กระแสการ์ตูนไต้หวันกำลังมาแรง
ยุคทองระลอก 3 ที่ไม่ควรพลาด
เนื้อเรื่อง‧ซูลี่อิ๋ง ภาพ‧หลินหมินเซวียน แปล‧อัญชัน ทรงพุทธิ์
มิถุนายน 2025
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ยุคทองระลอกที่ 2 ของการ์ตูนไต้หวัน ถือกำเนิดขึ้นจากสื่อสิ่งพิมพ์ และได้สร้างสรรค์ผลงานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากมาย (ภาพโดย จวงคุนหรู)
เมื่อปี ค.ศ. 2022 Taiwan Panorama เคยรายงานความเคลื่อนไหวของตลาดการ์ตูนไต้หวัน ในขณะนั้น บรรดาผู้ประกอบการต่างสงวนท่าทีต่อการผงาดขึ้นของยุคทองระลอกที่ 3 ของการ์ตูนไต้หวัน และตั้งคำถามว่า จริงหรือที่ยุคทองระลอกที่ 3 กำลังจะมาถึง? ณ เวลานี้สามารถตอบได้อย่างมั่นใจว่า ใช่
การ์ตูนไต้หวันเคยผ่านยุคที่เฟื่องฟูที่สุดมาแล้ว 2 ระลอก ขณะเดียวกันก็ผ่านยุคที่ซบเซาที่สุดมา 2 ครั้งแล้วเช่นกัน โดยยุคที่เฟื่องฟูที่สุด ซึ่งรวมถึงระลอกแรกที่อยู่ในช่วงทศวรรษที่ 1950-1960 ส่วนใหญ่เป็นการ์ตูนแนวกำลังภายใน นักเขียนการ์ตูนที่มีชื่อเสียง ประกอบด้วย เยี่ยหงเจี่ย (葉宏甲) เฉินไห่หง (陳海虹) สวี่เม่าซง (許貿淞) และหลิวซิงชิน (劉興欽) ส่วนระลอกที่ 2 เป็นช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 นักเขียนที่เป็นตัวแทนของยุคนั้น ได้แก่ จูเต๋อยง (朱德庸) ไช่จื้อจง (蔡志忠) อ๋าวโย่วเสียง (敖幼祥) เซียวเหยียนจง (蕭言中) และเจิ้งเวิ่น (鄭問) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม อาทิ นโยบายรัฐบาล และยุคสมัยที่แปรเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการ์ตูนไต้หวัน นอกจากนี้ นโยบายการผลักดันระเบียบการกำกับดูแลการตีพิมพ์หนังสือการ์ตูน ทำให้ยุคทองระลอกที่ 1 ต้องปิดฉากลงอย่างกะทันหัน ส่วนยุคทองระลอกที่ 2 ซบเซาลงในยุคอินเทอร์เน็ต เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและความบันเทิงของผู้อ่าน
ความทรงจำเกี่ยวกับการ์ตูนไต้หวันที่เคยขาดหายไป บวกกับต้องการเพียงแค่ให้ได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ รวมถึงการ์ตูนมังงะจากญี่ปุ่นที่ต้นทุนการตีพิมพ์ต่ำกว่า ตาทัพเข้าสู่ตลาดไต้หวัน ทำให้ผู้อ่านต่างลืมเลือนไปแล้วว่า หนังสือการ์ตูนไต้หวันหน้าตาเป็นยังไง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2018 พิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ (National Palace Museum) หรือเรียกย่อว่า กู้กง ริเริ่มจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเจิ้งเวิ่น นักเขียนการ์ตูนไต้หวันเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ นิทรรศการเจิ้งเหวิ่นในกู้กง พันปีมีเพียงหนึ่งเดียว (千年一問:鄭問故宮大展) โดยจัดแสดงภาพวาดต้นฉบับที่หลอมรวมเทคนิคการวาดภาพด้วยสีน้ำมัน และเทคนิคการสาดหมึกแบบจีน สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง ภายในเวลาสั้น ๆ เพียง 3 เดือน สามารถดึงดูดผู้คนมาเข้าชมได้มากกว่า 100,000 คนครั้ง และเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้อย่างล้นหลาม ซึ่งต่างก็อุทานออกมาว่า ผลงานที่ประณีตงดงามเช่นนี้ เป็นฝีมือของนักเขียนการ์ตูนไต้หวันจริงหรือ? ทำไมพวกเราไม่เคยรู้มาก่อน?

