ลองคิดดูว่า หากบนภูเขาไม่มีสัตว์ แม้ว่าทิวทัศน์จะงดงามแค่ไหน ก็เหมือนเป็นภูเขาที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ กวางป่าไต้หวัน
(The Formosan sambar deer ) ถือเป็นสัตว์กินพืชขนาดใหญ่ที่สุดบนภูเขาสูงของไต้หวัน เคยเกือบสูญพันธุ์เพราะถูกบุกรุกพื้นที่ป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและถูกล่า แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จจากการอนุรักษ์ฟื้นฟูส่งผลทำให้จำนวนกวางป่าเพิ่มขึ้น แต่การที่ไม่มีศัตรูทางธรรมชาติส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา การปรากฏตัวของกวางป่าทำให้มนุษย์กับธรรมชาติโดยเฉพาะบนภูเขาสูงมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกัน และเป็นเครื่องหมายที่ทำให้พวกเรานึกถึงคุณค่าของการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์เหล่านี้
ศาสตราจารย์หวังอิ่ง (王穎) แห่งคณะวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Normal University) ผู้มีความสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์มาตั้งแต่เด็กๆ เช่นเดียวกับความชื่นชอบในการปีนเขา และคุณเหยียนซื่อชิง (顏士清) นักศึกษาปริญญาเอก คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan University) ผู้ที่ทุ่มเทพลังกายพลังใจให้กับสัตว์ขนาดใหญ่ ท่านแรกเป็นผู้เชี่ยวชาญสัตว์ป่าที่มีชื่อเสียง ซึ่งใช้เวลาในการศึกษาวิจัยมานานกว่า 10 ปี อีกท่านคือนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ผ่านความรู้สึกทุกข์และสุขในกระบวนการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับกวางป่า และยังมีภาระความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ขยายพันธุ์
จุดกำเนิดของพระราชบัญญัติการอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่า
ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 สภาพเศรษฐกิจไต้หวันเริ่มต้นการพัฒนา ทำให้ค่อยๆ มีศักยภาพในการให้ความสนใจในการอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่ามากขึ้น คุณหวังอิ่งอธิบายถึงช่วงเริ่มต้นการอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่าในไต้หวันว่า การถือกำเนิดของอุทยานแห่งชาติเขิ่นติงในปีค.ศ.1984 ทำให้เกิดเป็นมาตรฐานขึ้นมา และส่งผลให้พวกเรามีองค์กรและสถานที่สำหรับทำการอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่าในไต้หวันอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ คุณหวังอิ่งยังเคยเข้าร่วมการร่างกฎหมายว่าด้วยการอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่า ในปีค.ศ.1989 ด้วย ช่วงเวลานั้นถือเป็นช่วงที่ทั่วโลกกำลังถกเถียงเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติกันอย่างกว้างขวาง และนานาชาติก็ค่อยๆ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับทรัพยากรสัตว์ป่ามากขึ้น รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของประชากร โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ของชนพื้นเมืองกับภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม
