ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เชฟหนุ่มสาวรุ่นใหม่ทั้งที่กลับจากต่างประเทศ หรือมีประสบการณ์ผ่านการฝึกฝนจากร้านอาหารหรูหราราคาแพง ต่างเลือกที่จะเปิดร้านอาหารสไตล์ฟิวชัน (Fusion Food) ที่ใช้วิธีการปรุงแบบตะวันตกแต่ยังคงรสชาติดั้งเดิมจากถิ่นกำเนิดของอาหารเอาไว้ แน่นอนว่า ร้านอาหารไต้หวันสไตล์ฟิวชัน เป็นหนึ่งในกระแสความนิยมดังกล่าวด้วย แต่คำถามที่ผุดขึ้นในใจของบรรดานักปรุงอาหารคือ ฉันคือใคร มาจากไหนและกำลังมุ่งไปในทิศทางใด
ร้านกาแฟ Kopi Ibrik / ก้าวช้าๆ ทีละก้าว เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงปี อาเซียนผู้เป็นเจ้าของร้านเล่าว่า เมื่อก่อน ถ้าพูดถึงกาแฟตุรกี ไม่มีใครคิดว่าจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงกาแฟเกรดพรีเมี่ยมได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเริ่มนำเอาภาษาของกาแฟเกรดพรีเมี่ยมมาใช้ โดยเริ่มจากการศึกษาถึงการวัดค่าการสกัด (extraction yield) สายพันธุ์เมล็ดกาแฟและสถานที่เพาะปลูกกาแฟ จึงสามารถดึงดูดความสนใจของบรรดาผู้รักการดื่มกาแฟทั้งหลาย
ในโลกของการทำอาหารก็เช่นกัน พัฒนาการของอาหารและเครื่องดื่มจากอดีตถึงปัจจุบัน อาหารตะวันตกได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาสากล ยิ่ง ณ เวลานี้ กระแสความนิยมที่กำลังมาแรงของอาหารยุโรปเหนือที่ให้ความสำคัญกับรสชาติดั้งเดิมและต้องเข้ากับฤดูกาล ทำให้เชฟทั่วโลกต่างงัดวิชาและประสบการณ์ทั้งหมดที่มีอยู่ ทุ่มเทลงไปกับการคิดค้นเมนูอาหารตะวันตกโดยเน้นการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ลูกค้าไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งอื่นก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงรสชาติและถิ่นกำเนิดของอาหารชนิดนั้น อาเซียนเล่าว่า ปัจจุบันแม้แต่อาหารอินเดีย หรืออาหารเปอร์เซียก็กำลังเบนเข็มมาในทิศทางนี้
อาหารนวัตกรรมใหม่ที่มีหลักอ้างอิงและมีตรรกะ
พ่อครัวที่ผ่านการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์มานานกลุ่มนี้กำลังทดลองนำเอาบริบทของอาหารไต้หวันผสมผสานลงไปในอาหารฝรั่งเศส หรือนำเอาอาหารตะวันตกมาประยุกต์และปรับรสชาติใหม่ให้คุ้นลิ้นคนไต้หวัน ในอดีตกระแสความนิยมอาหารตะวันตกภายใต้การนำของร้าน Meowvelous Cafe & Restaurant ที่เมนูหลักจะใช้เนื้อสัตว์ก้อนโตเสิร์ฟพร้อมกับเส้นสปาเก็ตตี้ หรือข้าวอบ แต่ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นวิธีการปรุง รสชาติที่ผสมผสานกันออกมา ความประณีตหรือภาพรวมของเมนูแต่ละจานล้วนเหนือชั้นกว่าอาหารสร้างสรรค์ที่เคยได้รับความนิยมในอดีต อาเซียนกล่าวว่า นี่ไม่ใช่อาหารฝรั่งเศส แต่น่าจะบอกว่าเป็นอาหารที่มีถิ่นกำเนิดจากฝรั่งเศสที่นำมาปรุงรสใหม่ตามแบบอย่างอาหารไต้หวัน ผมจัดอาหารจำพวกนี้เข้าไว้ในกลุ่มของอาหารไต้หวันสไตล์ตะวันตก
สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดของ อาหารนวัตกรรมใหม่กับอาหารสร้างสรรค์คืออะไร