Moonsia (ภาพโดย LINE WEBTOON)
ได้รับการยอมรับในระดับประเทศเป็นครั้งแรก หนังสือการ์ตูนก้าวสู่เวทีระดับชาติ
ที่ผ่านมา หนังสือการ์ตูนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากนโยบายของรัฐบาลและสภาพแวดล้อม ภายใต้ค่านิยมทางสังคมที่มองว่า วัฒนธรรมดั้งเดิมและงานศิลปะอันสูงส่งเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ในขณะที่เนื้อหาของการ์ตูนจะเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน จึงมักถูกมองว่าไร้เดียงสา และไม่เหมาะที่จะนำมาเผยแพร่
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทำให้ค่านิยมทางสังคมแปรเปลี่ยนไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นที่เติบโตขึ้นมากับหนังสือการ์ตูน กลายมาเป็นผู้บริโภคที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งบางคนกลายเป็นนักสร้างสรรค์และนักวิจัย ประกอบกับมีการยกระดับด้านสุนทรียศาสตร์ให้สูงขึ้น ทำให้หนังสือการ์ตูนสามารถเข้าถึงทั้งผู้มีรสนิยมทางศิลปะและคนทั่วไป ส่งผลให้ได้รับการยอมรับอีกครั้งจากผู้คนในทุกช่วงอายุและทุกระดับชั้น
การจัดแสดงผลงานของเจิ้งเวิ่นในพิพิธภัณฑ์ระดับชาติ เป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่อดีตประธานาธิบดีไช่อิงเหวินเคยกล่าวหลายครั้ง ในช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งผู้นำไต้หวันว่า การ์ตูนไต้หวันมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมสารัตถะ (Content Industry) เป็นอย่างยิ่ง
ในปี ค.ศ. 2019 มีการก่อตั้งศูนย์หนังสือการ์ตูน (Taiwan Comic Base) ขึ้นที่ย่านถนนหัวอินเจียในกรุงไทเป และช่วงปลายปี ค.ศ. 2023 พิพิธภัณฑ์การ์ตูนแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Museum of Comics, NTMC) ได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการที่นครไทจง หลังผ่านการเตรียมการมาเป็นเวลานาน ทั้งหมดนี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า การ์ตูนไต้หวันได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การ์ตูนไต้หวันได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างจริงจัง และแล้วยุคเฟื่องฟูที่สุดของหนังสือการ์ตูนไต้หวัน ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็มาถึง ซูเหวยซี (蘇微希) นายกสมาคมส่งเสริมแอนิเมชันและหนังสือการ์ตูนไต้หวัน (Taiwan Animation and Comic Promoting Association, TACPA) กล่าวชมเชยว่า เป็นครั้งแรกที่ฐานะทางสังคม ค่านิยมทางสังคม และคุณค่าทางวัฒนธรรม ได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นจากแรงขับเคลื่อนของประเทศ
ในครานี้ ทีมงาน Taiwan Panorama ได้ไปสัมภาษณ์ หยางถิงเจิน (楊婷媜) อธิบดีกรมมนุษยศาสตร์และการพิมพ์ กระทรวงวัฒนธรรมเป็นการเฉพาะ ซึ่งเธอได้กล่าวถึงพิพิธภัณฑ์หนังสือการ์ตูนแห่งชาติไต้หวันที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ร้านหนังสือภายในพิพิธภัณฑ์ตั้งใจนำเสนอการบริการในรูปแบบการให้เช่าหนังสือ เนื่องจากหลายคนมีความทรงจำในวัยเด็กที่แอบเข้าไปร้านเช่าหนังสือ พิพิธภัณฑ์ระดับชาติแห่งนี้ ช่วยรื้อฟื้นความทรงจำดังกล่าว ตลอดจนพาไปย้อนรำลึกถึงอดีต และพลิกฟื้นการประเมินคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
หวงเจี้ยนเหอ บรรณาธิการบริหารของ Dala Publishing เข้าสู่วงการมา 35 ปี สามารถหยิบยกประวัติย่อของการ์ตูนไต้หวันขึ้นมาเล่าได้ในทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาครุ่นคิด
หนังสือการ์ตูนเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสารัตถะ
เจิ้งลี่จวิน (鄭麗君) รองนายกรัฐมนตรีไต้หวัน เคยกล่าวในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมว่า จะผลักดันให้การ์ตูนกลายเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสารัตถะ หยางถิงเจินอธิบายถึงสาเหตุที่การ์ตูนไต้หวัน ถูกจัดให้เป็นรายการหลักของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล เนื่องจากในแง่มุมของอุตสาหกรรมสารัตถะ หนังสือการ์ตูนครบถ้วนไปด้วยองค์ประกอบด้านตัวละคร สตอรี่บอร์ด (Storyboard) และการเล่าเรื่องราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้สะดวกต่อการแปลเป็นภาษาอื่น สำหรับรัฐบาล ในฐานะที่เป็นผู้วางรากฐานด้านสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ได้ทำอะไรไปบ้าง?