หลังจากกฎหมายว่าด้วยการอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่ามีผลบังคับใช้แล้ว ก็เริ่มมีการหารือเกี่ยวกับสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ ขณะนั้นสัตว์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดได้แก่กวางป่า ซึ่งเป็นสัตว์กินพืชขนาดใหญ่ที่สุดในไต้หวันและมีจำนวนลดลงไปมาก จึงดึงดูดให้คุณหวังอิ่งผู้เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่า เริ่มหันมาให้ความสนใจ
กวางป่ามีความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์
ในช่วงแรกผู้ประกอบการฟาร์มปศุสัตว์คาดหวังว่าจะสามารถขยายพันธุ์สัตว์ป่าให้มีจำนวนเพียงพอเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาด จึงทำให้มีชนพื้นเมืองจับกวางป่าไปขายให้กับฟาร์มเลี้ยงกวาง คุณหวังอิ่งกล่าวว่า ในตอนนั้นกวางป่าขนาดใหญ่ 1 ตัว อาจมีค่าเท่ากับเงินเดือนจำนวน 1 ปีของหลายๆ คนเลยทีเดียว ซึ่งการล่าสัตว์แบบเกินขอบเขตได้ทำลายสิ่งแวดล้อมและทำให้จำนวนกวางป่าลดลงไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ในช่วงปีค.ศ.1986-1987 กลุ่มวิจัยของคุณหวังอิ่งได้ทำการสำรวจข้อมูลการใช้ทรัพยากรสัตว์ป่าทั่วไต้หวันพบว่า ในร้านขายอาหารป่ามีการขายเนื้อกวางป่าในปริมาณไม่มากนัก ประกอบกับในปีค.ศ.1989-1990 เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อวัณโรคในฟาร์มเลี้ยงกวาง ยิ่งทำให้กวางป่าที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติซึ่งมีจำนวนน้อยอยู่แล้ว ตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ เมื่อพูดถึงสถานการณ์ตอนนั้นคุณหวังอิ่งกล่าวว่า จำนวนเลียงผาอาจนับได้เป็นหลักหมื่น แต่จำนวนกวางป่ามีเพียงหลักร้อยเท่านั้น เมื่อแต่ละสายพันธุ์มีจำนวนเหลือน้อยมาก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะฟื้นฟูให้กลับคืนมาใหม่
ก้าวสำคัญของการติดตามวิจัยกวางป่า
คุณเหยียนซื่อชิงนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ของการจับกวางครั้งแรก เขากล่าวว่า การจับกวางครั้งแรก ทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมด แต่ยังดีที่ได้ชนพื้นเมืองสองคนมาให้คำแนะนำ ตอนนั้นแบกตาข่ายที่มีน้ำหนักเกือบ 20 กิโลกรัม ขึ้นไปบนเขา วันแรกก็มีฝนตกลงมา รู้สึกว่าตาข่ายที่แบกอยู่หนักขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในชนพื้นเมืองที่ไปด้วยกันบ่นกับคุณเหยียนซื่อชิงว่า เดิมทีตาข่ายก็หนักอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอกับน้ำฝนยิ่งหนักขึ้นไปอีก ถือเป็นการบั่นทอนพละกำลังในการเดินมาก เมื่อเดินมาแล้วถึงสองวัน ก็มาถึงยอดเขาผันสือฝั่งตะวันตก (western peak of Mt. Panshi) และตั้งแคมป์ตรงจุดใกล้กับบึงอัศเจรีย์ (Exclamation Pond) เป็นหุบเขาเล็กๆ ที่มีลักษณะเป็นรูปตัวยู โดยหลังจากนำตาข่ายขึงรอบบริเวณดังกล่าวแล้ว ก็กำหนดไว้ว่า ผู้ชายทุกคนต้องมาปัสสาวะตรงนี้ เพราะกลิ่นปัสสาวะของมนุษย์จะดึงดูดให้กวางป่าเข้ามาหา
