ความยากลำบากในเส้นทางแห่งนาฏศิลป์ไทย
"ถ้าเราไม่รักและหวงแหนในศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ นาฏศิลป์ไทยของเราจะเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็มีคนที่อยากรำไทยน้อยมากอยู่แล้ว” นาฏศิลป์ไทยมีความคล้ายคลึงกับกถักกฬิ (Kathakali) ซึ่งเป็นนาฏศิลป์ของอินเดียตอนใต้ เวลาแสดงจะใช้การเคลื่อนไหวของท่ารำซึ่งใช้มือ, สายตา, ลำตัว และการก้าวเท้าเพื่อสื่อความหมาย ถือเป็นการทดสอบทักษะความสามารถของผู้แสดงรำเป็นอย่างมาก
“อย่างการวอร์มร่างกายก่อนการรำ อาจารย์ในสถาบันนาฏศิลป์จะให้นักเรียนทำอย่างน้อย 100 ครั้ง” มุทิตา อ้อยบำรุง หรือชื่อจีนว่า เสี่ยวฉิง (筱晴) ทำการสาธิตการดัดตัวของนางรำ เช่น การดัดมือให้นิ้วโค้งไปด้านหลังมือเหมือนเส้นโค้งของตัวอักษร S ได้อย่างน่าทึ่ง คุณมุทิตาเริ่มเรียนรำไทยตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เป็นเพราะผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นเวลายาวนานนี่เอง จึงทำให้กระดูกมีความอ่อนตัวยืดหยุ่นได้เช่นนี้
นางรำที่ดีจะต้องใส่ใจในรายละเอียดทุกการเคลื่อนไหวของท่ารำต่างๆ เพื่อที่จะทำการแสดงได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเบื้องหลังนั้นผ่านการฝึกฝนมาอย่างทรหด “นาฏศิลป์ไทยที่เป็นการแสดงรำชั้นสูง อิริยาบถและท่ารำต่างๆ จะต้องรำตามแบบฉบับที่ถูกต้อง ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เองตามใจชอบ” คุณพรวลัยอธิบายเรื่องแบบแผนของการรำ เช่น การตั้งวงสูงของตัวนาง ปลายนิ้วจะต้องยกให้สูงระดับหางคิ้ว หรือแต่ละท่าต้องอยู่ในตำแหน่งใดก็จะต้องจัดวางให้ถูกต้อง การย่อเข่าของตัวพระและตัวนางจะกันเข่าออกกว้างไม่เท่ากัน เป็นแบบแผนที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
จากการที่ได้รำถวายพระพรหม เมื่อดูจากอัตราจำนวนการจ้างรำแก้บนของลูกค้า ก็จะรู้ว่าพระพรหมศักดิ์สิทธิ์เพียงใด “มีลูกค้าบางคนที่เพิ่งแก้บน และผ่านไปแค่หนึ่งสัปดาห์ก็ติดต่อกลับมาให้พวกเรารำแก้บนให้อีก” แสดงให้เห็นว่า หลังจากลูกค้าแก้บนแล้ว แค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ ความปรารถนาก็เป็นจริง และยังมีลูกค้าบางคนที่แก้บนเป็นประจำทุกเดือน จากการเรียกหาของพระพรหม ทำให้คณะนาฏศิลป์พรหมสี่หน้าต้องเดินทางไปรำที่ศาลพระพรหมทั่วไต้หวันตั้งแต่เหนือจรดใต้อยู่เป็นประจำ
นับตั้งแต่ก่อตั้งคณะนาฏศิลป์พรหมสี่หน้ามาจนถึงทุกวันนี้ รายได้จากแสดงรำทางคณะได้นำไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือองค์กรเพื่อการกุศลต่างๆ เป็นประจำ จนถึงปัจจุบันบริจาคเงินไปแล้วกว่า 310,000 เหรียญไต้หวัน นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า พวกเขารักไต้หวัน และรักประเทศไทยด้วย “ฉันคงไม่ไปจากไต้หวันแล้ว เพราะตอนนี้ไต้หวันคือบ้านของฉัน" คุณปิยะรัตน์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคณะ อาศัยอยู่ในไต้หวันเป็นเวลา 14 ปีแล้ว และก็เป็นคนไต้หวันครึ่งหนึ่งมานานแล้วด้วย ส่วนคุณญาติกาซึ่งทำงานและใช้ชีวิตในไต้หวันมานานกว่าสิบปี ก็วางแผนจะตั้งรกรากถาวรที่ไต้หวันเช่นกัน เธอพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ฉันรักไต้หวัน”
นางรำแสนสวยกลุ่มนี้ซึมซับศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมจากเมืองไทยซึ่งเป็นดินแดนแห่งศิลปะอันอุดม และได้นำมาเปล่งประกายเจิดจรัสในไต้หวัน สำหรับนางรำ “คณะนาฏศิลป์พรหมสี่หน้า” ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พระพรหมกำหนดไว้แล้วอย่างดีที่สุด
ในการประกวดเต้นรำของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ครั้งที่ 1 จัดโดย กระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน คณะนาฏศิลป์พรหมสี่หน้าได้รับรางวัลชนะเลิศพิเศษ ซึ่งเป็นรางวัลที่ต้องได้ 90 คะแนนขึ้นไปจากคณะกรรมการไม่ต่ำกว่า 5 ใน 7 คน (ภาพจาก คณะนาฏศิลป์พรหมสี่หน้า)