อาเซียนเล่าถึงร้านติ่มซำ yamíTcha ที่ปารีส กับร้านอวี้เจียฉูฝาง (喻家廚房) ที่เสฉวนว่า Adeline Grattard เชฟประจำร้าน yamíTcha มีพื้นฐานด้านการทำอาหารฝรั่งเศสและเคยทำอาหารกวางตุ้ง ทั้งสองอย่างนี้ได้ถูกผสมผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ลูกค้าชิมเพียงคำเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามันคืออาหารที่ปรุงด้วยฝีมือของเธอ ส่วนร้านอวี้เจียฉูฝางนั้น เชฟจะรักษามาตรฐานของอาหารดั้งเดิมเอาไว้เป็นอย่างดี จากนั้นจึงจะไปคิดค้นเมนูใหม่ที่เป็นสไตล์ของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น พู่กันกรอบ (毛筆酥 อ่านว่าเหมาปี่ซู) อาหารเมนูนี้มีรูปลักษณ์เหมือนพู่กัน ดูผ่านๆ คล้ายกับอาหารโมเลกุล (Molecular Gastronomy) แต่หากเดินเข้าไปในครัวจะพบว่าเครื่องครัวที่ใช้ทำอาหารมีเพียงเขียงกับมีดปังตอเท่านั้น และนี่ก็คือสิ่งที่เราเรียกมันว่า ฝีมือนั่นเอง
ความแตกต่างอยู่ที่รากฐาน อาเซียนกล่าว อาหารสร้างสรรค์ส่วนใหญ่จะเป็นการเสนอไอเดียขึ้นมาเท่านั้น ส่วนมากจะไม่อร่อย แต่อาหารนวัตกรรมใหม่นอกจากจะเป็นการคิดค้นเมนูใหม่ขึ้นมาแล้ว ยังนำเอาแนวคิดใหม่มาใช้ปฏิบัติด้วย ในวงการอาหารและเครื่องดื่มระดับมืออาชีพ ไม่มีทางลัดใดๆ ที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายโดยง่าย มีเพียงลงมือฝึกฝนและทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดจนต้องผ่านบททดสอบของกาลเวลาเพื่อสั่งสมประสบการณ์ให้กลายเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อาเซียนยังย้ำว่า การมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งทำให้สิ่งที่แต่งเติมลงไปมีตรรกะ และมีหลักอ้างอิง มิฉะนั้นก็เหมือนกับการทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่มีหลักยึดเหนี่ยว
เพราะคิดถึงบ้านจึงอยากทำสิ่งนี้
นอกจากร้าน Hero Restaurant ที่เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ.2013 ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของร้านอาหารสไตล์ฟิวชันในไต้หวันแล้ว อาเซียนบอกว่ายังมีร้าน Akame และ Lovely Casual Dining Room ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นตัวแทนร้านอาหารสไตล์ฟิวชันเช่นกัน แต่ทั้งสองร้านนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตกรุงไทเปซึ่งถือเป็นแหล่งรวมร้านอาหารหรูหราราคาแพง อาเซียนเล่าต่อไปว่า บางครั้งคงเพราะคุณคิดถึงบ้าน คุณจึงอยากจะทำสิ่งนี้ บรรดาเชฟที่มีประสบการณ์ผ่านงานด้านอาหารและเครื่องดื่มมานานหลายปี ก็เหมือนกับฝูงปลาที่แหวกว่ายหลีกหนีความจอแจของสังคมเมือง กลับสู่ถิ่นกำเนิดแล้วเปิดร้านอาหารที่มีสไตล์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหาร วัตถุดิบหรืออุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร ล้วนบ่งบอกถึงบุคลิกภาพและความลุ่มลึกของเชฟได้เป็นอย่างดี
คุณนิโคลา เฉิง (程翔珈 เฉิงเสียงเจีย) ซึ่งเคยเป็นพ่อครัวในร้านอาหารตะวันตกที่เก่าแก่เช่น ร้าน Rialto Cucina Italiana และร้าน De Loin Restaurant กับภรรยาคือคุณโจลี่ เฉิน(陳淳珍 เฉินฉุนเจิน) ซึ่งอดีตเคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ ตัดสินใจกลับสู่บ้านเกิดที่เถาหยวน ลงมือรีโนเวทบ้านของตนเองแล้วเปิดเป็นร้านอาหารชื่อ Lovely Casual Dining Room ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นภายในร้าน เชฟยกอาหารเมนูเด็ด บะหมี่เอ็นหอยกุ้งสดตุ๋นเหล้าเส้าซิง ออกมาเสิร์ฟ น้ำซุปของบะหมี่ปรุงจากซอส 3 ชนิดรวมกัน ได้แก่ ซอสกุ้งของฝรั่งเศสกับน้ำซุปไก่ ส่วนซอสอีกชนิดได้จากการนำเอ็นหอยแห้งลงไปแช่กับเหล้าเส้าซิงเป็นเวลา 1 คืน จากนั้นนำไปนึ่งแล้วฉีกเอ็นหอยออกเป็นเส้นๆ แล้วเอาไปแช่เหล้าอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดคือที่มาของรสชาติอาหารเมนูนี้