ตอนกลางวันจะเป็นช่วงเวลาฝึกซ้อม เมื่อเกิดสถานการณ์ที่กวางป่าเดินเข้ามากลางตาข่ายหรือปรากฏตัวใกล้ๆ กับตาข่าย ว่าเราจะแบ่งกันเคลื่อนย้ายหัวมุมตาข่ายเข้าไปข้างในกันอย่างไร จุดตั้งแคมป์อยู่ห่างจากตาข่ายประมาณ 20 เมตร หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็รอให้กวางป่าเดินเข้ามาติดกับดัก แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่อากาศบนภูเขาสูงยังคงหนาวเย็น ทันใดนั้นมีเสียงดังมาจากข้างนอกว่า รีบเตรียมอุปกรณ์ยิงยาสลบ คุณเหยียนซื่อชิงกับนักวิจัยอีกท่านวิ่งขึ้นจากสองฝั่ง ด้านหนึ่งก็ตะโกนเสียงดัง อีกด้านก็เปิดไฟ เพื่อให้กวางป่าหมุนตัวแล้ววิ่งกลับเข้าไปชนกับตาข่ายที่ขึงไว้
เมื่อนำตาข่ายมาคลุมแล้ว คนข้างๆ จะต้องมากดตาข่ายไว้อีกที จากนั้นสัตวแพทย์จะรีบมาวางยาสลบ รอหลังจากยาสลบออกฤทธิ์ประมาณ 10 นาที จึงจะเปิดตาข่ายออก ในเวลานี้กลุ่มชายหนุ่มร่างกำยำที่จับกวางจะรีบวิ่งกรูเข้ามา คนหนึ่งรับผิดชอบมัดขาหลัง คนหนึ่งรับผิดชอบมัดขาหน้า และอีกคนรับผิดชอบดูแลช่วงหัวไม่ให้ขยับเขยื้อน แล้วใช้ตาข่ายคลุมบริเวณเขา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กวางได้รับบาดเจ็บ จากนั้นจะทำการชั่งน้ำหนัก สัตวแพทย์จะเจาะเลือดและเก็บตัวอย่างปรสิตที่อยู่ภายนอกร่างกาย วัดความสูงของไหล่ ความยาวของร่างกาย วัดรอบคอ และสวมปลอกคอดิจิทัล เป็นต้น หลังเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดแล้ว สัตวแพทย์จึงจะให้วัคซีนคลายยาสลบ และปล่อยมันกลับคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม นั่นคือวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 เป็นครั้งแรกที่คุณหวังอิ่งและทีมวิจัยที่มีคุณเหยียนซื่อชิงเป็นหัวหน้าประสบความสำเร็จในการจับกวางป่าและสวมปลอกคอติดตาม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการติดตามวิจัยกวางป่าในไต้หวัน
หลากหลายสถานการณ์วิจัยบนภูเขา
แน่นอนว่า การวิจัยไม่ได้ราบรื่นเสมอไปทุกครั้ง มีช่วงเย็นวันหนึ่งฝนตกหนักลงมาแบบฉับพลัน จุดที่ตั้งแคมป์เป็นบริเวณหุบเขาพอดี มีเนินเขาขนาบสองด้าน และมีการติดตั้งที่ดักจับกวางป่าอยู่ด้านข้าง คุณเหยียนซื่อชิงซึ่งหลับแล้วสักพัก ก็ตื่นขึ้นมาเพื่อดื่มน้ำ แต่กลับพบว่าฐานเต็นท์อ่อนยวบไปมา จึงรีบเปิดเต็นท์ออกมาดู แล้วพบว่าทั้งรองเท้าแตะ หม้อ แก้วน้ำ และสิ่งของต่างๆ นั้นลอยขึ้นมา เขารีบตะโกนบอกให้ทุกคนช่วยกันย้ายของขึ้นไปยังที่สูงกว่านี้ ซึ่งก็น่าจะไม่ปัญหาอะไรแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอหลับไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง น้ำก็ท่วมขึ้นมาอีก ทำให้ตลอดทั้งคืนนั้นต้องวุ่นวายกับย้ายขนสิ่งของหนีน้ำหลายต่อหลายครั้ง สายฝนตกลงมาอย่างหนัก แม้ว่าเราจะสวมเสื้อกันฝนแล้ว ก็ยังชื้นแฉะไปทั่วร่างกาย นอกเต็นท์มีฝูงกวางจ้องมองพวกเราเหมือนกำลังดูละครที่คุณเหยียนซื่อชิงและสมาชิกในทีมขนย้ายสิ่งของไปมาตลอดทั้งคืน
นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีบางเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีก เนื่องจากกวางป่าแต่ละตัวมีนิสัยแตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้สะดวกต่อการเรียก ในทีมวิจัยจึงช่วยกันตั้งชื่อให้เจ้ากวางป่าเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น คุณเหยียนซื่อชิงเรียกกวางตัวหนึ่งว่า เจ้าหนุ่มขี้สงสัย เนื่องจากมันเป็นกวางเพศผู้ตัวใหญ่ที่ไม่เคยกลัวคน ในช่วงเวลาที่ไปตั้งแคมป์ทำการวิจัยมันมักจะเทียวไปเทียวมาอยู่แถวนั้น แม้ว่าเคยถูกจับมาใส่ปลอกคอติดตามแล้ว วันต่อมามันก็จะกลับมาวนเวียนดูว่าสมาชิกในทีมวิจัยทำอะไรกันอยู่ ส่วนอีกตัวชื่อว่า เจ้าหนุ่มแสนรู้ มันจะเข้าไปในตาข่ายเพื่อกินของอร่อย เพียงมีลมพัดกลิ่นหญ้าจากที่แคมป์ลอยไป มันก็จะรีบวิ่งออกมาทันที และทำแบบนี้หลายต่อหลายครั้งจนทีมวิจัยเหนื่อยล้ากับการไล่จับมัน ต่อมา เจ้าหนุ่มแสนรู้ถูกตาข่ายพันเข้าที่เขา มันจึงวิ่งหนีหายไปพร้อมกับเอาตาข่ายติดตัวไปด้วย สมาชิกในทีมวิจัยจำเป็นต้องระดมกำลังออกค้นหา แต่ก็ไม่พบ ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นมันกลับโผล่ออกมาให้เห็นเอง
ความกังวลต่อสภาพแวดล้อมค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การอนุรักษ์คุ้มครองกวางป่าประสบความสำเร็จ กวางป่าเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากแต่การไม่มีศัตรูตามธรรมชาติทำให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อผืนป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่ป่าสนบนภูเขาสูงที่พบว่ามีการตายของต้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งเกินกว่าครึ่งของเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในป่าสนจำพวกเฟอ (firs) หรือป่าสนจำพวกเฮมล็อก (hemlock) ซึ่งสถานการณ์จะรุนแรงเป็นพิเศษในเขตอุทยานแห่งชาติอวี้ซัน (Yu-Shan National Park)
ทีมวิจัยของรองศาสตราจารย์องกั๋วจิง (翁國精) แห่งสถาบันวิจัยคุ้มครองสัตว์ป่า มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผิงตง (National Pingtung University of Science and Technology) ระบุถึงหลักฐานงานวิจัยปัจจุบันว่า ในเขตพื้นที่ตัวอย่างบนภูเขาอวี้ซัน อุจจาระของกวางป่าที่ขับถ่ายออกมาจะปนเปื้อนปรสิตในปริมาณสูงกว่าพื้นที่อื่น และจากการตรวจสอบปริมาณส่วนประกอบของคอนเดนส์แทนนิน (condensed tannins) ในเปลือกไม้กับไผ่ที่กวางกินจากพื้นที่ต่างๆ พบว่ามีความแตกต่างกัน เช่น ในต้นไผ่ลูกศร (arrow bamboo) ไม่พบสารดังกล่าว โดยคอนเดนส์แทนนิน มีคุณสมบัติช่วยกำจัดปรสิตบางชนิดในระบบทางเดินอาหารได้ ดังนั้นด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ จึงอาจทำให้พวกมันต้องแทะเปลือกไม้เป็นอาหาร อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการค้นคว้าวิจัย หลังผลการทดสอบออกมาแล้วจึงจะสามารถยืนยันได้ว่า สมมติฐานเกี่ยวกับกวางป่าสามารถรักษาอาการป่วยด้วยตนเอง เป็นจริงหรือไม่
