วย มาสร้างภาพลักษณ์ที่ดึงดูดสายตาให้กับร้าน ซึ่งนอกจากจะมีการจำหน่ายเมนูพิเศษที่ทำจากข้าวแล้ว ก็ยังวางแผนที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารมาจัดการบรรยาย เพื่อให้หน้าร้านกลายเป็นพื้นที่สำหรับการพูดคุยแลกเปลี่ยนของประชาชน โดยไม่หยุดพัฒนาอาหารไต้หวันที่ทำจากข้าว ยึดมั่นในเทคนิคแบบดั้งเดิมของร้านเก่าแก่ และสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ต่อไป

ร้านหลินเจินก้วย ไม่เพียงสืบทอดวิธีการทำขนมก้วย แต่ยังพิถีพิถันในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และรสชาติ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักวัฒนธรรมอาหารไต้หวัน ที่ทำจากข้าวให้มากยิ่งขึ้น

ร้านหลินเจินก้วยไม่เพียงสืบทอดวิธีการทำขนมก้วย แต่ยังพิถีพิถันในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และรสชาติ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ผู้คนได้รู้จักวัฒนธรรมอาหารไต้หวัน ที่ทำจากข้าวให้มากยิ่งขึ้น

ไล่กั๋วเจิ้งตั้งใจปรับแต่งขนมหัวผักกาด ให้รสสัมผัสภายใน มีความกรอบและมีความเผ็ดของซอส เพื่อเติมแต่งรสชาติของชีวิตให้กับอาหารทานเล่น

กระทะทอดส่งเสียงฉ่า ๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นรสชาติความอร่อยของอาหนิวไชเถ่าก้วย ที่ผู้คนยากจะลืมเลือน

เพื่อเป็นการการันตีคุณภาพที่ดี คุณไล่กั๋วเจิ้งจึงยืนหยัดที่จะข้าวปลูกเอง เพื่อนำมาใช้ทำขนมหัวผักกาด

ตระกูลจวงทนลำบากกับการเผาฟืน เพื่อให้มั่นใจว่ารสชาติความหอมของขนมหัวผักกาดแบบดั้งเดิม จะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น