อีกเมนูหนึ่งคือ แฮมเบอร์เกอร์หมูพะโล้ตงพอกับกะหล่ำดอกและถั่วลิสง ที่มีกลิ่นหอมของหมูพะโล้ตงพอฟุ้งกระจายและยังคงไว้ซึ่งความสะใจจากการกินแฮมเบอร์เกอร์คำโตๆ หมูพะโล้ชิ้นใหญ่ที่ถูกนำมาฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้ววางซ้อนกันลงไป ได้รสชาติที่กลมกล่อมละเมียดละไมและไม่ทำให้คนกินรู้สึกรำคาญเส้นใยเนื้อหมูที่เหนียวติดซอกฟัน
เนื่องจากคุณโจลี่เป็นคนชื่นชอบการสะสมของเก่า อาหารของร้าน Lovely Casual Dining Room จึงจัดวางมา
บนภาชนะหรือเครื่องครัวเก่าที่เป็นสมบัติของตระกูล หรือไม่ก็เป็นถ้วยชามโบราณที่ตระเวนหาซื้อมาจากที่ต่างๆ ทำให้ได้บรรยากาศที่ค่อนข้างพิเศษและดูมีรสนิยม ชาไต้หวันถูกเสิร์ฟมาเป็นรายการสุดท้ายหลังอาหาร โดยใช้กาน้ำชาซึ่งเป็นของเก่าที่ปู่คุณโจลี่ทิ้งไว้ให้ ชาไต้หวันที่ชงด้วยกาที่เป็นเครื่องเคลือบดินเผาประเภท Dark-red Enameled จะให้รสชาติชาที่เข้มข้นและกลมกล่อมมากขึ้น นอกจากนี้ เธอยังได้แรงบันดาลใจจากชาดอกไม้หรือสมุนไพรของตะวันตก ลูกค้าสามารถเลือกชาดอกกุหลาบ ชาดอกคาโมมายล์ หรือชาเปปเปอร์มินต์ได้ตามใจชอบ กลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพรที่โชยออกมา เพิ่มความรู้สึกเบิกบานได้ไม่น้อย
กับคำถามที่ว่า ทำไมจึงเลือกทำอาหารจีน? คุณนิโคลาตอบว่า เพราะผมชอบกินอาหารจีน หลังผ่านประสบการณ์ในร้านอาหารจีน อาหารญี่ปุ่นและบุฟเฟต์ แม้ในเวลาต่อมาได้เบนเข็มไปทางอาหารตะวันตก แต่ความทรงจำเกี่ยวกับอาหารจากฝีมือที่อ่อนโยนของคุณแม่ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจและกลายเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในอาหารที่คุณนิโคลาทำออกมา
หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
เดือนตุลาคมปีค.ศ.2016 ร้าน Hero Restaurant ได้ย้ายจากเมืองหนานโถวมาเปิดใหม่ที่นครไทจง และยังได้ดึงคุณหลินข่ายเหวย (林凱維) เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย NKUHT (National Kaohsiung University of Hospitality and Tourism) ของคุณเซียวฉุนหยวน (蕭淳元) มาร่วมงานด้วย และเริ่มใช้ระบบเชฟคู่ ทำให้ทีมพ่อครัวของร้านสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น นับเป็นการจับคู่ที่เข้าขากันได้อย่างลงตัว ทั้งคู่เรียนการทำอาหารจีนมาโดยตรง คุณเซียวฉุนหยวนกำหนดอนาคตของตนเองไว้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วว่า จะก้าวไปสู่เส้นทางของการทำอาหารสไตล์ฟิวชัน เขามีประสบการณ์การทำงานในร้านตู้เสี่ยวเยว่ (渡小月) สาขาอี๋หลาน ร้าน L'atelier de Jol Robuchon ในกรุงไทเป ร้าน Bulgari restaurant และร้าน Ogasawara Hakushaku Tei ที่ญี่ปุ่น ส่วนคุณหลินข่ายเหวยหลังจบมหาวิทยาลัยได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ Institut Paul Bocuse ประเทศฝรั่งเศส เคยเป็นเชฟประจำร้าน Yet Sen restaurant ที่นครไทจง ซึ่งทำให้เขาได้รับการจับตามองเป็นอย่างมาก คุณหลินข่ายเหวยเล่าว่า Yet Sen restaurant ต้องการนำเสนออาหารที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีราคาแพง ไม่ได้เน้นเรื่องวัตถุดิบในท้องถิ่น แต่อาหารบางเมนูแฝงไว้ด้วยรสชาติของอาหารจีน เขายังเสริมในตอนท้ายว่า สภาพการณ์ในปัจจุบันดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น