หยางถิงเจินเล่าว่า รัฐบาลได้ก่อตั้งรางวัล Golden Comic Awards ขึ้นในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งเป็นรางวัลระดับประเทศที่มอบให้แก่ผลงานการ์ตูนยอดเยี่ยม โดยสถานีโทรทัศน์ Taiwan Television (TTV) เป็นผู้จัดพิธีมอบรางวัลและทำการถ่ายทอดสด เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของวงการหนังสือการ์ตูน และทำให้ Golden Comic Awards มีสถานะเทียบเท่ากับรางวัล Golden Horse Awards ของวงการภาพยนตร์ Golden Bell Awards ของวงการโทรทัศน์ และ Golden Melody Awards ของวงการเพลง นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 2018 รัฐบาลยังได้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการ์ตูน ภายใต้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต (Forward-Looking Infrastructure Development Program) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้นักสร้างสรรค์ผลงานรุ่นใหม่เข้าสู่อุตสาหกรรมการ์ตูน
ซูเหวยซี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษาการเตรียมการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การ์ตูนแห่งชาติไต้หวัน เปิดเผยว่า หน่วยงานกำหนดนโยบายในภาครัฐ ควรพิจารณาจากมุมมองของอุตสาหกรรมสารัตถะ และอุตสาหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property : IP) นอกจากมุ่งเน้นไปที่การให้รางวัลแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน ยังควรพิจารณาถึงปัจจัยอื่น อาทิ การจัดพิมพ์ การพัฒนากลุ่มผู้อ่าน การจัดตั้งแพลตฟอร์มการอ่าน การพัฒนาบริภัณฑ์รอบข้าง ลิขสิทธิ์สากล และการดัดแปลงเนื้อหาหนังสือการ์ตูน เพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์และสื่ออื่น ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยรวมได้เป็นอย่างมาก
หากพิจารณาจากกลุ่มเป้าหมายที่กองทุนส่งเสริมหนังสือการ์ตูนให้การสนับสนุน ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้สร้างสรรค์ผลงานเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงผู้จัดพิมพ์ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนการดัดแปลงเนื้อหาและบทประพันธ์ข้ามวงการ โดยรางวัล Golden Comic Awards นอกจากจะมอบให้แก่ผู้สร้างสรรค์ผลงาน อาทิ รางวัลนักเขียนหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และรางวัลหนังสือการ์ตูนแห่งปีแล้ว ยังรวมถึงรางวัลบรรณาธิการยอดเยี่ยม และการประยุกต์ใช้ข้ามสาขาอีกด้วย
ในด้านการซื้อขายลิขสิทธิ์ไปยังต่างประเทศ หากสำนักพิมพ์ต่างประเทศขาดแคลนงบประมาณสำหรับการแปลผลงาน ก็สามารถยื่นขอทุนสนับสนุน ผ่านโครงการส่งเสริมการแปลและจัดพิมพ์ของกระทรวงวัฒนธรรมได้เช่นกัน
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
การเปิดฉากขึ้นของนิทรรศการเจิ้งเวิ่น ในปี ค.ศ. 2018 ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนการ์ตูนไต้หวันคนแรก ที่ได้จัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติหรือกู้กง (ภาพโดย จวงคุนหรู)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