นอกจากความกังวลในด้านลบแล้ว ยังมีผลการวิจัยที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นทางการ คุณซุนลี่จู (孫麗珠) หัวหน้าฝ่ายจัดการคุ้มครองสัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติโทโรโกะ เปิดเผยว่า เริ่มแรกที่มีการวิจัยเกี่ยวกับกวางป่ามีเป้าหมายสำคัญคือ การเก็บข้อมูลเชิงนิเวศของกวางป่าในพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น หลังจากเกิดความร่วมมือเพื่อทำการวิจัยข้ามเขตพื้นที่เป็นเวลา 4 ปี และทำการสุ่มตัวอย่างอุจจาระของกวางป่ากว่า 1,000 ชุด สันนิษฐานได้ว่า ในยุคสมัยหนึ่งแสนปีก่อน กวางป่าไต้หวันได้รับอิทธิพลจากแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็งบนภูเขาสูงและแนวหิมะที่ตกลงมาสะสมจนกลายเป็นสิ่งที่ขวางกั้น ทำให้กวางป่าไต้หวันแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์คือ พันธุ์โทโรโกะเสวี่ยป้า (Taroko and Shei-Pa national parks) และพันธุ์จงยางซันไม่ (the Central Mountain) ถือเป็นการค้นพบครั้งใหม่ที่สำคัญ และทำให้ชาวไต้หวันเข้าใจถึงความหลากหลายของสายพันธุ์กวางป่ามากยิ่งขึ้น
ความสมดุลด้านนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ และการอนุรักษ์
เมื่อกล่าวถึงคำว่า อนุรักษ์ คุณหวังอิ่งกล่าวว่า 30 กว่าปีก่อน มีการตีความคำว่า Conservation เป็นการอนุรักษ์ไม่ใช่การคุ้มครอง เพราะสมัยนั้นสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญสถานการณ์สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาเริ่มต้นจากการคุ้มครอง เรียกว่า Preserve แล้วรอจนกระทั่งสัตว์มีจำนวนมากขึ้น จึงค่อยกลับมาใช้คำว่าอนุรักษ์ Conserve เขามองว่าความหมายของการอนุรักษ์ คือการคุ้มครองหลังจากที่มันสามารถตั้งครรภ์และขยายพันธุ์เป็นจำนวนมากๆ จากนั้นก็เริ่มใช้ประโยชน์ได้ คุณเหยียนซื่อชิง (顏士清) ยกตัวอย่างของกวางซีกาญี่ปุ่นว่า ประมาณ 100 กว่าปีก่อน กวางญี่ปุ่นสายพันธุ์นี้เคยมีชะตากรรมใกล้จะสูญพันธุ์เนื่องจากการล่าในปริมาณที่มากเกินไป ต่อมาจึงได้กำหนดมาตรการห้ามล่ากวางสายพันธุ์นี้ ไม่นานหลังจากการห้ามล่า กวางซีกาญี่ปุ่นต้องประสบกับศัตรูทางธรรมชาติอย่างสุนัขจิ้งจอก แต่เมื่อสุนัขจิ้งจอกถูกมนุษย์ล่าจนมีจำนวนลดลงจึงทำให้กวางซีกาญี่ปุ่นกลับมามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเติบโตและสมบูรณ์เต็มที่ จึงได้เปิดให้ทำการล่าขึ้นอีกครั้ง ปัจจุบัน ที่เมืองฮอกไกโดจะเปิดให้ล่ากวางซีกาญี่ปุ่นจำนวน 80,000 ตัวต่อปี ซึ่งขณะนี้กวางซีกาญี่ปุ่นยังคงมีจำนวนมากเกินไปจนสร้างความเสียหายต่อเกษตรกรและพื้นที่ป่าอย่างมาก
ปัจจุบัน สถานการณ์ของกวางป่าไต้หวันใกล้เคียงกับญี่ปุ่นเมื่อ 50 ปีที่แล้ว คุณหวังอิ่งมองว่า การอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ด้านหนึ่งก็เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทำให้ประชาชนเข้าถึงและได้ใกล้ชิดกับสัตว์ ปลูกฝังให้ประชาชนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกวางป่า และเข้าใจถึงการอนุรักษ์ระบบนิเวศโดยภาพรวม อีกด้านหนึ่งคือการกำหนดพื้นที่เฉพาะให้ชนเผ่าพื้นเมืองล่าสัตว์เพื่อรักษาปริมาณให้เหมาะสม ลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อม อีกทั้งเป็นการให้เกียรติและช่วยอนุรักษ์ประเพณีและพิธีกรรมการล่าสัตว์แบบดั้งเดิมของชนพื้นเมือง ให้กวางป่าเป็นสะพานเชื่อมของระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และการอนุรักษ์สืบไป