เมนูอาหารประจำฤดูกาลของร้าน Hero Restaurant ที่ดึงดูดความสนใจจากอาเซียนมากที่สุดคือ กุ้งผัดหน่อไม้ฝรั่งขาวหยุนหลินไข่ปลากระบอกแปะฮะบด อาหารเมนูนี้ได้ไอเดียมาจากอาหารจีนคือกุ้งผัดหน่อไม้ฝรั่งกับแปะฮะ แต่ไม่เหมือนกับอาหารจีนแบบดั้งเดิมที่จะนำเอาวัตถุดิบทุกอย่างมาผัดคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน หากแต่ใช้วิธีการปรุงอาหารแบบตะวันตกที่แยกปรุงรสวัตถุดิบทีละอย่าง กุ้งแดงนำไปเผาครึ่งสุกครึ่งดิบ หน่อไม้ฝรั่งขาวนำไปต้มแล้วทอดด้วยเนย หน่อไม้ฝรั่งสีเขียวนำไปต้มในน้ำเกลือแล้วบดให้ละเอียด ส่วนหน่อไม้ไผ่รวกปรุงรสด้วยกรรมวิธีแบบดั้งเดิม พยายามคงรสชาติเดิมของวัตถุดิบเอาไว้ เพื่อให้รสชาติที่แตกต่างกันของวัตถุดิบแต่ละชนิดเข้าไปคลุกเคล้ากันภายในปากและเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสดใหม่ของอาหารทั้งจานอีกด้วย
ร้าน Hero Restaurant มีสวนครัวของตนเองที่หนานโถว ทีมพนักงานจะร่วมลงมือปลูกและเก็บเกี่ยวด้วย อาเซียนเอ่ยถึงเชฟต่างชาติ 2 คนที่คุณเซียวฉุนหยวนชื่นชม ซึ่งก็คือ Michel Bras เชฟชาวฝรั่งเศส และเออิจิ ทานิกูจิ (Eiji Taniguchi) เชฟชาวญี่ปุ่นที่ Gault Millau Gourmet Guide ยกให้เป็น เชฟยอดเยี่ยมแห่งภาคเหนือของญี่ปุ่น ทานิกูจิเป็นเชฟใหญ่ของร้าน LíEvo ในฟุกุยาม่า เขาได้เสนอแนวคิดเรื่อง อาหารท้องถิ่นสไตล์โมเดิร์น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของร้าน Hero Restaurant โดยทานิกูจิเริ่มต้นจากการนำอาหารฝรั่งเศสมาผสมผสานกับผลผลิตของฟุกุยาม่าและยังร่วมมือกับช่างฝีมือในท้องถิ่นคิดค้นอาหารท้องถิ่นเมนูใหม่ๆ ที่เก๋ไก๋ดูดีมีสไตล์ออกมาไม่น้อย
หลังผ่านช่วงเริ่มต้นกิจการที่ยังต้องคลำหาหนทางอยู่ จนต่อมาเริ่มสั่งสมประสบการณ์จากการรับจัดงานเลี้ยงหลายครั้ง ประกอบกับทรัพยากรด้านต่างๆ ได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น จนกระทั่งสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ยุค Hero Restaurant 2.0 ซึ่งนับเป็นการก้าวไปสู่เป้าหมายตามอุดมการณ์ของคุณเซียวฉุนหยวน
ขนมหวานที่นำออกมาเสิร์ฟในวันนั้นคือ ไอศครีมฮีโร่ฟงเหริน ในถ้วยมีทั้งไอศกรีมไข่ไก่ สมูทตี้น้ำบ๊วยและสาคูเม็ด ส่วนบนสุดวางองุ่นไว้ลูกหนึ่ง องุ่นที่ใช้เป็นพันธุ์ Musann Blanc จากไร่ Weightstone vineyard and winery ซึ่งเป็นโรงบ่มไวน์ที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางของไต้หวัน และเป็นองุ่นที่เก็บครั้งสุดท้ายของปีนี้ ถ้วยใส่ไอศกรีมเป็นงานฝีมือของคุณหลินหย่งเซิ่ง (林永勝) ช่างทำเครื่องเคลือบดินเผาในเมืองหนานโถว จากขนาดของร้าน Hero Restaurant ที่ไม่ใหญ่นักทำให้สามารถเชื่อมโยงและเลือกเฟ้นสิ่งดีๆ ในท้องถิ่นมาประยุกต์ดัดแปลงให้เกิดเป็นอาหารคาว-หวานเมนูใหม่ๆ ขึ้นมานำเสนอแก่ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