หยางถิงเจินชี้ว่า ด้วยองค์ประกอบพื้นฐานที่ครบถ้วน ทั้งด้านตัวละคร สตอรี่บอร์ด และการเล่าเรื่องราว ทำให้การ์ตูนไต้หวันมีข้อได้เปรียบในการดัดแปลงไปสู่สื่อประเภทอื่น
หลายสิ่งมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ในปี ค.ศ. 2010
แน่นอนว่าการฟื้นตัวขึ้นและค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความเฟื่องฟูของวงการการ์ตูนไต้หวัน ไม่ได้เกิดจากการสนับสนุนของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว
ปี ค.ศ. 2010 มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน หวงเจี้ยนเหอ บรรณาธิการบริหารของ Dala Publishing เปิดประเด็นด้วยประโยคดราม่า ก่อนจะเล่าถึงที่มาและผลกระทบของยุคทองแห่งการ์ตูนไต้หวันในระลอกที่ 3
ไม่ว่าจะเป็นช่วงปี 1966–1989 หรือปี 2000–2010 ซึ่งถือเป็น 2 ยุคมืดของอุตสาหกรรมหนังสือการ์ตูนไต้หวัน การหายไปของหนังสือการ์ตูนไต้หวันค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น แม้ว่า หากมองเพียงผิวเผิน อุตสาหกรรมนี้ดูเหมือนขาดแคลนช่องทางการตีพิมพ์ที่เพียงพอ แต่ความปรารถนาในการเล่าเรื่องของนักเขียนและนักสร้างสรรค์การ์ตูน กลับไม่เคยเลือนหายไป เช่นเดียวกับที่ผู้อ่านไม่เคยจากไปไหน
สิ่งแรกที่สามารถยืนยันข้อความข้างต้นก็คือ กิจกรรมโดจินชิที่สำคัญหลายงานทยอยจัดขึ้นในไต้หวัน ซึ่งเป็นการเลียนแบบมหกรรมโดจินชิของญี่ปุ่น (มหกรรมโดจินชิคือกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แฟนอนิเมะและมังงะได้พบปะแลกเปลี่ยนกัน รวมถึงจำหน่ายมังงะที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นเอง โดยอ้างอิงจากผลงานต้นฉบับและบริภัณฑ์รอบข้าง ซึ่งแตกต่างจากงานนิทรรศการอนิเมะทั่วไป) ไม่ว่าจะเป็นเทศกาล Fancy Frontier (FF) ที่จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ 2002 หรือมหกรรมหนังสือการ์ตูนไต้หวันโลก (Comic World Taiwan, CWT) ที่จัดขึ้นในปีเดียวกัน โดยปรับเปลี่ยนมาจากมหกรรมหนังสือการ์ตูนโลก (Comic World, CW) ซึ่งจำนวนผู้เข้าร่วมงานทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตามมาด้วย ในปี ค.ศ 2009 ได้มีการเปิดตัวนิตยสารการ์ตูนชื่อ Creative Comic Collection (CCC) และสื่อประชาสัมพันธ์อื่น ๆ เพื่อเผยแพร่เนื้อหาโครงการทรัพยากรดิจิทัล (Digital Resources program) ของ Academia Sinica ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยแห่งชาติของไต้หวัน
นิตยสาร CCC มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหกรรมการ์ตูนโดจินชิอย่างที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เนื่องจากในขณะนั้น นักเขียนการ์ตูนไต้หวันที่สามารถตีพิมพ์ผลงานผ่านสำนักพิมพ์ในเชิงพาณิชย์มีน้อยมาก เวินฉุนหย่า (溫淳雅) บรรณาธิการ CCC เล่าว่า ในยุคนั้น ทีมบรรณาธิการต้องค้นหานักสร้างสรรค์การ์ตูนที่สามารถร่วมงานกันได้จากงานมหกรรมโดจินชิ
นิตยสาร CCC ซึ่งมีนักเขียนการ์ตูนที่ได้รับความนิยมหรือมีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนเข้าร่วม ในช่วงแรก (ฉบับที่ 1–4) ที่ยังไม่ได้เป็นสื่อสิ่งพิมพ์เชิงพาณิชย์ มีการแจกฟรีในงานมหกรรมการ์ตูนโดจินชิของไต้หวัน อย่างงานเทศกาล Fancy Frontier และมหกรรม CWT สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ในขณะนั้น นิตยสาร CCC แต่ละฉบับ ซึ่งจัดพิมพ์ออกมามากถึง 5,000 เล่ม ถูกหยิบไปจนหมดอย่างรวดเร็ว บางคนที่พลาดโอกาสถึงกับยอมควักเงินในกระเป๋าของตนเอง เพียงเพื่อขอให้มีการพิมพ์ซ้ำ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้นิตยสาร CCC ซึ่งเดิมวางแผนจะตีพิมพ์เพียงฉบับเดียวเท่านั้น ถูกตีพิมพ์ในระยะยาว นอกจากนี้ ด้วยกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 2012 Academia Sinica จึงได้ทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสิ่งพิมพ์ให้แก่สำนักพิมพ์ Gaea Books เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้นิตยสาร CCC กลายเป็นสื่อสิ่งพิมพ์เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ
ซูเหวยซี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารหรือซีอีโอของ Fancy Frontier เล่าถึงเหตุการณ์ข้างต้นว่า ในยุคที่นักเขียนหน้าใหม่แทบไม่มีโอกาสได้เข้าสู่วงการหนังสือการ์ตูนเชิงพาณิชย์ มหกรรมโดจินชิจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะนักเขียนรุ่นใหม่ไปโดยปริยาย ในงานมหกรรมโดจินชิ บรรดานักสร้างสรรค์ผลงานสามารถสร้างสรรค์ ผลิต และจำหน่ายผลงานด้วยตนเอง พร้อมกันนี้ ยังเป็นการฝึกฝนทักษะฝีมือในการวาดการ์ตูนของตนเองไปด้วย ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่เพิ่งเข้าสู่วงการ จะมีประสาทสัมผัสในด้านการตลาดที่ดีเป็นพิเศษ เพราะหากวาดได้ไม่ดี หรือยึดติดกับมุมมองของตัวเองมากเกินไป ก็จะไม่มีใครยอมควักเงินซื้อผลงาน ดังนั้น พวกเขาจึงเข้าใจดีว่า นอกจากยึดมั่นในอุดมคติและรสนิยมของตัวเองแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความชื่นชอบของผู้อ่านด้วย
คุณลักษณะพิเศษนี้ ได้ปูทางไปสู่ยุคทองระลอกใหม่ของการ์ตูนไต้หวัน ที่กำลังมาแรง !

รางวัล Golden Comic Awards ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของวงการการ์ตูนไต้หวัน มีเกียรติยศเทียบเท่ากับรางวัล Golden Horse, Golden Bell และ Golden Melody ในวงการภาพยนตร์ โทรทัศน์ และเพลงของไต้หวัน (ภาพโดย กระทรวงวัฒนธรรม)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
นิตยสาร Creative Comic Collection (CCC) เป็นตัวเร่งให้เกิดยุคทองระลอกที่ 3 ของหนังสือการ์ตูนไต้หวัน
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
ในงานมหกรรมโดจินชิ มีนักเขียนการ์ตูนชื่อดังมารวมตัวกันมากมาย บรรดานักเขียนที่มีกลุ่มแฟนคลับของตัวเอง หรือเรียกกันว่า นักเขียนที่มียอดวิวสูง ช่วยให้นิตยสาร CCC ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงแรก (ภาพโดย เทศกาล Fancy Frontier)
.jpg?w=1080&mode=crop&format=webp&quality=80)
มหกรรมโดจินชิได้รับความนิยมมากในไต้หวัน และถูกมองว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะนักวาดการ์ตูนที่สำคัญ (ภาพโดย เทศกาล Fancy Frontier)