แล้วอาหารเมนูหลักของร้านคืออะไร? อาเซียนได้เข้ามาลองชิมฝีมือการทำอาหารของร้านนี้ หลังจากที่ทางร้านเปิดบริการได้แค่สองสัปดาห์ หลังจากนั้นเขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นภายในร้านแห่งนี้อีกหลายครั้ง อาเซียนลงความเห็นว่า ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน เพียงคำเดียวที่ลิ้มลองจะได้ความอร่อยที่ครบถ้วนมากขึ้นกว่าเดิม เขายังเอ่ยถึงอาหารที่นำมาเสิร์ฟเป็นเมนูสุดท้ายซึ่งก็คือ ข้าวหมูสับสามเซียนว่า เมื่อก่อนเมนูหลักเป็นสปาเก็ตตี้ หรือข้าวอบซึ่งเป็นอาหารจำพวกแป้ง แต่เดี๋ยวนี้เอาข้าวไปเสิร์ฟเป็นเมนูสุดท้าย ถือว่าเป็นการเพิ่มความสำคัญให้กับอาหารจำพวกปลาหรือเนื้อมากขึ้น สุดท้ายจึงเสิร์ฟอาหารจำพวกแป้ง ซึ่งคล้ายคลึงกับรูปแบบการกินอาหารของชาวญี่ปุ่น
คาดหวังว่าอีก 5 ปีข้างหน้ามาตรฐานการทำอาหารไต้หวันจะสูงขึ้น
กระแสความนิยมอาหารไต้หวันสไตล์ฟิวชันเริ่มก่อตัวขึ้น ในยุคที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแต่ก็อาจเป็นยุคที่แย่ที่สุด เชฟบางคนจดจ่ออยู่กับการทำอาหารไต้หวันที่หรูหราราคาแพง ขณะที่เชฟบางคนชื่นชอบการทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงหรูหรา อย่างไรก็ดี คนทำอาหารมืออาชีพควรต้องมีจรรยาบรรณ ทำตามความตั้งใจเดิมที่ตั้งไว้แต่แรกเริ่ม จึงจะก้าวต่อไปได้ยาวไกลขึ้น หลังผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปแล้ว ทุกคนจะรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรและคิดอยากทำอะไร
ในขั้นตอนที่ถือว่ายังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำอย่างไรจึงจะผสมผสานข้อดีของอาหารจีนกับอาหารตะวันตกเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดเป็นอาหารชนิดใหม่ที่มีเอกลักษณ์ และควรจะต้องใส่เรื่องราวความคิดของเชฟผู้ปรุงรสลงไปด้วย และนี่คือโจทย์ที่บรรดาเชฟไต้หวันต้องหาคำตอบให้ได้ อาเซียนให้กำลังใจแก่คุณนิโคลา เฉิง และคุณโจลี่ เฉินว่า สามารถอาศัยจุดแข็งของเครื่องดื่มชากับของเดิมที่มีอยู่มาช่วยเสริมให้อาหารและชาไต้หวันที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ในท้องถิ่น ดึงดูดลูกค้าจากต่างถิ่นให้เข้ามาลองลิ้มชิมรสความอร่อยของอาหารได้มากขึ้น อาเซียนยังย้ำถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารในร้าน yamíTcha ว่า ทุกเมนูจะเสิร์ฟมาพร้อมกับชา บางทีอาจจะต้องกล้าๆ หน่อย ทุกคนจึงจะมองเห็นถึงสิ่งที่คุณยืนหยัด แล้วมันจะกลายเป็นเอกลักษณ์ของคุณ
สำหรับการควบคุมสัดส่วนที่เป็นบริบทของอาหารจีนกับอาหารตะวันตกอย่างไรจึงจะนำไปสู่ความสมดุลที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่รสชาติไปจนถึงรูปลักษณ์ของอาหารที่สามารถแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเชฟผู้ปรุงรส เป็นสิ่งที่ร้าน Hero Restaurant จะต้องตอบโจทย์นี้ให้ได้ อาเซียนกล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การทดลอง เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว จะปรากฏสิ่งที่น่าประทับใจขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะเหนือชั้นกว่าอาหารตะวันตก หลังจากนี้ไป 5 ปี หรือ 10 ปี เชฟไต้หวันกลุ่มนี้จะพัฒนารสชาติอาหารและฝีมือขึ้นไปถึงระดับไหน? เรามารอลุ้นคำตอบกัน